กลับสู่ปัจจุบัน
นีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม “ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย” อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้” ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง “เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’” “แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา” นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...” มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว “ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด” เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง แสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์ กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส... อีธานหันมามองทุกคน เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามา ทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้ว นีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้าย เธอมองฝ่ามือตัวเอง — เกล็ดสีเงินเริ่มแทรกขึ้นตามข้อมือ เส้นเลือดกลายเป็นสีฟ้าเรืองรอง หัวใจเต้นแรง แต่สายตาแน่วแน่ “ข้า...จะไม่วิ่งหนีอีกแล้ว” นีร่ากล่าวเสียงแน่น “ข้าจะเป็นข้า ไม่ใช่เงือกในตำนานที่คนอื่นเล่าขาน แต่เป็นผู้ควบคุมพลังของตัวเอง” ชายชรามองเธออย่างนิ่งงัน “ถ้าเจ้าทำได้... เจ้าจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์” อีธานจับมือเธอไว้แน่น “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง...ข้าจะอยู่ข้างเจ้า” นีราหลุบตาลง ก่อนใช้มีดสั้นกรีดปลายนิ้ว หยดเลือดใสอมเงินหยดลงบนตราประทับ ทันใดนั้น แรงสั่นสะเทือนพลันกระจายทั่วห้อง แท่นศิลาสั่นสะเทือน พื้นหินร้าวแยก เสียงคำรามเบื้องลึกดังก้องขึ้นราวสัตว์โบราณกำลังตื่น ผนังทั้งห้องส่องแสงสีเงินสว่างวาบ ภาพเกล็ด และคลื่นทะเลปรากฏท่ามกลางอากาศ เหมือนความทรงจำของทะเลกำลังปลุกชีวิต แล้ว...ร่างของนีร่า ลอยขึ้นจากพื้นเบา ๆ ผิวหนังของเธอกลายเป็นสีเงินระยับ ใบหน้าเปลี่ยนไปทีละน้อย ดวงตาสีฟ้ากลายเป็นสีเงินอมม่วง คล้ายกระจกที่สะท้อนจิตใจของทุกสิ่ง ภายในจิตใจของนีร่า เธอยืนอยู่ในโลกมืด มีเพียงกระจกน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้า ภายในนั้น มีเงาของ เงือกกินคน ที่เธอเห็นจากภาพอดีต นางสบตานีร่าโดยตรง “เจ้าคือข้า” เสียงของเงือกตนนั้นเย็นเยียบ “ไม่” นีร่าตอบ “ข้าอาจมีเลือดเจ้า แต่ข้าเลือกทางเดินเอง” เงือกในกระจกหัวเราะเบา ๆ “แล้วเจ้าแน่ใจหรือ ว่าเมื่อพลังตื่นขึ้น...เจ้าจะไม่กลืนทุกอย่าง เหมือนที่ข้าเคยทำ?” นีร่ายกมือวางบนผิวกระจก “ข้าจะไม่ทำลายใครเพื่ออยู่รอด — ข้าจะ ปกป้อง แม้พลังของข้าจะเกิดมาเพื่อฆ่า” ทันใดนั้น เงาในกระจกเริ่มร้าว — แล้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ โลกจริง นีร่าร่วงกลับสู่พื้นเบา ๆ ร่างเธอยังคงเปล่งแสง สีเงินเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำรอบตัว แต่ใบหน้าเธอสงบ...ไม่ดุร้าย ไม่โกรธแค้น ราวกับเธอควบคุมทะเลทั้งผืนได้ด้วยความนิ่งของใจ ชายชราก้มศีรษะให้ “เจ้าทำได้... เจ้าแยกตัวออกจากคำสาปได้จริง” เสียงฝีเท้าจากทางเดินเริ่มดังขึ้นชัดเจน ทหารเฟอเรสพังเข้ามาในห้องพร้อมคบเพลิงและดาบ “อยู่ตรงนั้น!” หัวหน้าทหารตะโกน ดวงตาของเธอสงบนิ่ง แต่ทรงพลัง ตัดภาพไปยังฝั่งของกัปตันแบร์กตัน เขามองพลังสีเงินที่พวยพุ่งขึ้นจากพื้นเมือง แสงนั้นเจาะทะลุแม้แต่เพดานโบราณของวัง “เด็กนั่นเปิดมันจริง ๆ...” เขาพึมพำ ดวงตาเขาเป็นประกายโลภ “ถ้ากลืนเลือดนั่นได้...ข้าจะเป็นอมตะ” นีร่ายืนอยู่หน้าทางออกของวิหาร พร้อมพลังที่ตื่นขึ้น และศัตรูที่เริ่มใกล้เข้ามา แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวที่สับสนอีกต่อไป เธอคือ “ผู้สืบทอด” ที่เลือกเป็นตัวเอง...และพร้อมสู้เพื่อคนที่เธอรัก ก่อนหน้านี้ – เมื่อหลายวันก่อน “ข้าไม่ได้ต้องการตัวเธอ...ข้าแค่ต้องการเข้าใจว่ามันคืออะไร” แบร์กตันเคยพูดไว้ ขณะคุยกับอีธานบนเรือ แต่สิ่งที่อีธานไม่รู้—คือ แบร์กตันเคย เกือบตาย จากคำสาปของทะเลลึกเมื่อสิบปีก่อน และตั้งแต่นั้นมา...เขาหมกมุ่นกับการค้นหา "สายเลือดโบราณ" ที่มีอยู่ในตำนาน ปัจจุบัน – คืนนั้นที่ชายฝั่ง กลุ่มของอีธาน ซ่อนตัวในกระท่อมร้างริมป่า นีร่าหลับไปชั่วคราวหลังใช้พลังจนร่างกายอ่อนแรง อีธานออกมายืนยามข้างนอก — จนได้ยินเสียงฝีเท้า “นานแล้วนะ...อีธาน” เขาหันขวับ — แบร์กตันยืนอยู่ใต้เงาไม้ มือว่าง ไม่มีอาวุธในมือ แต่มีรอยยิ้มประจำตัว “ท่าน...รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่?” “หมอกมันบอกข้า” เขาพูด “กลิ่นเลือดเงือก...มันดึงดูดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในทะเล รวมถึงข้าด้วย” อีธานไม่พูด เขาขยับตัวบังประตูไม้หลังเขา “ข้ามาเพื่อช่วย...” แบร์กตันพูดช้า ๆ “เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าโลกข้างนอกมันเปลี่ยนไปขนาดไหน เงือกกลายเป็นแค่ของในพิพิธภัณฑ์...แต่เธอ” เขาชี้ไปที่กระท่อม “เธอคือกุญแจ...เธอคือน้ำพุแห่งพลังที่โลกนี้ลืมไปแล้ว” อีธานขบกราม “เธอไม่ใช่ของใคร” แบร์กตันยิ้มบาง ๆ “ข้าก็เคยคิดแบบนั้น” > “จนกระทั่งข้ารู้...ว่าถ้าได้เลือดนั่น ข้าจะไม่ตายอีกตลอดกาล” “และการลอยอยู่ในทะเลด้วยพลังอมตะ...ไม่มีอะไรคู่ควรกว่านี้อีกแล้ว”เสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้วแสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้“สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผาเสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลงนีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัวผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด“ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา“ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย”อีธานนั่งลงข้าง ๆ“ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด“พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้”นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด”ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น“แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส”“โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย“โอกาสที่จ
ขณะเดียวกัน แบร์กตันยืนอยู่หน้าชายฝั่งเขาโยนหินก้อนหนึ่งลงทะเล ไม่กี่วินาทีต่อมา ฟองน้ำจำนวนมากผุดขึ้นและสายลมเย็นผิดธรรมชาติก็พัดมา เขาหัวเราะแผ่วเบา“ข้าไม่ต้องการทองคำอีกแล้ว”“ข้าอยากเป็น...สิ่งที่ไม่มีวันตาย ใต้ท้องทะเล…” คืนแรม...ลมเย็นจนทะลุผิวกระดูกบนฝั่ง ม่านหมอกบาง ๆ คลุมผืนทรายราวผ้าขาวคลุมศพอีธานสะดุ้งตื่นเสียงอะไรบางอย่างดังจากริมหาดแอ่ด...เสียงโซ่ครูดพื้นหินเสียงหายใจลึกเหมือนจากปอดของสัตว์ที่ไม่เคยหายใจบนบกเขาคว้าดาบทันที“นีร่า?”ไม่มีเสียงตอบเขาวิ่งออกมานอกถ้ำและภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาชะงักกลางหมอกหนามีเงาร่าง 3–4 ตน สูงโปร่ง ผิวซีดเหมือนเปลือกหอยพวกมันเดินช้า ๆ บนทรายเสียงก้าวแต่ละก้าวลากเหมือนขาไม่มีพละกำลังแต่ในดวงตา — ไม่มีแววชีวิตใด ๆพวกมัน...ไม่ใช่เงือกธรรมดา เงือกพวกนี้มีรอยเย็บตามข้อมือเหมือนถูกฝังและเย็บปิดปากกว้างกว่าปกติ และเต็มไปด้วยฟันแหลมที่ไม่ควรอยู่ในร่างเงือกอีธานก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้น — พวกมันหันขวับมาทางเขา“เราต้องหนี!” เขาตะโกนวิ่งกลับเข้าถ้ำไอล่า กับมาริเบลลุกขึ้นคว้าอาวุธ“เกิดอะไรขึ้น?”“พวกมัน...ขึ้
ภายในคือห้องกลวงขนาดใหญ่มีแคปซูลแก้วโบราณเจ็ดใบเรียงอยู่กลางห้องภายใน…คือร่างของเงือกอีกเจ็ดตน — ที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับ กึ่งตื่นร่างพวกมันไม่เน่า ไม่ชรามีร่องรอยการดัดแปลงร่างกายคล้ายกับนีร่า แต่รุนแรงกว่าหลายเท่าเสียงในหัวเธอดังขึ้นอีกครั้ง“เลือดของเจ้า…คือสิ่งสุดท้ายที่ขาดไป”“พวกเรา...จะตื่นอีกครั้ง”นีร่าก้าวถอยหัวใจเธอเต้นแรงคำถามคือ…เธอควรจะ “ปลุก” พวกนี้จริง ๆ หรือไม่?เสียงก้องในหัวของเธอเบาลง จนเหลือเพียงคำเดียว “...เลือก...”เสียงจากใต้ทะเลเงียบลงนีร่าค่อย ๆ ว่ายออกจากห้องโบราณที่ฝังอยู่ใต้ผืนน้ำหัวใจยังเต้นแรง…แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความหวั่นไหว ไม่ใช่ความกลัวในหัวเธอมีคำถามเต็มไปหมด"พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ของข้า...หรือคือฝันร้ายของข้า?""ข้าควรปลุกพวกเขาไหม...หรือปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นตายไปตามกาลเวลา?"เธอไม่ได้ให้คำตอบเธอเลือกที่จะ "ปิดประตู" นั้น…ชั่วคราวเมื่อกลับขึ้นฝั่งอีธานรีบวิ่งเข้ามาหาเธอทันที“เจ้าโอเคไหม!?”นีร่าพยักหน้าเบา ๆ แต่แววตาเธอยังว่างเปล่าเล็กน้อยเหมือนคนที่กลับมาจากการเห็นบางสิ่ง…ที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้เธอไม่พูดถึงห้องนั้นไม่พูดถึงเงือกเจ็ดตน
เสียงดังจากข้างใน มาริเบลวิ่งออกมา พร้อมไอล่า“อย่าเข้าใกล้นาง” ไอล่ากัดฟันแต่ช้าไปแบร์กตันสะบัดมือทหารกลุ่มหนึ่งโผล่จากป่า กระชับปืนหอกทะเลในมือเขาไม่ได้มาคนเดียว... เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ในกระท่อมนีร่าสะดุ้งตื่น ดวงตาเธอยังแดงเรืองนิด ๆเธอรู้...พลังของเธอเรียกใครบางคนมาเสียงของแบร์กตันดังลอดเข้ามา “นีร่า — ออกมาเถอะ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า ข้าแค่ต้องการให้เจ้าช่วย...แบ่งเลือดของเจ้าให้ข้าสักหยด”“แค่นั้นจริง ๆ ข้าสาบาน”นีร่าลุกขึ้นช้า ๆเธอรู้ดี...เขาโกหกสายตาแบบนั้น แววโลภแบบนั้น — ไม่มีใครหยุดเพียงแค่ “หยดเดียว”นีร่าเดินออกมาเธอยืนต่อหน้ากัปตันแบร์กตันดวงตาเธอยังคงมีลายสีเงินอ่อน แผ่นผิวบนแขนยังเผยเกล็ดบาง ๆ“เจ้ากลัวตายงั้นหรือ?” เธอถามเบา ๆแบร์กตันหัวเราะ“ไม่ใช่กลัว...แค่เบื่อการรอคอยอย่างไม่มีจุดจบ”เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเรียบ ๆ“ข้าไม่ให้เลือดข้าแก่คนที่เห็นชีวิตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”“ข้าเกิดมาเพื่อหยุด...ไม่ใช่ส่งต่อมัน”แบร์กตันขมวดคิ้ว“งั้นข้าจะเอาเลือดเจ้าด้วยตัวข้าเอง”เขาดึงมีดออกจากข้อมือ — และทหารทั้งหมดกรูก้าวหน้าอีธานร้อง “นีร่า อย่า!”แต่สายไ
กลับสู่ปัจจุบันนีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย”อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้”ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง“เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’”“แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...”มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว“ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด”เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส...อีธานหันมามองทุกคนเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้วนีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้ายเธ
บรรยากาศในวิหารใต้ดินเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนชัดเจนแสงจากลวดลายโบราณบนพื้นค่อย ๆ จางลง ทิ้งไว้เพียงแสงสีน้ำเงินสลัวจากแท่นศิลาเบื้องหน้านีร่ายืนเซเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว แต่ขณะเดียวกันกลับร้อนรุ่มภายในอีธานพยายามประคองเธอ “เจ้าไหวไหม?”“เหมือนข้า...ได้ยินเสียง...” นีร่ากระซิบ ดวงตาของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัวมาริเบลเบิกตากว้าง “ตาของเจ้า...นีร่า...เหมือนตาของแม่เราในคืนสุดท้าย...”ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากมุมมืดของวิหารเสียงฝีเท้าเก่าแก่... และเงาหนึ่งปรากฏออกจากหลังเสาหินชายชราผิวซีดในผ้าคลุมสีดำเดินออกมาช้า ๆ ดวงตาเขาขุ่นมัวคล้ายคนมองทะลุอดีตมาหลายร้อยปี“ในที่สุด... นางก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”ทุกคนชะงัก“เจ้าคือใคร?” ไอล่าถาม มือแตะดาบอย่างระวังชายชราไม่ตอบคำถามตรง เขาจ้องนีร่าแน่นิ่งก่อนพูดเสียงแผ่ว “เงือกแห่งคำสาป...เงือกที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดของราชาและคราบเกลือพันปี”นีร่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกชาไปทั้งร่าง“ข้า...ไม่เข้าใจ” เธอพูดเบา ๆชายชราก้าวเข้าใกล้แท่นศิลาเขาวางมือลงบนตราสัญลั