LOGINค่ำคืนถัดมา – ริมเขตแดนหมู่บ้านมนุษย์
สายลมอ่อนพัดเอากลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเนื้อย่างลอยคลุ้งไปทั่ว แสงไฟจากคบเพลิงกระพริบไหวกลางทุ่งหญ้าโล่งหน้าเขตป่า ลีแอนน์คลุมผ้าคลุมสีดำ มองจากเงาไม้ไกล ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ มือขวากำด้ามมีดเงินแน่น ขณะที่สายตาเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า กลางลานโล่ง มีแวมไพร์แต่งกายดูดีราวพวกขุนนาง ยืนอยู่ในกลุ่มมนุษย์ราวสิบกว่าคน พวกมนุษย์หัวเราะ พูดคุย ดื่มไวน์…โดยไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น “มัน...กำลังล่า” ลีแอนน์พึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ชายแวมไพร์คนหนึ่งยื่นถ้วยไวน์ให้หญิงสาวชาวบ้าน เธอยิ้มรับ ดื่มไปคำใหญ่ ก่อนร่างจะเริ่มโงนเงน แวมไพร์ผู้นั้นโน้มตัวลง กระซิบข้างหูเธอ “เจ้าเหนื่อยไหม ให้ข้าช่วยพักผ่อนตลอดกาลดีไหม?” ทันใดนั้น...ฟันเขี้ยวโผล่พ้นจากริมฝีปาก เขาฝังเขี้ยวลงบนคอเธออย่างไม่ลังเล หญิงสาวสะดุ้ง ดิ้นเล็กน้อย…ก่อนเสียงจะเงียบไป เลือดไหลเป็นทางลงสู่พื้นหญ้า แวมไพร์เลียริมฝีปาก ก่อนหันไปพูดกับเพื่อนร่วมเผ่า “เลือดสด ๆ ยังหอมเหมือนเดิม” ลีแอนน์กัดฟันแน่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่นเล็กน้อย แต่เธอยังไม่ขยับออกจากเงามืด อีกด้านของลาน มีเด็กชายคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ทอง เขานั่งเงียบในกรงไม้ ผิวซีด ดวงตาหมองไร้แวว “นั่นมัน…เด็กจากหมู่บ้านใกล้ชายแดน” เธอจำได้ทันที — เด็กคนนี้หายตัวไปเมื่อสามวันก่อน เสียงหัวเราะ เสียงไวน์ เสียงดูดเลือด ทั้งหมดปะปนกันเป็นเสียงงานเลี้ยงอันบิดเบี้ยว แล้ว…ร่างหญิงผู้หนึ่งก็ปรากฏ เธอคลุมผ้าดำยาว ปิดหน้าจนมิด ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างหลังเธอคือเหล่าแวมไพร์ที่ยืนนิ่งเรียงแถว ราวกับกองทัพที่รอคำสั่ง “พอแล้ว…พวกเจ้าจะทำให้กลิ่นเลือดลอยฟุ้งเกินไป” เสียงหญิงคนนั้นเบา…แต่นิ่งขรึมกว่าลมหนาวยามค่ำ ลีแอนน์เบิกตากว้าง “คาร์เซีย เบล…” เธอรู้แล้ว — พวกแวมไพร์ไม่เพียงแต่ล่า พวกมันวางแผน สร้างกลุ่มใหม่ ยึดหมู่บ้านมนุษย์อย่างช้า ๆ และการบุกครั้งใหญ่…อาจใกล้กว่าที่คิด ด้านหลังป่า เสียงกิ่งไม้ขยับ “เจ้ามาไกลเกินไปแล้ว…ลีแอนน์ เวิร์น” เสียงกระซิบของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหันขวับ — พบว่า มีเงาหนึ่งโผล่มาจากเงาไม้ ตาแดงฉาน ปากเปื้อนเลือด และเขี้ยว...ยังไม่หุบกลับ “เจ้าจะเป็นเหยื่อรายต่อไปหรือจะวิ่งกลับไปเล่าให้เพื่อนเจ้า?” ลีแอนน์หรี่ตา “ข้าขอโทษนะ...แต่ข้าไม่ชอบฟังคำขู่จากพวกชั้นต่ำ” เสียงฟันเฉือนฟาดใบมีดเงิน ลีแอนน์ฟันเข้าใส่ร่างแวมไพร์ตรงหน้า — ฉึก! มันกรีดร้อง มือคว้าแขนเธอไว้แน่น “เจ้ากล้าแตะเลือดบริสุทธิ์…เจ้าโง่!” มันคำราม ก่อนฟาดเธอกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ ตุ้บ! แผ่นหลังกระแทกแรงจนหายใจไม่ออก ลีแอนน์ไอเสียงแห้ง เลือดซิบออกมุมปาก มือยังคงกำมีดแน่น แต่แขนข้างขวาชาไปเกือบครึ่ง เงาแวมไพร์ตัวนั้นย่างสามขุมเข้ามา เลือดดำหยดจากคอของมันลงบนพื้น “ข้าจะดูดเจ้าจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก!” มันพุ่งเข้าใส่ — รวดเร็วและป่าเถื่อน แต่ก่อนที่มันจะถึงตัวเธอ… ฉึก! ลูกดอกสีเงินพุ่งเสียบทะลุเบ้าตามัน แวมไพร์ส่งเสียงกรีดร้องสุดแสบ ร่างของมันสั่นไหว ก่อนระเบิดเป็นผงเถ้าดำ ลีแอนน์กระเสือกกระสนหันไปมองที่มาของลูกดอก เดรย์วาน ยืนอยู่บนกิ่งไม้สูง คันธนูในมือของเขายังส่องแสงจาง ๆ จากเงิน “เจ้าทำให้ข้าต้องมาเสี่ยงอีกแล้ว” เขาพูดเรียบ ๆ ก่อนกระโดดลงมาข้างเธอ “ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามา” เธอฝืนลุกขึ้น แม้เลือดจะไหลหยดจากแผลที่หลัง เดรย์วานยื่นมือจะพยุง แต่เธอปัดออก “ข้าไม่ใช่เหยื่อ ข้าต้องเห็นเอง…ว่าเรากำลังสู้กับอะไร” เธอหันกลับไปยังทุ่งโล่ง ที่ซึ่งงานเลี้ยงเลือดยังดำเนินต่อ กลิ่นเนื้อสุกและเลือดสดยังคลุ้งกลางอากาศ แต่ร่างของ คาร์เซีย เบล หายไปแล้ว… เหลือเพียงกลุ่มเงาที่กำลังสลายหายเข้าป่า — อย่างมีแบบแผน “พวกมันรู้ว่าเรามา” เดรย์วานพูดเบา ๆ สายตาของเขาไม่มองลีแอนน์ แต่มองไปที่เงาทางเหนือสุด “และพวกมัน…เริ่มเกมแล้ว” ด้านใต้ปราสาทของคาร์เซีย เบล ใต้ดินชื้นแฉะ ห้องโถงหินสีเลือดมีเสาหินใหญ่สองต้น รองรับเพดานที่เต็มไปด้วยเชื้อราสีดำ หญิงสาวคลุมผ้าดำ เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ เบื้องหน้าคือ บัลลังก์กระดูก — ซึ่งราชินีแวมไพร์นั่งไขว้ขา ดวงตาสีแดงเข้มจ้องไปข้างหน้า “เขามาแล้ว?” คาร์เซียถามเสียงเบา — ทว่าเยือกเย็นยิ่งกว่าความตาย “ขออภัยที่ปล่อยให้เดรย์วานรอดไป” แวมไพร์หญิงโน้มศีรษะลง “ไม่ต้องขออภัย” คาร์เซียลุกขึ้นช้า ๆ เดินลงมาจากบัลลังก์ “ปล่อยเขาเห็น ปล่อยให้พวกมันกลัว — และคิดว่า ‘ยังทัน’ ที่จะเตรียมตัว” “แต่ในวันที่พระจันทร์สีเลือดเต็มฟ้า…เลือดบริสุทธิ์จะตก และประตูระหว่างสองโลกจะเปิด”ลีแอนน์ยังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือเบนแน่นจนข้อนิ้วซีด เธอพยายามข่มตัวเองให้ไม่กลัว ทั้งที่เสียงข้างนอกกำลังสั่นประสาทอย่างที่สุด ครืด... แกร่ก... โครม!!! ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เสียงอีกต่อไป—เศษอิฐจากกำแพงด้านข้างร่วงลงมาเป็นผงๆ ตามด้วยเสียงคำรามต่ำแหบ เสียงที่เหมือนอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีชีวิตกำลังแงะผนังเข้ามา “มันเจาะเข้ามาได้แล้ว!” ชายผมยาวที่ก่อนหน้าทะเลาะกับลีแอนน์ร้องเสียงหลง รีบหันหลังคว้าปืนที่วางพิงไว้ ออร์เรนกระชากเขากลับด้วยแขนกล “อย่าเพิ่งตื่นตระหนก!” “ตะ...แต่! พวกมันเข้ามา—!” “ยังไม่พังเข้ามาได้หมด เรามีเวลาไม่กี่นาที!” เสียงเล็บข่วนแผ่นเหล็กดังสะเทือนหู แสบแก้วหูจนลีแอนน์ต้องหลับตาปี๋ เธอก้มลงกระซิบเบนอีกครั้ง “ฟังนะ ถ้าแกยังได้ยินฉัน…ต้องอยู่ต่อให้ได้ ได้ยินไหม? อย่าไปไหนเด็ดขาด” เบนไม่ตอบ แต่เปลือกตาขยับนิดหน่อย เหมือนพยายามดิ้นจากฝันร้ายที่พันธนาการเขาอยู่ “ลีแอนน์!” อาลีนเรียกเสียงด่วน “ช่วยกันเปิดช่องทางลมหลังห้องก่อน เผื่อเราต้องหนี!” ลีแอนน์กัดฟัน ก่อนหันไปกระชากผ้าเก่าๆ ที่คลุมลังไม้ข้างผนังโยนให้ชายร่างผอม “ปิดรูนั้นไว้ เอาให้แน่น อย่าให้
เสียงครืดๆ ที่ลากเล็บขูดพื้นเมื่อกี้ ไม่ได้เงียบไปเฉยๆ มันกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เหมือนพวกมันเริ่มเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆลีแอนน์นั่งฟังอยู่ตรงเตียง ใจเต้นโครมๆ จนแทบได้ยินเองในอก เบนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งเหมือนละเมอ ใบหน้าซีดเผือดจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นคนออร์เรนยังยืนชิดประตู ตาจ้องรูเล็กๆ ตรงบานเหล็ก เสียงหายใจเขาหนักกว่าเดิมครืด... ครืด... ครืด...เล็บยาวๆ ของพวกซากร้างครูดผ่านผนังอิฐ คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่มีหลายเสียง สลับกันไปมาจนคนฟังขนลุกเสียงหายใจข้างนอกก็เริ่มดังขึ้น เหมือนพวกมันยืนกันเต็มปากทางเดิน“มันใกล้เข้ามา…” นักล่าคนหนึ่งเริ่มตะโกนโวยวาย สีหน้าเขาซีด“พวกมัน…ดมกลิ่นได้ใช่ไหม…” หญิงร่างเล็กที่ชื่ออาลีนพูดเสียงสั่น มือเธอกำด้ามปืนเเน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น“ใช่” ออร์เรนตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาข้างเดียวก็มีแววกังวล “กลิ่นเลือดมันแรง พวกมันคงคลุ้มคลั่งกัน”ครืด…ครืด…แกร่ก…กรร เสียงเล็บครูดแรงขึ้น คราวนี้เหมือนมีตัวหนึ่งข่วนประตูเหล็กเป็นแนวยาว จนเสียงโลหะดังเอี๊ยด..ชวนให้เเสบเเก้มหู ลีแอนน์กัดฟันแน่น มองไปทางเบนที่หายใจรวยริน“…เราอยู่กันครบไหม” เธอถามด้วยเสียงห
กลางคืน อุโมงค์ระบายน้ำเก่าใต้ซากเมืองร้างเสียงน้ำหยดเป็นจังหวะในอุโมงค์แคบ ลีแอนน์ประคองเบนที่ตัวสั่นระริกมาตลอดทาง แผลบนอกยังคงซึมเลือดสีเข้มเธอชำเลืองมองใบหน้าเขาที่ซีดเผือด ก่อนกระซิบเสียงเข้ม“อีกนิดเดียว…เดินต่อให้ได้”“ที่นี่…ที่ไหน…” เบนถามแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“เขตตะวันตก เมืองร้างของนักล่า” เธอสูดลมหายใจลึก “พวกฉันมีฐานหลบภัยอยู่ใต้โรงเก็บศพเก่า”เบนสะอึก “…ฟัง…ไม่ค่อยน่าอยู่”“อย่าพูดมาก” เธอสวนเสียงแข็ง แต่ในดวงตายังมีแววเป็นห่วงลึกๆพวกเขาเดินผ่านกำแพงอิฐที่มีร่องรอยเลือดเก่าเป็นคราบ ลีแอนน์หยุดตรงประตูเหล็กสนิมเขรอะ ยกกำปั้นเคาะเป็นจังหวะเฉพาะสามครั้งเงียบจากนั้นเสียงล็อกกลไกซับซ้อนก็ดังกึกกัก ก่อนประตูจะค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นช่องทางเดินมืดมิดชายร่างสูงคนหนึ่งยืนเฝ้า เขามีแขนกลสีเงินข้างหนึ่ง และผ้าคาดปิดตาข้างซ้ายดวงตาที่เหลือหรี่มองลีแอนน์ ก่อนเลื่อนมาที่เบน“ลีแอนน์” น้ำเสียงของเขาเข้ม แผ่วต่ำ “นั่นใคร”“ออร์เรน” เธอกลืนน้ำลาย “เขาคือเบน แฮรอน…ลูกชายอีแวน”บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบไปทันทีชายที่ชื่อออร์เรนขยับช้าๆ ตามองเลือดสีเข้มที่ซึมจากผ้าพันแผล“…เลือดนั่น” เขา
ในความมืดของอุโมงค์หิน ความตายไล่ตามมาติด ๆ เสียงคำรามโกรธจัดของคาร์เซียดังก้องสะท้อนในโถงใหญ่เหมือนฝันร้ายไม่สิ้นสุด เบนหอบหายใจแรง ความเหนื่อยอ่อนเกาะรัดร่างกายจนขาแทบอ่อน แต่เขายังฝืนก้าวไปข้างหน้า มือของลีแอนน์กำข้อมือเขาไว้แน่น ไฟจากหลอดที่เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าคาดเอวส่องแสงสีเหลืองมัว ๆ บนพื้นหินเต็มไปด้วยคราบเลือด อากาศรอบตัวอับชื้น เหม็นกลิ่นสนิม ผสมกลิ่นเน่า จนแสบจมูก เสียงฝีเท้าของแวมไพร์ดังห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะยอมแพ้ คาร์เซียต้องตามมาแน่ เธอไม่ยอมให้เลือดของเบนหลุดมือเด็ดขาด “อีกไม่ไกล…ปลายอุโมงค์มีทางขึ้นไปข้างบน” ลีแอนน์หอบเสียงสั่น “จากตรงนั้น เราอาจหาทางออกไปถึงถนนได้” เบนพยักหน้า แม้สติจะพร่าเลือนเพราะเสียเลือดไปมาก เขามองแผลที่แขนซ้าย ตรงที่แทงเข็มเงินไว้ก่อนหน้านี้ เลือดสีเข้มยังไหลซึมออกมา แต่มันมีประกายเหมือนโลหะละลาย เขาจำได้ว่าเคยถามพ่อ…ว่าทำไมเลือดเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น พ่อไม่เคยตอบตรง ๆ แค่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มันไหลออกมา…จงระวัง ทุกคนจะอยากได้มัน” วันนี้ เขาถึงได้รู้ว่าพ่อพูดเรื่องจริง “นายต้องอุดแผล” ลีแอ
เสียงคำราม ดังไปทั่วห้องโถง คาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆ สายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อ เบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่ม คาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม “จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!” ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกัน เบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกาย ทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันที เสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจ เบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรง เสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทาง เขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียง เสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด “เบา ๆ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู มือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่ เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบ เบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทาง
เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล







