ไม่มีใครปริปากพูดอะไร มีเพียงเสียงน้ำรอบทิศทาง เทสซ่าหันไปมองมินนี่ สงสัยว่าน้องสาวเข้าใจหรือไม่ เด็กสาวเอาแต่จ้องผู้พูดด้วยแววตาสนใจแต่ไม่อาจอ่านออกได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร เธอมองเบลินดา ดวงตาสีช็อกโกแลตเหมือนสีผมมองกลับมาแล้วหลบไป เธอยังกลัว ฉันรู้ อิสรภาพก็อยากได้ ความตายก็ใช่ว่าไม่กลัว มันมาพร้อมกัน
“เราจะทำอย่างไรได้” ผู้หญิงคนหนึ่งแย้งขึ้นมา เทสซ่าไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร แต่อยู่ในกลุ่มของเมลิสซ่า หรือว่าผู้หญิงคนนี้คือเมลิสซ่า “แล้วข้างนอกอีก นอกกำแพงเป็นอะไร เราอยู่บนเกาะหรือเปล่า ใครรู้ ไม่มี ไม่เลย”
เซนพยักหน้า “ใช่ แต่คนที่หายไปไม่ได้ตายในราซาทุกคน ยังมีอีกหลายคนที่สาบสูญจากที่นี่ แสดงว่ามันมีทางออก มันมีทางรอดอยู่”
“หรือตายข้างนอก ออกไปได้ แต่ตาย” เธอย้ำคำหลัง “หรือตายในนี้เพราะพยายามจะออกข้างนอก”
แม้เทสซ่าไม่ชอบโทนเสียง แต่คำพูดของผู้หญิงคนนี้มีเหตุผล เธอดึงให้หลายคนมองความเป็นจริง คนเราจะหนีออกจากกำแพงได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคืออเล็กซิสยกมือขึ้นอย่างสุ
เอมอนคงรู้หมดแล้วสินะ เธอคิดถูกแล้วที่ไม่ไปหาเดสซิเร ป่านนี้เอมอนก็คงขลุกอยู่กับเธอ เดสซิเรเหมือนหมอประจำบ้านของพี่น้องเทอร์นเนอร์ ใครเป็นอะไรก็ไปหาหญิงสาว แต่เธอนิสัยน่ารักจริง ๆ อาจไม่ใช่ผู้หญิงที่พูดจาอ่อนหวานแต่เธอรับฟังทุกคน เดสซิเรสลัดคราบสาวไฮโซออกไปจนหมด ไม่แปลกหรอกหากเอมอนจะมองเธอเหมือนนางฟ้า“แล้วนายต้องการอะไรจากฉัน”เขาลุกขึ้น อเล็กซิสได้กลิ่นแอลกอฮอล์เคล้านิโคติน บลูก้มหน้ามองเธอ แววตาของเขาสับสน แต่เมื่อสังเกตว่าสายตาของอีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับใบหน้าสลับกับปาก เธอเข้าใจทันที สัญชาตญาณหรือสายเลือดอาจเป็นตัวที่ทำให้เธอกับไมเคิลไม่อาจทำได้มากกว่านั้น แม้ทั้งสองยังไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกันตั้งแต่แรก แต่กับบลู...บางครั้งเธอสงสัยว่าตัวเองจะก้าวพ้นจากความเป็นเด็กดีของคาเลบและเบียนน่าได้เท่าไร เธอต้องการอ้อมกอดและจูบ “แต่เขาไม่ใช่อเล็กซ์” เธอรู้ ออสโล่พูดถูก“และเขาก็ไม่ใช่ฉัน” เธอพยักหน้าให้เวด แต่ความอยากลองนั้นมากกว่า ผู้ชายคนนี้อาจจะกักขฬะไปบ้าง แต่เธอรอดชีวิตจากราซาได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะหมอ
“ฉันต้องให้พวกเขาออกมา” แต่ใครจะเข้าใจว่าสิ่งที่เธอตอบจริงจังไม่ใช่เรื่องล้อเล่น “นายต้องเชื่อฉันนะ” อเล็กซิสไม่ยอมแพ้ เธอกำเจ้าสิ่งนั้นไว้แน่นแล้วขืนแรงเพื่อดึงแขนตัวเองออก แม้ไม่อาจเอาชนะแรงไมเคิลได้ อย่างไรก็ตาม เธอไม่ยอมง่าย ๆ มือจึงคาติดอยู่ในกระเป๋าแบบนั้น“ก็ได้” เธอดึงแท่งยาให้อยู่ตรงฝ่ามือแล้วสไลด์มือออกมาปล่อยให้มันหล่นลงบนเตียง ขณะที่ตัวเองชูมือเปล่าดึงความสนใจ ส่วนมือซ้ายรีบเก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเอง ไมเคิลยังจับผิดแต่คงไม่คาดคิดว่าอเล็กซิสจะขี้โกงได้ขนาดนี้ เธอชูมือเปล่าทั้งสองมือ “ยอมแล้ว”นายควรใช้กางเกงสกินนี่ของเล็กซี่ยีน เธอจำได้ว่ามันช่วยไม่ให้เธอถูกข่มขืนเพราะความสกินนี่ของมันพอไมเคิลชั่งใจเธอจึงรีบเดินเข้าห้องน้ำ ปิดประตูล็อก เมื่อนั้นเขาวิ่งมาเคาะประตูรัว ๆ เหมือนเพิ่งรู้ตัว “เปิดเดี๋ยวนี้” แต่อเล็กซิสทิ่มมันลงเส้นเลือดเรียบร้อย ไม่ถึงวินาทียาถูกฉีดเข้าเส้นเลือด เธอค่อย ๆ นั่งลง กำลังกายค่อย ๆ สูญหาย ตอนนั้นเองออสโล่นั่งลงข้างเธอ พวกเขาเป็นอิสระ พอดีกับที่ไมเคิลพังประ
“พวกเขาตายแล้ว ถ้าคุณมีตัวอย่าง...”“ซีโน่และซีน่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสองคนแรก และใช่ พวกเขาตายไปแล้ว แต่ข้อมูลทางพันธุกรรมยังอยู่ เชื่อไหมว่าเรายังเก็บตัวอย่างเลือด เส้นผม ชิ้นส่วนไว้ด้วย และฉันก็แอบขอร้อง...” แสตนเนอร์ลุกขึ้นยืน เท้าแขนทั้งสองข้างลงกับโต๊ะ เขาหยุดประโยคล่าสุดแล้วเริ่มต้นประโยคใหม่ “ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าพวกเธอสองคนรอดมาได้อย่างไร แยกกันได้อย่างไร เกิดมาได้อย่างไร และ...” มือข้างขวาชี้ออกมา “เป็นตัวอะไรกันแน่”“แต่พวกเขาเป็นฝาแฝด” เรมีแทรก “ฝาแฝดนะครับ”ขอบคุณที่ย้ำ ตอนแรกเธอยินดีที่กลายเป็นพี่น้องกับไมเคิลจริง ๆ แต่เมื่อเขาพูดถึงพ่อแม่และสถานะของพวกเขา เด็กสาวกลับขนลุกขึ้นมา ไมเคิลยิ่งหนักกว่า เขาเดินงุ่นง่านไปทั่ว “ไมเคิล” เธอเรียก แต่เขาส่ายหน้า น้ำใสคลอเคล้าดวงตาทั้งสองข้าง“พวกเขาไม่ใช่พ่อแม่พวกเรา ฉันรู้สิ!”เขารักสองคนนั้น สองคนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิด เหมือนที่เธอรักคาเลบกับเบียนน่าสุดหัวใจ
“เรื่องอะไรกันแน่นะ เรื่องอะไร ๆ” เสียงเบ็กกี้ดังขึ้นในหัว มันเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาเธอหวาดระแวงกับสถานการณ์ที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้า แสตนเนอร์ต้องการอะไร เสียงเพื่อนที่ตายแย่งกันพูดจนเส้นประสาทกระตุกคล้ายกับไฟช็อตดังเปรี๊ยะ ๆ ฉันต้องใช้มัน มือข้างที่ไมเคิลจับเริ่มขยุกขยิก เขาบีบมือเธอเหมือนรู้ว่าเธอต้องการอะไร สายตาที่ชำเลืองมองมานั้นเหมือนเห็นว่าเธอกำลังจะขาดใจตายตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจ ยาเหมือนกับประตู มันเปิดทางให้พวกเขาปรากฏกายขึ้นมา ไม่ใช่อยู่แต่ในหัวของเธอ หยุดคิดคนเดียวได้แล้ว สายตาเรมีอีกคน พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลยแสตนเนอร์ไม่ได้พาวัยรุ่นทั้งสามไปยังห้องสอบสวนหรือห้องขังแต่อย่างใด ห้องทำงานของเขาต่างจากห้องของทรอยมาก นายทหารผู้นี้ (ถ้าไม่ได้ชื่นชอบ) ก็อาจจำเป็นต้องทำงานขลุกอยู่กับแผนที่มากมาย รวมทั้งภาพคน เอกสารต่าง ๆ ถูกปักหมุดถมทับกันบนกำแพง หนาจนกลายเป็นวอลล์เปเปอร์ ทั้งที่เขามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแต่กลับเลือกใช้วิธีพื้น ๆส่วนโต๊ะของเขามีคอมพิวเตอร์จอแบนเหมือนแผ่นกระจกเปล่า มันเปิดค้างไว้มองเห็นข้อมูลข้างใน &ldquo
ท้องฟ้ามืดสนิท แต่ภายในกลับปลอดโปร่งเพียงแค่หลุดพ้นจากโลกใต้ดิน จิตใจกลับมั่นคงขึ้นเมื่อเห็นว่าเพดานเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืน แม้เบื้องล่างหาได้มืดมัวถึงขนาดปลุกความทรงจำอันเลวร้ายไม่ ไร้ซึ่งสัตว์ประหลาดหรือหมอกควัน แต่ก็ไม่มีพวกเขาเช่นกัน เหลือเพียงเธอกับไมเคิลที่ยังหายใจอยู่ เหตุใดอเล็กซิสกลับยังรู้สึกว่าอยู่คนเดียว ทั้งที่เพื่อนรายล้อมรอบกาย แต่เธออยู่คนเดียว คนเดียวจริง ๆ อย่างน้อย ลมธรรมชาติ แสงจันทร์ และดวงดาวยังให้ความอบอุ่นได้มากกว่าเขายึดมันไปหมด ไม่เหลือสักอัน ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นตัวนำทางไปเจอพวกเขา ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีเลยพระจันทร์ไม่เต็มดวง มันไม่มีเสี้ยวด้วยซ้ำ ไม่งดงามเหมือนเวลามองตอนอยู่ซานโบซ่า แต่เธอก็ยังอยากลอยขึ้นไประหว่างที่ไมเคิลกับเรมีตกลงอะไรบางอย่างกับพวกเมลิสซ่า อเล็กซิสฆ่าเวลาด้วยการมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้นจู่ ๆ ถูกใครสักคนผลักจนหลังกระแทกกำแพงเต็ม ๆ อาการปวดเกิดขึ้นเฉียบพลัน แต่ไม่มีเวลาคิด เพราะมือขวาของบลูจ่ออยู่ที่คอ ดวงตาสีเทาจ้องเขม็งแทบจะฉีกร่างนี้ออกเป็นชิ้น ๆ นิ้วมือขยับเข้าหากัน แรงบีบเพิ่มมากขึ้น เธอคิดว่ากระดูกจะหักก่อนหา
“อย่างที่เฟร็ดบอก กำแพงที่รายล้อมพวกเราอยู่ไม่ใช่โครงสร้างเปล่า มันมีกลไกฝังอยู่เพื่อกันไม่ให้คนหนี ส่วนนาฬิกาอาจมีเครื่องติดตาม...อย่าเพิ่งตกใจ มันเป็นแค่การคาดเดา ฉันไม่แน่ใจว่านอกจากกล้องวงจรปิดแล้ว พวกเขามีเครื่องตรวจสอบความเคลื่อนไหวอื่นอีกหรือไม่ เพราะถ้าอย่างนั้น ก็จะเห็นว่าตำแหน่งของคนจำนวนหนึ่งกระจุกรวมกันในนี้ และนั่นก็จะขัดกับกฎที่เพิ่งตั้งมาใหม่”“เวร ทำไมเพิ่งพูดวะ”“เพราะถ้าพวกมันสังเกตเห็นก็คงมากันแล้ว” เซนตอบบลู “นี่มันเกือบสองชั่วโมงตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่เป็นกลุ่มแรก แค่กลุ่มฉันก็เกินห้าคนแล้ว อาจบอกไม่ได้ว่าพวกเขาไม่มีระบบตรวจจับอื่น แต่อย่างน้อยก็ยังไม่เห็นว่ามีคนมารวมกันในนี้เกินร้อยคน และพวกเรายืนกรานว่าวิธีเดียวที่จะทำให้เป็นอิสระคือทำลายทอยซิตี้ซะ ทำลายศูนย์กลางของที่นี่ เหตุที่พวกเราได้ไปเป็นอาสาสมัครในราซาเพราะทหารต้องการกำลังพล พวกเขามีขีดจำกัด อย่างน้อยตอนนี้ทางการอาจไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกเรา ด้วยเหตุใด...ไม่มีใครรู้ แต่เราต้องรีบฉวยโอกาสนี้” เขาเหลือบมองโคดี้อีกครั้ง ดูกังวลพอสมควร&l