หลังทำเรื่องยืมหนังสือที่ต้องใช้ค้นหาข้อมูลประกอบการทำรายงานกับเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์คนสวยมาสองเล่มเรียบร้อย
เดินออกมาด้านนอกตึกหอสมุด ท้องฟ้าที่เคยมีแสงแดดเจิดจ้าก็ถูกความมืดกลืนกินไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เสาไฟทุกต้นมีไฟสีส้มส่องสว่างตลอดทางฉันชอบนะ บรรยากาศตอนย่างก้าวเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวแม้ว่าหน้าหนาวบ้านเราอากาศเย็นจะมาเร็วไปไวกว่าทุกประเทศก็เถอะ
แต่จะว่าไปอากาศ ณ ตอนนี้ ในเวลาเกือบ ๆ จะหนึ่งทุ่มของวันที่ยี่สิบปลาย ๆ ของเดือนตุลาคม ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้มันก็เย็นใช้ได้เหมือนกันแฮะ และเหมือนว่าอากาศมันจะเย็นกว่าทุกวันด้วยแฮะนับตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าประเทศไทยของเราได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนด้วย ลมเย็น ๆ ที่พัดโชยผ่านหน้าไปเมื่อกี้ให้ความรู้สึกดีจนอยากยื้อเอาไว้นาน ๆ“เป็นไปได้ขอหนาวกว่านี้อีกเยอะ ๆ เลยนะ”
ถึงฤดูนี้มันจะทำให้ดูเหงา ทำให้คนอยู่ไกลบ้านคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวมากกว่าช่วงเวลาปกติ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็แฝงด้วยความสุข ฉาบด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ
และฉันก็เชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าแทบทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะนับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองอย่างคริสต์มาส และ
ปีใหม่ ซึ่งก็เดือนหน้านี้แล้วที่เทศกาลเหล่านั้นจะวนกลับมามอบความสุข สนุกสนานอีกครั้งฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วคลี่ยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป กลับถึงห้องแล้วต้องโทรคุยกับแม่ให้หายคิดถึงหน่อย เวลานี้ต่อให้อยากยืนหลับตา ชูแขนซึมซับอากาศดี ๆ ที่หาได้ค่อนข้างยากในกรุงเทพฯ แค่ไหนก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไร เพื่อนร่วมเดินทางเท้าไปด้านหน้ามหาวิทยาลัย ณ ตอนนี้ไม่ได้เยอะเหมือนตอนช่วง
ที่พระอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่เหนือหัว รถบริการคันยาวคอยรับส่งอาจารย์ บุคลากร รวมทั้งนักศึกษาที่ต้องการไปกลับหน้ามอก็หยุดวิ่งไปตั้งแต่ห้าโมงแล้ว เวลานี้คือรีบได้ต้องรีบถ้าไม่อยากเดินออกไป คนเดียว“พริกหวาน!”
พริกหวาน ?
มีใครตะโกนเรียกฉันงั้นเหรอ ?
ฉันย่นคิ้วแล้วเหลียวหลังกลับไปมองที่ต้นเหตุแห่งความสงสัย เห็นปืนวิ่งมาด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกฉันก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่จะตามมาต่อว่าที่ไปไม่ร่ำลาอะไรแบบนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างที่คิดก็ดูไร้สาระไปหน่อยไหมอะ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ถ้าบังเอิญเจอกันตามถนนหนทางเขาอาจจำฉันไม่ได้แล้วก็ได้
“เธอ...”
“หืม”
“…” เรียกแล้วเขาก็เงียบไป
“มีอะไรรึเปล่า ถ้าไม่มีเรา...”
“จะออกมาทำไมไม่บอก” เขาโพล่งขึ้นมาในขณะที่ฉันยังพูดไม่ทันจบ ซึ่งทำให้ฉันจำต้องกลืนส่วนที่เหลือลงคอไปแบบงง ๆ
ปืนมองหน้าฉันนิ่งมาก คือคงไม่ได้คิดจะต่อว่าฉันจริง ๆ ใช่ไหม และก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปไกลปืนก็ทำฉันอึ้งเป็นรอบที่สอง “มันมืดแล้วเห็นไหม” คือทำเสียงดุไม่พอ ยังทำหน้าดุหน้าเข้มใส่ฉันอีก นี่เขากำลังข่มขวัญฉันอยู่กลาย ๆ รึเปล่า หรือเห็นฉันเป็นเด็กเล็กเหรอ แล้วถ้าเกิดฉันบ้าจี้ตอบไปว่ามืดแล้วมันยังไง ไม่บอกแล้วเธอจะทำไม เขาจะเหวี่ยงขายาว ๆ มาเตะก้นฉันไหม เอาเป็นว่าไม่เสี่ยงต่อความปลอดภัยดีกว่าเนอะ“ขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้บอกปืนก่อนว่าเราจะกลับแล้ว”
ฉันพูดเสียงอุบอิบ ยิ้มจาง ๆ แบบเก้อเขิน ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดที่กำลังตีกันจนสับสนวุ่นวาย และพยายามที่จะไม่คิดอะไรมากกับประโยคที่ว่ามันมืดแล้วเห็นไหมของเขาด้วย “อีกอย่างคือเราก็ไม่กล้าเรียกด้วยไง เห็นว่าปืนกำลังใช้สมาธิเลยไม่อยากรบกวน” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องมายืนอธิบายเหตุผลอะไรกับคนที่เพิ่งเจอด้วย ก่อนหน้านี้นอกจากแนะนำตัวเองแบบสั้น ๆ เขาก็ดูไม่ได้สนใจไยดีอะไรฉันขนาดนั้นและเหมือนปืนจะพูดอะไรสักอย่างฉันแอบจับสังเกตเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักคำได้แต่เดินหน้านิ่งขึ้นมาตีคู่ ฉันเลยทึกทักเอาเองว่าเขาคงจะเดินไปหน้ามอเหมือนกัน และยิ่งแน่ใจเมื่อฉันก้าวเท้า เขาก็ก้าวไปพร้อมกับฉัน ก้าวไปในจังหวะเดียวกัน
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเราสองคนก็เดินมาถึงหน้ามอ บริเวณจุดรอรถประจำทาง หรือป้ายรถเมล์นั่นแหละ โดยตลอดเส้นทางที่ฉันกับคนแปลกหน้าที่หน้าไม่แปลกเดินออกมาด้วยกันไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างเราเลย คำเดียวก็ไม่มี ฉันเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยยังไง ปากหุบ ๆ อ้า ๆ อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป ก็อย่างที่บอกเริ่มต้นไม่ถูก ตัวเขาเองก็ดูไม่ได้ต้องการจะคุย เลยเลือกที่จะเงียบ จมอยู่กับความคิดไร้สาระของตัวเอง
ฝ่ายปืนหลับตาใครก็ดูออกทั้งนั้นว่าเขาพูดไม่เก่ง เมื่อต่าง
คนต่างเป็นแบบนี้บรรยากาศรอบกายจึงดูอึมครึมตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นโชคดีของฉันเลยแหละที่ไม่ต้องยืนรอรถนาน ไม่ต้องทนกับบรรยากาศแปลก ๆ รอบตัวนานเกินไป มาหยุดยืนที่ หน้าป้ายได้ไม่ถึงห้านาทีรถสีเหลืองคันยาวบรรจุคนได้เยอะ และจอดมันทุกป้ายก็แล่นมาให้เห็นแล้วไม่ต้องคอยชะเง้อคอ ยื่นหน้าดูว่าสายไหนจะพากลับที่พักเหมือนหลาย ๆ คนเลยแหละ เพราะอะพาร์ตเมนต์ที่ฉันใช้เป็นแหล่งพักพิงมาตั้งแต่ปีหนึ่งนั่งรถเมล์ไปแค่สามป้ายเท่านั้นเอง ดังนั้นรถเมล์สายไหนที่จอดตรงหน้ามอฉันสามารถขึ้นได้หมด อีกหน่อยรถไฟฟ้าหน้ามอสร้างเสร็จสมบูรณ์วันนั้นฉันคงสบายกว่านี้ สายมียาวเลยหอเลยมอไปถึงสถานที่สำคัญหลายที่เลย ไม่เกินสิ้นปีนี้คงได้ใช้ บางสถานีมีเปิดทดลองให้ใช้บริการแล้ว
“เรากลับก่อนนะ แล้วก็...ยินดีที่ได้รู้จักนะปืน” ฉันยิ้มกว้างให้ปืนด้วยความจริงใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าออกไปข้างหน้าเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถโดยสารที่กำลังแล่นมาตามถนน และจะจอดเทียบป้ายในอีกไม่ช้า
ฉันไม่รู้ว่าปืนใช้สายตาแบบไหนมองมาที่ฉัน เขาจะยิ้มหรือไม่ยิ้มเรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้อีกเพราะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เอาเป็นว่าเรื่องนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจแล้วล่ะเพราะฉันจะถือว่าอย่างน้อย ๆ วันนี้ก็ได้รู้จักคนเพิ่มอีกหนึ่งคน
“แฟนยัยพิมพ์เขาเป็นลูกชายเจ้าของร้านทอง ตามจีบยัยพิมพ์อยู่นานกว่าแม่ลูกสาวฉันจะยอมใจอ่อนตกลงปลงใจคบหาด้วย ไอ้ตอนเรียนมหา’ลัยน่ะไม่เคยมีแฟนอย่างใครเขาหรอก” ปากป้าณีพูดกับป้าหมอนคนที่แกกำลังเม้าท์ด้วย ทว่าปรายตามองมาทางฉันที่นั่งโต๊ะติดกัน ประโยคต้นพูดอวยลูกสาวตัวเอง ประโยคหลังนี่กระทบกระเทียบ นี่แหละนิสัยป้าฉัน ซึ่งก็คือลูกพี่ลูกน้องของพ่อตอนนี้ขั้นตอนการทำบุญเลี้ยงพระแล้วผ่านพ้นไปแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวรับประทานอาหารร่วมกัน ป้าณีแกสั่งโต๊ะจีนมาหกสิบโต๊ะ อันนี้ทราบจากแม่ พี่พิมพ์วันนี้แต่งตัวสวยจัดเต็ม ข้างกายมีแฟนหนุ่มซึ่งได้รับการชื่นชมจากป้าณีไม่ขาดตามติดไม่ห่าง“โชคดีของยัยพิมพ์มันแล้วณีเอ๊ย แต่จะว่าไปแล้วลูกหลานตระกูลเธอได้แฟนหน้าตาดีกันทั้งนั้น” ป้าหมอนเอ่ยขึ้นมา ไม่ต้องคอยเงี่ยหูฟังฉันก็ได้ยินแม้ว่าเสียงดนตรีในงานจะดัง “อย่างแฟนของยัยหนูพริกหวานนั่นก็ดูดีเชียว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฐานะทางบ้านคงไม่ธรรมดา ผิวพรรณงี้ผุดผ่อง หน้าหล่อยังกับพระเอกละครแน่ะ ได้ยินใครว่าขับรถราคาหลายล้านเลยนะ”“แฟนยัยพิมพ์ก็เปลี่ยนรถขับเป็นว่าเล่น เอาเถอะยังไงฉันขอตัวไปคุยกับแขกคนอื่นต่อแล้วกันนะหมอน”“ป้าณีแก
“แฟนปืนสวยจัง”ลงบันไดมาจากชั้นสองของบ้านประโยคแรกที่ได้ยินก็ทำฉันยิ้มกว้าง วางมือลงบนฝ่ามือแกร่งที่ยื่นออกมารอรับ ริมฝีปากสวยแนบจูบลงบนหลังมือฉันด้วยสัมผัสทะนุถนอม ก่อนเขาจะรวบเอวฉันเข้าไปกอดแนบอก“แฟนเค้าก็หล่อมากกกก” ลากเสียงพลางคล้องแขนโอบรอบลำคอแกร่ง โน้มคนตัวสูงให้ก้มต่ำลงมาหา จูบหนัก ๆ ที่แก้มนุ่มซึ่งนุ่มน้อยกว่าฉันนิดนึง ก่อนจะเกยคางกับแผ่นอกแข็ง ๆ แหงนคอมองดวงตาลุ่มลึกที่แสนอบอุ่น“ชักไม่อยากให้ดื้อไปออกงานแล้วสิ หรือเราจะไม่ไปดี” ปืนพึมพำ จูบเปลือกตาฉันตามด้วยจมูก แก้มทั้งสองข้าง และมาหยุดที่ริมฝีปาก“เปลี่ยนใจมานอนกอดกันอยู่บ้านแทนเถอะค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันปืนคิดถึงกอดอุ่น ๆ ของดื้อ” แล้วเขาก็จูบจุ๊บปากฉันติด ๆ กันจนฉันหลุดเสียงหัวเราะ คิดถึงส่วนหนึ่ง หวงก็ส่วนหนึ่งแหละอาการนี้อะ หลังกลับจากบ้านสวนปืนฉันก็เอ้อระเหยอยู่ในกรุงเทพฯ ต่ออีกสามวัน แล้วถึงได้กลับมาบ้าน ตอนมาปืนก็มาส่งนี่แหละ แต่เขาจะมาขลุกตัวอยู่บ้านฉันลากยาวมันก็ไม่เหมาะ อีกอย่างเขาต้องช่วยงานพ่อกับแม่ด้วย เพราะใกล้สิ้นปีแบบนี้ทั้งร้านอาหาร และบริษัทต่างก็ยุ่งพอกัน เมื่อวานกว่าจะขับรถมาถึงที่บ้านฉันก็ปาเข้าไ
‘เกียร์วิศวฯ คือเกียร์แห่งความภาคภูมิใจ มีไว้เพื่อระลึกถึงความยากลำบากว่ากว่าจะได้มากูต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหน ส่วนเกียมัวคือเกียร์ที่กูก็ต้องพึงระลึกอยู่เหมือนกันว่าอย่าได้ทำอะไรให้เกียนี้ระคายเคืองเพราะอาจส่งผลถึงชีวิตกูได้’“ยิ้มอะไรคะดื้อ” เสียงทุ้มนุ่มถามข้างหู“คิดถึงเรื่องเกียร์อยู่ค่ะ” เงยหน้ายิ้ม แผ่นหลังพิงอกแกร่งสบาย“เกียร์เหรอคะ ดื้อหมายถึงเกียร์อะไร เกียร์ที่ปืนให้ดื้อเก็บรักษาเอาไว้ หรือปืนที่เกียมัว” เขาเขี่ยปลายจมูกฉัน ประโยคท้ายกระซิบด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ“ก็ทั้งสองแหละ” ฉันยิ้มเต็มใบหน้า ปืนรัดแขนแน่นแสดงอาการมันเขี้ยวฉัน ถ้าไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าคนเยอะเขาคงจับฉันฟัดไปแล้ว ไม่ทำแค่หอมแก้มธรรมดาหรอก“นี่ ๆ ๆ ที่เราจะปาร์ตี้หมูกระทะกันเนี่ย มีของครบเหรอ”“เออว่ะ ถ้าแจนไม่ทักคงไม่มีใครคิด” เป้ขมวดคิ้ว เท้าเอว“ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงคืนนี้ก็ได้กิน”“พูดแบบนี้หมายความว่ามึงเตรียมไว้แล้วเหรอวะไอ้ปืน”“อือ”สรุปได้ว่าก่อนมาปืนให้คนงานช่วยเตรียมซื้อเสบียงไว้รอท่าพวกเราอยู่ก่อนแล้ว เหมือนเขารู้อะว่าความต้องการของทุกคนคืออะไร รางวัลที่เขาสมควรได้ฉันเลยจัดไปชุดใหญ่ หอมแก้มเน้
เราใช้เวลากินข้าวกันประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นฉันก็ไล่ปืนให้ไปนั่งดูทีวี ส่วนฉันก็ทำหน้าที่เก็บกวาดโต๊ะอาหารแล้วถึงนำจานชามทั้งหมดมาล้างทำความสะอาด เสร็จจากในครัวฉันก็แวบมาดูปืนแป๊บหนึ่ง เห็นเขานั่งดูหนังเงียบ ๆ ฉันก็ยิ้มพอใจก่อนจะหมุนตัวเดินมาทางห้องนอน อาบน้ำอีกสักรอบ คืนความสดชื่นให้ร่างกาย“ถึงว่าทำไมหายมานาน”เท้าพลันชะงักเมื่อได้ยินเสียงเอื่อยเฉื่อยทักขึ้นมา ฉันคลี่ยิ้มแล้วเดินตรงมาที่เตียง แขนยาว ๆ ข้างหนึ่งเด่ออกรอท่าให้ฉันถลาเข้ามาอยู่ในวงแขน ส่วนอีกข้างกำมือถือฉันไว้ ระหว่างเราไม่มีความลับต่อกัน ใครจะใช้ของใครจึงไม่ใช่ปัญหา เขาเล่นของฉัน ฉันเล่นของเขา หยิบผิดหยิบถูกสลับเครื่องกันประจำเพราะตอนนี้ เราใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ความคิดปืนอีกแหละ เงินเขาด้วย“นึกว่าจะได้นอนหลับสบายบนเตียงคนเดียวซะอีก” แสร้งบ่นทว่าก็ทิ้งตัวลงนอนซบอกอุ่น ๆ ที่ช่วงหลังมานี้ฉันใช้มันนอนต่างหมอนเป็นประจำ“คิดว่าจะได้นอนหลับสบายจริง ๆ เหรอคะคนสวย” ถามเสียงเจ้าเล่ห์ก่อนจะงับแก้มฉันไปคำใหญ่ และดูดจนเกิดเสียงดังบ๊วบ ชอบเล่นอะไรแบบเนี้ย “ตอนอาบน้ำใหม่ ๆ นี่น่ากินนักแหละ” คราวนี้
ฉันกลั้นหายใจขณะเปิดและปิดประตู ก่อนจะเดินย่องเบา ลงน้ำหนักแค่ปลายเท้าเข้ามาในห้องนอนกว้าง ร่างสูงเปลือยท่อนบนอวดแผ่นหลังขาวจั๊วะของผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ที่กำลังนอนคว่ำหน้า ไม่รู้สึกรู้สากับอุณหภูมิที่เปิดเอาไว้เย็นจัด ฉันกัดริมฝีปากพลางอมยิ้ม คลานเข่าขึ้นมานั่งทับขาอยู่บนเตียง ใช้นิ้วชี้จิ้มสะกิดจึก ๆ บริเวณเหนือขอบกางเกงนอนขายาวก็ยังไม่ขยับจึงตัดสินใจเหยียดขาข้างขวาตวัดคร่อมสะโพกสอบก่อนจะพาตัวเองปีนขึ้นมานอนทับเรือนกายแข็งแรง แกล้งเป่าลมเข้าไปในหูสะอาด ปลุกคนนอนตื่นสายให้ตื่นจากการนอนหลับฝันดี“ปืนนนนน”“อือ”“ตื่นได้แล้วค่ะ ตอนนี้จะเที่ยงแล้วนะคะ”พรึ่บ“ว้าย” กรีดเสียงร้องด้วยความตกใจ ปืนพลิกตัวทีเดียวฉันก็ตกอยู่ใต้ร่างในอ้อมแขนเขา ทิ้งน้ำหนักตัวกว่าเจ็ดสิบกิโลกรัมให้ฉันเป็นคนแบกรับเอาไว้“แฟนปืนตัวหอมจังค่ะ” เสียงแหบแห้งของคนเพิ่งตื่นงึมงำ จมูกกับปากคลอเคลียอยู่ตรงซอกคอ ฉันแทรกนิ้วเข้าไปซุกในเส้นผมนุ่มลื่น สิ่งที่โปรดปรานอีกอย่างหนึ่งของฉันคือการได้เล่นผมเขา แล้วเขาเองก็ชอบที่ฉันหมั่นนวดคลึงหนังศีรษะ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ ผู้ชายหลายคนอาจจะถือ ไม่ปลื้มที่แฟนเล่นหัวแต่ส
หลังจากกินอิ่มเราก็หอบหิ้วของฝากมาให้พ่อกับแม่ ปืนเขาคอยถามตลอดว่าเอาอันนั้นไหม พ่อจะกินไหม แม่จะชอบรึเปล่า แล้วเขาก็เข้ากันได้ดีกับน้องชายฉันมาก ๆ ฉันดีใจนะ ดีใจมากเลยล่ะที่การคบกันของเราสองคนไม่ได้นำพาความหนักใจให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อนฉันหลาย ๆ คนเจอปัญหาครอบครัวแฟนไม่ปลื้ม เข้ากับใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าวันใดวันหนึ่งฉันต้องเจอกับสถานการณ์แบบนั้นจะทำยังไง ซึ่งมันก็ไม่ได้คำตอบ เพราะเรายังไม่เจอ จนวันนี้ฉันมีแฟน และปัญหานั้นฉันกับปืนไม่มี จึงบอกได้เลยว่ามันคือความโชคดีของเรา “แอบคิดถึงผู้ชายคนไหนรึเปล่าคะดื้อถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” “อื้อ” “อื้อนี่คือไรดื้อ” “ก็คิดไง” “ว่าไงนะ!” “คิดถึงปืน” ยิ้มอ้อนปืนก่อนเอนหัวพิงไหล่เขาอย่างออดอ้อน “คิดถึงปืนในแง่ไหนเล่าให้ฟังหน่อย พูดดีมีรางวัล พูดไม่ดีต้องโดนทำโทษ” ฉันอมยิ้ม ปืนยกมือขึ้นลูบผม ได้ยินเสียงสูดดมแถวข้างขมับแล้วพึมพำว่า “หอม” “คิดว่าเค้าโชคดีจังที่ได้เจอกับเธอ และที่โชคดีไม่แพ้กันคือครอบครัวของเรารักและเอ็นดูเรา” มุ