“เบ็กกี้ ฉันรู้นะว่าการเจอกันครั้งแรกของพวกเราไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่เพื่อนของฉันไม่ใช่พวกนิสัยไม่ดีอย่างที่เธอเคยเจอแน่ พวกเขาไม่ทำร้ายเธอหรอก จำที่เธอตะโกนใส่หน้าฉันได้ไหม เธอโกรธที่ทุกคนตัดสินเธอ ถูกไหม มันเหมือนกันแหละ เธอก็ตัดสินพวกเราไปแล้ว แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่พวกเราทำกับเธอมันถูกหรอกนะ เรื่องตลกบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับคนอื่น พวกเราเสียใจจริง ๆ นะที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้น”
ใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สายตาของเด็กสาวมองต่ำลง “ฉันขอโทษเหมือนกัน ฉันขอโทษที่พูดแบบนั้นกับเธอ”
แน่นอน เธอโล่งอก อเล็กซิสมีบทเรียนกับการที่เธอไม่สนใจที่จะพูด ไม่ยอมสังเกตคนรอบข้าง เพราะเหตุนี้เธอเลยเสียจูนไป แม้ว่าเธอเพิ่งเจอเบ็กกี้ แต่เพราะเห็นว่าเด็กสาวเจอเรื่องเลวร้ายมามากพอสมควร เธอไม่อยากปล่อยเด็กคนนี้อยู่คนเดียว แล้วในสภาพเหมือนถูกขับไล่ออกจากกลุ่มแบบนั้น เบ็กกี้เป็นแค่เด็กผู้หญิงและเป็นเหยื่อของพวกความเชื่อสุดโต่งกับพวกคนเลว
“เอาล่ะ พวกเราจะไปกันได้แล้วหรือยัง”
“ไปไหนเหรอ”
อเล็กซิสกระโดดลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง “กินข้าวไง เธอเป็นสมาชิกใหม่แล้วนะ”
แม้ว่าเบ็กกี้ยอมเชื่อใจอเล็กซิสมากขึ้น แต่แทนที่สาวน้อยผมแดงจะเดินข้างกาย เธอกลับเลือกเดินตามหลังต้อย ๆ ทั้งสองปะกับอเล็กซ์โดยบังเอิญ พอเขาเห็นเบ็กกี้ ชายหนุ่มยิ้มแล้วปรบมือ “ยินดีด้วย สำหรับตำแหน่งพี่เลี้ยงคนใหม่”
“เงียบน่า แล้วเพื่อนซี้นายล่ะ”
“เดี๋ยวมา เฮ้ ทำไมต้องหลบหน้าฉันด้วย ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาบ่นเมื่อเบ็กกี้เกาะหลังเธอแน่น
“เบ็กกี้ เมื่อกี้เขาแซวฉัน ไม่ใช่เธอหรอก”
“เด็กคนนี้ไม่กลัวเธอแล้วเหรอ” อเล็กซ์ถาม คนที่เพิ่งถูกแซวยิ้มกว้าง “มิน่า” เขาชำเลืองมองเบ็กกี้อีกแวบหนึ่ง “จะว่าไป เหลืออีกแค่สามวันเอง เธอคิดถึงห้องนั้นไหม”
พวกเขากำลังเดินไปห้องอาหาร เป็นครั้งแรกที่เธอได้คุยกับอเล็กซ์เป็นการส่วนตัวหลังจากออกมาจากท้องฟ้าจำลอง (แม้จะมีน้องสาวตัวเล็กตามอยู่ข้างหลังก็ตาม) วันนั้นพวกเขาคุยกันจนถึงเช้า ลืมข้าวเช้าไปเสียสนิท มันเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง พวกเขาพูดถึงข้อสงสัยต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ รวมทั้งปัญหาปรัชญามากมายตามความเข้าใจของตัวเอง จนมีแขกคนอื่นเข้ามาในห้อง บทสนทนาจึงจบลง ทว่าความรู้สึกบางอย่างยังติดอยู่ในใจ มันเป็นเหตุการณ์ที่แปลกและน่าจดจำในเวลาเดียวกัน เพราะเธอสามารถคุยกับคนที่เพิ่งเจอได้ถึงขนาดนี้ แถมในหัวข้อที่คุยกับใครไม่ได้นอกจากเขา มันคงเป็นเวทมนตร์หนึ่งที่อเล็กซ์มี
“แต่พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่กลับไปนี่นา”
“ใช่ แต่พวกเราไม่ได้จะกลับไปแบบ...ฉันหมายถึง เรากลับไปคุยกันแบบนั้น จะแหกกฎสักนิดไม่ได้เหรอ” เขาเหล่ตาเอียงคอทำให้ผมสีดำที่ปรกหน้าเลื่อนลงมา อากัปกิริยาที่ทำให้มุมปากของอเล็กซิสกระตุกนิด ๆ
“ก็จริงนะ...มันไม่ได้ตายตัวสักหน่อยเนอะ” เธอเออออ
“ถ้าอย่างนั้น...”
“นายได้พลังมายังไงเหรอ” เบ็กกี้แทรกขึ้น ดวงตาสุกสกาวสะท้อนให้เห็นความคิดข้างในว่าอยากจะมีส่วนร่วมบ้าง สาวน้อยผมแดงอยากคุยด้วยแต่เลือกฝึกทักษะเข้าสังคมผิดเวลาไปหน่อย
อเล็กซิสหวังว่าเธอจะไม่ทำแบบนี้ เพราะเธอรู้สึกว่าอเล็กซ์กำลังจะชวนเธอกลับไปที่นั่นอีกในคืนนี้ และหัวใจของเธอก็ลิงโลดรอคำชวนนั้น ไม่ ไม่สิ ไม่ได้ลิงโลด ฉันแค่ชอบคุยหัวข้อพวกนั้นต่างหาก แค่นั้นเอง เธอเลิกคิดเรื่องไร้สาระในหัว เพราะอเล็กซ์ทำหน้าเหมือนโดนสูบความสุขออกไปจนหมดเมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป
เธอพยายามไม่มองหน้าเบ็กกี้เพราะเด็กสาวจะเข้าใจว่าเธอตำหนิ มันคงไม่ใช่คำถามที่เหมาะสมเท่าไรสำหรับคนที่เพิ่งเจอกัน เบ็กกี้แค่ไร้เดียงสาเกินไปที่จะตระหนักถึงข้อนี้
“ฉะ ฉันขอโทษที่ถามแบบนั้น” สาวน้อยผมแดงกล่าวตะกุกตะกัก
อเล็กซ์ยังคงเงียบเหมือนกับจมหายไปกับความคิดในหัว ผิวของเขาขาวซีดเป็นทุนเดิม ดังนั้นเมื่อมีอาการเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง สภาพในตอนนี้จึงไม่ต่างจากแวมไพร์หนุ่ม ชายหนุ่มเป็นคนดูดีมีเสน่ห์แม้เพียงสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนสีดำ เขาอาจไม่มีกลิ่นอายอันตรายหรือน่าหลงใหลอย่างเบน ไม่หล่อฮอตอย่างเวด และไม่ได้เทพบุตรจ๋าอย่างหนุ่มผมสีเงิน แต่เขากลับมีเอกลักษณ์พิลึก แปลกแต่ยังเท่ ยิ่งเธอนึกถึงภาพเขาตอนถือบุหรี่ในมือ (และแม้เธอไม่ชอบกลิ่นบุหรี่) ก็ยังดูกวนประสาทแต่ก็คูลในเวลาเดียวกัน ทว่าเมื่อไม่มีมัน บางครั้งเขาก็เหมือนคุณชายมาดดี
“เขาโกรธฉันเหรอ” เบ็กกี้กระซิบถาม
อเล็กซิสสบตากับอเล็กซ์ “เธอไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องส่วนตัวของนาย”
ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วปัดผมออกไปจากหน้าตัวเอง “ไม่...มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรอก ก็แค่ ฉันอยู่ในโรงพยาบาล...และรู้ว่า...ตัวเองสูญเสีย...”
“...สูญเสีย?” เด็กสาวทั้งสองทวนคำ
“...”
อเล็กซิสจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำที่ส่งกลับความเศร้าหมองและโหยหา และทันใดนั้นเธอกลับเหมือนหลุดเข้าไปในอวกาศ เห็นดวงดาวรอบตัว เขาพกจักรวาลของตัวเองมาด้วย เขายืนอยู่ใกล้ ใกล้พอสมควร อย่างน้อยไหล่ชนกัน ราวกับทั้งคู่ลืมว่ายังมีอีกคนอยู่ด้วย เมื่อไม่มีกลิ่นบุหรี่ กลิ่นหอมจากตัวเขามาจากสบู่ คล้ายกับว่าอเล็กซ์มีแม่เหล็กคอยดึงเธออยู่ เบ็กกี้อยู่ด้วย เวทมนตร์ของเขามีผลกับเธอมากกว่าที่คิด มันปลุกความรู้สึกประหลาดและเธอพยายามจะหยุดมันไว้ เบ็กกี้อยู่ด้วย แต่เพราะตาคู่นั้น มันมีพลังในระดับหลุมดำขนาดยักษ์ที่พยายามจะกลืนกินเธอ อเล็กซิสเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อรู้สึกว่าสายตาของเบ็กกี้กำลังเพ่งมองอย่างสงสัย
เธอค่อยดึงสติกลับมาเป็นตัวของตัวเอง อเล็กซ์เหมือนอยากจะพูดบางสิ่งแต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ “ฉันจำได้ว่าเธอเอาเครื่องเล่นซีดีมาด้วย ขอยืมได้ไหม” คำถามนี้เหมือนผุดขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน และเขาทำเหมือนเบ็กกี้ไม่ได้ถามอะไรเลย
“อ้อ ใช่ ได้สิ ตอนนี้เลยเหรอ”
เขาพยักหน้า
อเล็กซิสปรับสีหน้า “ดะ ได้ เดี๋ยวกลับห้องไปเอาให้”
“แล้วกินข้าวล่ะ ฉัน...ฉันไม่ไปคนเดียวนะ” สาวน้อยผมแดงท้วง
เด็กสาวผมสีน้ำตาลอยากตบหน้าตัวเองให้ตื่นสักที “เธอมากับฉัน เอ่อ ไม่ใช่” เป็นอะไรไปนะเรา “อเล็กซ์ ฉันให้เครื่องเล่นหลังกินข้าวได้ไหม”
“อ้อ ได้สิ” เขาพยักหน้าตอบ “เออนี่ เธอทำให้เด็กคนนี้ตามเธอต้อย ๆ ได้ไง” พูดแล้วพยักพเยิดไปทางเบ็กกี้ “เหมือนลูกหมาตัวเล็ก ๆ เลย”
“นี่” เธอตีแขนชายหนุ่ม “อย่าพูดแบบนี้ได้ไหม” เบ็กกี้อาจจะคล้ายมินนี่ แต่ก็มีจุดต่างเหมือนกัน นั่นคืออ่อนไหวต่อคำพูด ส่วนมินนี่นั้นไม่ได้สนใจ
หนุ่มร่างสูงยิ้มล้อ “งั้นแสดงว่าเธอล้างสมองเด็กคนนี้ได้สำเร็จสินะ”
“ไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย”
“เธอไม่ได้ทำแบบนั้น”
อเล็กซ์เอียงคอแล้วยิ้มแบบ เห็นไหมล่ะ จากนั้นพูดว่า “แล้วมีรายชื่อคนที่จะฆ่าแล้วยัง กี่คนล่ะ"
“สอง นายล่ะ”
“เยอะแยะ”
เด็กสาวหัวเราะ อเล็กซ์ยื่นหน้าถามเบ็กกี้ “แล้วเธอล่ะ”
คนตัวเล็กสุดส่ายหน้า
“อ้อ เด็กดี ๆ“ แล้วเขาก็ยกมือลูบหัวเบ็กกี้แผ่วเบา ซึ่งน่าแปลก เบ็กกี้ดูหายอึดอัดมากขึ้นแม้เขาจะทำเหมือนเธอเป็นลูกหมาก็ตาม บางทีเธออาจจะเลือกให้อเล็กซ์แสดงท่าทีเอ็นดูแบบนี้มากกว่ากวนประสาท หรือมองเธอเป็นตัวประหลาด
“โอเค กลับไปหัวข้อก่อนหน้า ถ้าเธออยาก...เธอมีแผ่นของศิลปินคนไหนบ้างนะ”
อาการปวดหัวตุบ ๆ เกิดขึ้นอีกครั้งที่สองข้างขมับ ข้อเสียของอเล็กซ์คือเดี๋ยวผีเข้าผีออก “คาร์เมน เดอะ ดาร์ก เอจ แล้วก็ เอกโค่ ออฟ มายน์”
“รสนิยมดีนี่ วงโปรดฉันหมดเลย แต่อยากฟังคาร์เมนสำหรับคืนนี้ วันนี้เธอจะกินอะไรล่ะ”
เด็กสาวทั้งสองสบตากัน “เอาจริงนะอเล็กซ์ ฉันตามนายไม่ทันอะ แป๊บ ๆ นายก็เปลี่ยนหัวข้อ ไหวไหม”
“ก็คนมันท้องว่าง สมองก็เลยโล่งไปด้วย ฉันหิวมากน่ะ” เขาพูดแล้วสาวเท้านำหน้าไปไกล ปล่อยให้คนที่เหลือยืนงง
เมื่อเห็นว่าพวกเธอไม่ตามไป เขาหันกลับมา “ไปทางเดียวกันไหมคุณ”
อเล็กซิสถอนหายใจแล้วหันหน้าไปหาเบ็กกี้ “ถ้ามีคนบอกว่าเธอแปลกละก็อย่าไปใส่ใจเลย เธอกำลังจะมีเพื่อนแบบเดียวกันแล้วล่ะ”
ไม่ต้องรอว่าเบ็กกี้จะเข้าใจหรือไม่ พี่สาวป้ายแดงจับมือน้องเล็กแล้วผละจากจุดนั้น
บราวน์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า วาร์กเนอร์เป็นหัวหน้าทีมคนก่อน“ครับ” เขาตอบสั้น ๆ แต่นัยน์ตาจับจ้องที่ดวงหน้าผู้ถาม สีหน้าของเดวิสดูซีดลงเล็กน้อย นัยน์ตาหม่นแสงลงคล้ายกับไม่สบายใจ เขาไม่แน่ใจนักว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไปถึงขั้นไหน แต่คงมากพอที่จะให้วาร์กเนอร์พยายามหาข้อมูลไปประเคนชายหนุ่มคนนี้ได้งี่เง่า โดยเฉพาะวาร์กเนอร์ที่ดันผันตัวจากไฟเป็นหิ่งห้อย“พวกเราตกใจนิดหน่อยว่าอาจมีปัญหาอะไรหรือไม่...” ดูเหมือนเขาพยายามจะหาเหตุผลเพื่อไม่ให้ตัวเองดูผิดปกตินัก นายน้อยโวลคอฟคลี่ยิ้มน้อย ๆ “...หรือมีข้อตกลงที่ฝ่ายคุณไม่พอใจเป็นต้น”“ไม่หรอกครับ” บราวน์ตอบทันที “ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่คุณวาร์กเนอร์ถูกย้ายไปประจำตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกว่า ทีแรกผมกังวลที่ต้องมาประสานงานต่อ แต่อย่างที่เห็น ทุกอย่างเรียบร้อยดี อีกอย่างการโยกย้ายก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจเบื้องบน มัน...ค่อนข้างจะเป็นเรื่องภายใน ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ...” เขาวางมือลงบนโต๊ะ “...งานตรงนี้หรอกครับ”ในห้องเงียบไปสักพัก เค
ปัญหาไม่ใช่เนื้อหางานหรือรูปแบบของงานแต่อย่างใด แต่มันคือเหตุใดต้องเป็นเขาระแคะระคาย? ก็อาจเป็นไปได้ แต่อย่างที่บราวน์สรุปไปก่อนหน้า เมื่อไม่ลงมือก็แปลว่าขาดหลักฐาน เมื่อไม่จัดการก็แปลว่ายังต้องการอยู่ดังนั้นหากบราวน์จะรู้สึกเสียวสันหลังนิดหน่อยก็ไม่แปลกนัก การประสานงานกับคนภายนอก ทั้งยังต้องระมัดระวังข้อมูลไม่ให้รั่วไหล ยิ่งบราวน์ตงิดใจว่าถูกจับตามอง หากแม้เขาระวังตัวเพียงใด แต่คนใต้อำนาจเกิดสะเพร่าขึ้นมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรเสียเขาก็ต้องโดน...ก็นะ ถ้านี่ไม่ใช่กับดักขอเถอะ อย่างน้อยให้ส่งของก่อนสักพัก เคย์ซี่เข้ามาเสิร์ฟกาแฟ เมื่อเธอหันหลัง บราวน์อดไม่ได้เหลือบมองบั้นท้ายกลมกลึง กระโปรงของเธอยาวพอดีเข่า แต่เพราะมันรัดรูปจนเห็นเป็นทรงสวย...ผลของการสควอทสินะ เขาสังเกตเรียวขาที่มีเส้นกล้ามเนื้อบ่งบอกว่าออกกำลังกายอย่านอกเรื่อง เขาส่ายหัว อย่างไรก็เป็นผู้ชาย มองนิดมองหน่อยไม่เป็นไรแต่อย่าทำให้สมาธิเสียก็เท่านั้น เขายักไหล่ให้ตัวเองแล้วมองข่าวบนจอโทรทัศน์“...กองทัพส่งกำลังเสริมเข้าต้านฝ่ายก่อกา
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ผสานไปกับเสียงแตรรถ เครื่องยนต์ และประกาศต่าง ๆ ไม่ว่าจะโฆษณาเชิญชวนซื้ออาหารกล่องยามเช้า ไปจนถึงเครื่องดื่มบำรุงกำลัง รณรงค์ให้สวดมนต์เพื่อขอให้พระผู้เป็นเจ้าโปรดประทานอภัยแก่บาปของมนุษย์ บางคนหยุดแวะสนทนากับคนรู้จัก บ้างเดินฝ่าฝูงชนเพื่อรีบเข้าไปแตะบัตรให้ทัน ส่วนเขาเพียงแค่หยุดมองหนังสือพิมพ์ที่แขวนเรียงกันอยู่บนเพิงขาย ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาทักคนแปลกหน้าเพียงเพื่อถามเรื่องราวที่ปรากฏอยู่บนข่าวหน้าหนึ่ง“คุณว่าไง” ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปลายกระตุกแขนเสื้อโดยไม่คำนึงถึงมารยาทนอกจากอยากสนทนาล้วน ๆ หากไม่ใช่เพราะเขาอยากสัมผัสชีวิตมนุษย์เงินเดือนครั้งแรก อยากเห็นหน้าค่าตาผู้คนในสำนักงานจึงยอมเสียเวลาให้คนขับรถจอดตรงหัวมุมตึก ก็เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใส่สูท ไม่ใช่เครื่องแบบผ้าหนาและอาวุธครบมือ“ว่าไง จริงไหม คุณว่าเด็กพวกนั้นจะกล้าเผาจริงหรือ”บราวน์เลิกคิ้วพลางชายหางตามองคนดังกล่าว แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจหากแต่ยัดหนังสือพิมพ์ใส่มือเขา “เงียบทำไมเล่า คุณทำงานในนั้นก็ต้องรู้บ้างสิ” สายตาของเขาประเมินมองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ชายคนนี้จงใจเข้ามาทักเพราะรู้
“สำหรับคำถามสุดท้ายขอติดไว้ก่อน เรื่องมันยาว” เธอตอบแล้วหันกลับไปเช็กจอมอนิเตอร์อีกครั้ง สักพักมีสัญญาณกะพริบขึ้นมา เธอรีบกดปุ่มหนึ่งบนแผงวงจรแล้วกระชากไมโครโฟนมาจ่อปาก “ฮัลโหล”พวกเขาได้ยินเสียงซ่าอยู่ราว ๆ สามสิบวินาที ต่อจากนั้นเป็นคำด่าหยาบคายล้วน ๆ หญิงสาวผมดำสั่นหัวเล็กน้อยแล้วหันมามองเขา ก่อนจะยื่นไมโครโฟนให้ “บอกชื่อตัวเอง พูดกับพวกเขาที” มันไม่ใช่คำขอร้อง เพราะไมโครโฟนถูกยัดใส่มือจอห์นแล้ว“ฮัลโหล” เขาพูดใส่ไมค์มีเสียงด่ากลับมาอีกรอบ ประมาณว่า ไปตายซะ สารเลว นีโอนาซี และอีกมากมายที่ออกมาราวกับฟังเพลงแร็ป“เอิ่ม” เขากระแอม “ผมชื่อ จอห์น ลีลอยด์ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณ และ...กับผม...”เสียงในสายหยุด เขาได้ยินเสียงผู้หญิงแทรกขึ้นมาว่า “พูดดี ๆ สิ เรมี!”“คุณคือจอห์น ลีลอยด์?” ผู้ถือสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงในพริบตา“ใช่” จอห์นตอบ“ใครวะ” เขาได้ยินเสียงแทรก ผู้หญิงคนเดิมด่าคนที่แทรกขึ้น
เขาส่ายหน้าอีกครั้ง จนปัญญาจะตอบ โรซ่ามองหาวัตถุแข็ง ๆ มาทุบกระจก แต่ก็ไม่มีแถวนั้น จอห์นจึงต้องลองใช้ความสามารถดังกล่าวอีกครั้ง กว่าจะปลุกทุกคนจนครบก็แทบหอบ แถมโรซ่ายังซักถามไม่หยุดว่าเขากลายเป็นกลุ่มเสี่ยงตั้งแต่เมื่อไร แถมยังตะบึงตะบอนงอนที่เขาไม่ยอมบอกอยู่ราวสิบนาทีพวกเขามีกันทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน จอห์นเดินนำทุกคนออกไปจากห้อง ทั้งหมดทำท่าเหมือนเด็กน้อยเล่นซ่อนแอบ ต่างระมัดระวังสุดฤทธิ์ แต่เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็พบว่ามันเป็นตึกที่ถูกทิ้ง ยังไม่ถึงกับร้างเพราะระบบไฟฟ้าทำงานปกติ ห้องหับส่วนใหญ่นั้นปิดเงียบ ไม่มีใครอยู่เลย สถานที่ที่พวกเขาถูกจับมานอนนั้นมีลักษณะเหมือนตึกทดลอง มีส่วนสำนักงานที่ประกอบไปด้วยโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์จอบางเฉียบ ห้องประชุม ห้องทดลองที่ปราศจากสิ่งของทดลองใด ๆ ทั้งหมดจึงพยายามหาทางออก แต่เพราะไม่รู้เส้นทางก็กลายเป็นเดินสำรวจมากกว่าไม่มีใครรู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไร เวลาอะไร ผ่านไปร่วมสามชั่วโมง แต่ละคนเริ่มหมดแรง จนกระทั่งโรซ่าเจอบันไดขึ้นไปอีกชั้น ที่นั่นเอง พวกเขาเห็นว่ามีห้องหนึ่งมีแสงสว่างมันคล้ายกับห้องควบคุมในยานอวกาศ แบบที่เขาเคยแสดงเป
เสียงผู้คนมากมายดังอื้ออึงอยู่รอบตัว แต่หนังตาหนักเกินกว่าจะลืมขึ้นได้ เสียงของใคร เสียงคนพวกไหน ถึงเวลาไปทำงานแล้วหรือยัง นาฬิกาไม่ปลุกสักที วันนี้เขาต้องทำอะไรนะ หรือว่าตอนนี้นอนอยู่ในบ้านหลังเก่า เมืองบลูเบลล์อันแสนสงบสุข เขานึก แต่ดูเหมือนสมองทำงานเชื่องช้าไม่ทันใจ หรือว่าวันนี้มีถ่ายแบบ หรือว่าเข้าฉาก ทำไมคนเยอะขนาดนี้ ใครเข้ามาในรถเทรลเลอร์ หรือว่าเขาแอบงีบหลับ ตื่นสิ ตื่นสักทีตื่น!แสงไฟสีขาวสลัวไม่ได้ทำให้แสบตาเท่าไรนัก แต่สติของเขานี่สิยังหน่วงแปลก ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกแน่นหน้าอกจนไอออกมารัว ๆ มือทั้งสองข้างยื่นออกไปแต่...ติดกระจก อะไรกัน เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตัวเขานอนเหยียดยาวอยู่ในโลงแก้วนี่นา คิดแล้วก็มองไปรอบ ๆเขานอนอยู่ในโลงแก้วจริง! แต่จะว่าอย่างไรดี มันไม่ได้อับจนหายใจไม่ออก กลับโล่งจมูกดีด้วยซ้ำ กระจกโค้งมนพอให้คนข้างในพลิกตัวนอนได้ แต่ใช่เวลาพลิกตัวแล้วหลับต่อหรือเปล่า...แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาหันไปทางซ้ายจึงเห็นร่างหญิงสาวผมสีทองนอนหลับสนิทราวกับเจ้าหญิงนิทรา เธอสวมชุดสีแขนยางกางเกงขายาวสีขาวสะอาดเหมือนกับเขาเลย หันไปทางขวาก็เจอผู้ชายนอนอยู่