เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ
“ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อนไหวรอบ ๆ บอกชัดว่านั่นไม่ใช่ตัวเดียว “เรากำลังจะได้ปาร์ตี้ใหญ่กว่าที่คิด” คาเอลว่า พลางหยิบหน้าไม้ขึ้นเล็งไปยังเสียงด้านซ้าย ทันใดนั้น เกล็ดแวววาวหลายจุดโผล่รอบพวกเขา ล้อมวงอย่างเงียบเชียบ แบร์กตันกัดฟัน “พวกมันคือ ‘ผู้พิทักษ์น้ำขึ้น’… ข้าคิดว่าพวกมันตายหมดไปแล้ว” “ข่าวร้ายคือไม่ตาย” คาเอลตอบ “ข่าวดี… คือเรายังหิวอยู่ เลยอาจกินมันได้ถ้าฆ่าได้” เสียงสาดน้ำดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไฟจากตะเกียงที่ตกค้างสะท้อนดวงตาพวกมัน—นับสิบคู่ แบร์กตันหันมามองทุกคน “ไม่มีทางหนี… มีแต่ต้องฝ่า” นีร่ากระชับหอกแน่น “ก็เอาสิ” แล้วเงาเกล็ดก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกันจากทุกทิศ เกล็ดแวววาวพุ่งเข้ามาจากทุกทิศราวกับฝนดาวตก นีร่าเป็นคนแรกที่ขยับ เธอหมุนตัว ปักหอกลงไปในช่องระหว่างเกล็ดของสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูดังขึ้น พร้อมกับน้ำสีคล้ำพุ่งกระเซ็น “จุดอ่อนอยู่ตรงข้อต่อ!” เธอตะโกน แต่แทบไม่มีเวลาอธิบายต่อ เพราะอีกสองตัวโถมใส่จากด้านหลัง ดรานรับมือด้วยดาบยาว เสียงเหล็กเสียดสีกับเกล็ดแข็งสะท้อนก้องในความมืด เขาใช้แรงเหวี่ยงเต็มที่ตัดผ่านแขนของตัวหนึ่งจนมันผงะไป แต่ยังไม่ล้ม “แข็งชิบหาย! ใครมีมีดทำครัวบ้างไหม จะได้หั่นง่ายขึ้น!” คาเอลตะโกน พลางเหนี่ยวหน้าไม้ยิงเข้าที่ดวงตาของอีกตัวอย่างแม่นยำ เสียงดัง ฉึก! ตามด้วยการดิ้นรนของมัน ทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตอีกตัวพุ่งตรงมาหานีร่า รวดเร็วราวลูกธนู มันโอบรัดเธอด้วยแขนยาวเหมือนงู แล้วลากถอยหลังไปทางเงามืดที่มีน้ำลึก “นีร่า!” ดรานคำราม พุ่งตามโดยไม่คิด แบร์กตันเองก็สาปแช่งพร้อมดึงมีดสั้นคู่มือออกมา นีร่าดิ้นสุดแรง เสียงน้ำซัดดังรอบหู เธอกัดฟันดึงมีดเล็กจากขาเสียบเข้าที่ช่องเกล็ดใต้คางของมัน เลือดสีดำพุ่งใส่หน้า รสเค็มปนขมจนแทบอาเจียน แต่แรงของมันเริ่มอ่อนลง คาเอลโผล่มาจากด้านข้าง กระโจนลงน้ำตื้นอย่างไม่ลังเล “ถ้าตายก็อย่าลืมเอาชื่อข้าไปใส่ในบทเพลงนะ!” เขาฟาดดาบสั้นใส่ข้อมันเต็มแรง แขนที่รัดนีร่าหลุดออก เธอกลับขึ้นมาหอบหายใจบนโคลน แต่ไม่มีเวลาโล่งใจ เพราะเหล่า “ผู้พิทักษ์น้ำขึ้น” อีกเกือบครึ่งโหลยังคืบเข้ามาเป็นวงแคบลงเรื่อย ๆ แบร์กตันกัดฟัน “พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าพวกเราจะข้ามพ้นเขตนี้!” ดรานชี้ไปยังเนินดินที่มีต้นไม้ล้มกั้น “ปีนขึ้นไป! มันไม่ชอบที่สูง!” ทั้งสี่เริ่มเคลื่อนตัว ฝ่าการจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง คาเอลหมุนตัวเตะใส่หัวอีกตัวแล้วหัวเราะหอบ ๆ “ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกมันถึงกล้ามาในน้ำตื้น… พวกมันโง่พอ ๆ กับเราที่อยู่ตรงนี้!” นีร่าและดรานช่วยกันเปิดทาง ขณะที่แบร์กตันปาแท่งระเบิดควันแบบเรือโจรสลัดลงน้ำ ควันดำหนาทึบกระจายปิดทัศนวิสัยของพวกมัน สุดท้าย ทั้งสี่ก็พุ่งขึ้นไปบนเนิน เปียกโชก หอบแฮ่ก เสียงเกล็ดเสียดน้ำค่อย ๆ ห่างออกไปในความมืด นีร่าทิ้งตัวนั่ง มือยังจับหอกแน่น “เกือบไปแล้ว…” แบร์กตันหัวเราะในลำคอ “นี่แหละเหตุผลที่ข้าบอกว่าทางนี้ ‘ไม่ค่อยมีคนเฝ้า’” คาเอลพิงต้นไม้ “อ๋อ เข้าใจละ… เพราะทุกคนที่เคยมาทางนี้ถูกกินหมด” เสียงหัวเราะสั้น ๆ หลุดออกมาท่ามกลางความเหนื่อยล้า แต่ในดวงตาของทุกคนมีเพียงคำถามเดียว—พวกมันแค่บังเอิญมาเจอ หรือมีบางสิ่งส่งมันมา เสียงลมหอบของทั้งสี่ยังคงชัดในความเงียบ ฝนโปรยเม็ดเล็ก ๆ ลงมาบนใบไม้รอบตัว กลิ่นโคลนและน้ำคาวเลือดยังคงติดอยู่ในลมหายใจ พวกเขานั่งพิงกันใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ล้มพาดเป็นเหมือนกำแพงธรรมชาติ คาเอลนั่งพาดหลังกับโคนไม้ สูดลมหายใจแรง “โอเค… ถ้าครั้งหน้าเจออะไรที่มีเกล็ด เราจะเลี่ยงมัน หรือถ้าจำเป็นต้องสู้… ก็ให้มันเป็นทอดปลาซะ” นีร่ายังเงียบ ดวงตาเธอมองออกไปยังแนวน้ำมืดเบื้องล่าง เหมือนยังจับจ้องว่า “ผู้พิทักษ์น้ำขึ้น” จะกลับมาหรือไม่ แบร์กตันเปิดกระเป๋าหนังเก่า ๆ ล้วงเอาขวดเหล้ากะทัดรัดออกมา เขายื่นให้ดราน “จิบหน่อย จะได้ไม่ตัวสั่น” ดรานรับมาแต่ส่ายหัว “เก็บไว้ ข้าอยากหัวโล่งพอจะฟังเจ้าพูดเรื่องแผนของเรา” แบร์กตันหัวเราะสั้น ๆ ก่อนนั่งลงข้างพวกเขา “พวกนั้นไม่ได้โผล่มาเพราะบังเอิญ พวกมันคือสัตว์เฝ้าพรมแดนเก่า… และคนเดียวที่สามารถปลุกมันได้คือราชินี” คำว่า “ราชินี” ทำให้สายตาของนีร่าแข็งขึ้น “เจ้าหมายความว่าหล่อนรู้ว่าเราจะมาที่นี่?” “ไม่ใช่แค่รู้” แบร์กตันหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากเสื้อใน—เปียกชื้นแต่ยังเห็นตัวอักษร เป็นแผนที่สั้น ๆ ที่มีรอยขีดแดงลากผ่านเส้นทางที่พวกเขาเดินมา และจุดวงกลมตรงที่พวกเขาเกือบถูกล้อมตะกี้ “ข้าพบแผ่นนี้ในซากเรือรบของกองราชินีเมื่อวาน… แต่ไม่คิดว่าจะเป็นกับดักจนกระทั่งเจอเจ้าสัตว์พวกนั้น” คาเอลชะโงกหน้าไปดู “ดีนะที่ไม่ได้วงไว้ตรงบ่อน้ำ… ไม่งั้นพวกเราคงโดนปลาหมึกยิงหอกใส่” นีร่าเพ่งแผนที่ มือเธอสัมผัสบางอย่างที่ติดอยู่กับขอบ—ชิ้นโลหะเล็ก ๆ รูปสัญลักษณ์คล้ายตาเปิด มีเส้นสามเส้นแผ่รัศมีออกมา ดรานรู้ทันที “ตราสัญลักษณ์ของ ‘พันธมิตรเงา’… พวกมันคือกองกำลังลับของราชินี” แบร์กตันพยักหน้า “และถ้าตรานี้อยู่บนแผนที่ หมายความว่าเส้นทางต่อไปจะถูกเฝ้าอย่างหนาแน่น… เราต้องหาทางลัด” สายลมพัดให้เถาวัลย์แกว่งเบา ๆ เผยให้เห็นว่าต้นไม้ที่พวกเขาพักพิงอยู่ เป็นโพรงภายในขนาดใหญ่ คาเอลเป็นคนแรกที่สอดหัวเข้าไปมอง “เอ่อ… พวกเจ้าอยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน?” นีร่าเลิกคิ้ว “ข่าวดี” “ข้างในมีเสบียงแห้ง… และธนูสำรอง” คาเอลว่าพลางดึงถุงผ้าสองใบออกมา “แล้วข่าวร้าย?” ดรานถาม คาเอลยิ้มมุมปาก “มีโครงกระดูกมนุษย์สามชุดนั่งอยู่รอบกองไฟที่มอดไปแล้ว” แบร์กตันคลานเข้าไปตรวจดู เขาหยิบกระดาษครึ่งแผ่นจากมือโครงกระดูกหนึ่ง อ่านด้วยแสงไฟจากตะเกียงเล็กที่เหลืออยู่ “มันเขียนว่า— ‘ถ้าเจอข้อความนี้ แปลว่าพวกเราล้มเหลว ราชินี… ไม่ได้อยู่คนเดียว เธอมีบางสิ่งที่อยู่เหนือมนุษย์เป็นผู้คุ้มครอง’ ” นีร่าเม้มปากแน่น “นั่นอธิบายได้ว่าทำไมเธอถึงไม่เคยพ่ายแพ้” ดรานหันไปมองแบร์กตัน “ถ้าเราจะโค่นเธอ… เราต้องรู้ก่อนว่า ‘บางสิ่ง’ นั่นคืออะไร” คาเอลยักไหล่ “แล้วถ้ามันเป็นมังกรยักษ์ ข้าจะเป็นคนเจรจาเอง… โดยใช้ไก่ย่างเป็นสินบน” แม้จะเป็นมุก แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะเต็มที่—ความตึงเครียดยังคงอยู่ ทั้งสี่นั่งล้อมกันรอบเสบียงใหม่ แบร์กตันกางแผนที่ออกอีกครั้ง วางแผนเส้นทางลัดที่พวกเขาจะต้องลุยเข้าไปใน “ดินแดนเงา” เพื่อค้นหาความจริง และเตรียมการกำจัดราชินีให้สิ้นซากน้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้