คาเลบและเบียนน่าเป็นพ่อแม่จำพวกที่ไม่ออกจากบ้านเลยหากไม่มีภาระจากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ พวกเขาเลือกใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่าเรื่องอื่น ยกเว้นเสียแต่ว่าภาระงานในบางครั้งที่ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่ซื้ออาหารสำเร็จนอกบ้าน เด็ก ๆ จึงใจดีอุ่นอาหารไว้ให้
เมื่อชาร์ลีเห็นว่าพ่อและแม่ง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหาร เขาจึงเดินกลับไปนั่งหน้าทีวีเพื่อดูการ์ตูนต่อ คาเลบเหลือบมองแล้วถอนหายใจพลางคิดว่าตนเองควรใช้เวลาอยู่กับลูกชายคนเล็กมากกว่านี้ อีกทั้งยังสงสัยด้วยว่าทำไมเจสซี่กับอเล็กซิสยังเอาแต่อยู่ข้างบน ไม่ลงมาเล่นกับน้องข้างล่าง
“พวกเขาคงกำลังคุยอะไรกันอยู่แน่ ๆ บางทีอาจเป็นเรื่องสำคัญนะ” เขาบอกกับเบียนน่า คาเลบมักสนใจใคร่รู้เรื่องราวของลูกเสมอ เขาจึงเปรียบเสมือนกับคุณพ่อที่ค่อนข้างจู้จี้ แต่คาเลบถือว่าเขามีข้ออ้างที่น่าฟังอยู่ เพราะเจสซี่กับอเล็กซิสไม่เหมือนกับไบรซ์ ทั้งสองจะเป็นพวกเฮฮาขี้เล่น ปกติแล้วจะไม่ทิ้งชาร์ลีให้อยู่คนเดียวแบบนี้ พวกวัยรุ่นชอบเก็บความลับไว้กับตัว ไม่ยอมให้พ่อแม่รู้ และคาเลบก็ไม่ใช่พวกพ่อแม่ที่เข้าใจวัยรุ่นเสียด้วย
ภรรยาของเขาไม่ค่อยสนใจเหมือนที่คาเลบรู้สึก เธอเป็นคุณแม่ประเภทที่เข้าใจพวกวัยรุ่นเป็นอย่างดี “แล้วไงล่ะคะคุณ ฉันหมายถึง คุณจะอยากรู้ทำไม พวกเด็ก ๆ ก็แบบนี้แหละ เรื่องของเขาน่า เดี๋ยวก็ลงมาเอง อย่ากังวลเลยนะ มาเถอะ นั่งลง!”
พอเบียนน่าจ้องด้วยสายตาแสดงออกว่าไม่ชอบใจ คาเลบก็นั่งลงทันทีแล้วจ้องอาหารของตัวเองอย่างเงียบ ๆ เขาเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่อเล็กซิสทำงานพาร์ทไทม์ในสังกัดโมเดลลิ่ง คิดว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงมากสำหรับเด็กสาวที่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับธุรกิจที่ขายหน้าตามากกว่าสมอง
ตรงกันข้ามกับสามี เบียนน่ากลับมองว่ามันเป็นโอกาสดีสำหรับอเล็กซิสที่จะมีตัวเลือกในชีวิตมากขึ้น คาเลบรู้ดีว่าเหตุผลหลักที่อเล็กซิสยอมเข้าสังกัดโมเดลลิ่งก็เพราะเงิน ส่วนลดพิเศษสำหรับเสื้อผ้าสวย ๆ ยี่ห้อดี ๆ และเสื้อผ้าฟรี (ถ้าหากโชคดี) แต่เขาไม่สามารถสะกดให้ตัวเองหยุดความกังวลต่าง ๆ นานาได้เพราะเหตุผลบางอย่าง หากเทียบกับเบียนน่าแล้ว เขาอาจจะหัวเก่าและคิดมากเกินไป
“พวกเขาโตแล้วนะคุณ มีแฟน แล้วก็ต้องออกจากบ้านไปในวันหนี่ง มันเป็นชีวิตของพวกเขา คงไม่เป็นไรหรอกหากจะมีความลับกับพวกเราบ้าง” เธอจับมือเขา มองสามีอย่างกับเห็นคาเลบเป็นลูกชายตัวน้อยอีกคน หัวใจของเขาละลาย ยอมแพ้ให้กับสายตาอบอุ่นคู่นี้ทุกที
“ไม่แปลกหรอกค่ะที่คุณจะห่วง ในฐานะพ่อแม่ก็แบบนี้ แต่พวกเรารู้ดีว่าพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาเป็นเด็กดีมากนะ คุณก็รู้”
“จ้า คุณพูดถูก ถูกเสมอด้วย” เขาพยายามทำเป็นว่าเห็นด้วยกับภรรยา “แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงมักเป็นห่วงอเล็กซิสมากกว่าคนอื่นเสมอ บางทีอาจเป็นเพราะ...”
เบียนน่ารู้ว่าเขากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร “โธ่ ไม่เอาน่า อย่าเริ่มสิคะ”
แต่คาเลบไม่สนใจ “คุณก็รู้นี่น่าว่าผมฝันว่าลูกจะไปจากพวกเราอยู่บ่อย ๆ ผมกลัวความฝันนั้นเสมอ”
“โธ่ ฉันเข้าใจนะคะ” เธอตอบ ไม่ได้รู้สึกสนใจมากนัก
คาเลบมักฝันร้ายเสมอ ในฝัน เขาเห็นอเล็กซิสยืนอยู่ริมหน้าผา ผู้เป็นพ่อบอกให้เธอกลับมาหาเขา แต่คลื่นสีดำซัดร่างลูกสาวออกไป เขามองเห็นใบหน้าของลูก ได้ยินเสียงของลูก เด็กสาวโบกมือ บอกลา “หนูจะไม่เป็นไร” เธอบอกกับเขา
แต่ตัวพ่อต่างหากที่แทบจะขาดใจ
เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เขามักฝันเห็นอะไรแบบนี้ บางครั้งฉากเปลี่ยน อเล็กซิสถูกมือมืดลากออกไป แต่คาเลบเล่าเพียงฝันร้ายเรื่องเดียวให้เบียนน่าฟัง
“มันเป็นแค่ความฝันค่ะที่รัก” เสียงของเธอไม่หนักแน่นเหมือนก่อนหน้านี้ ความฝันก็แค่ความฝัน แต่ฝันเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟังดูแล้วค่อนข้างน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
บางครั้งคาเลบเชื่อในเรื่องของลางสังหรณ์ แต่เขาพยายามไม่เชื่อเรื่องลางบอกเหตุที่มาจากจากฝันร้ายเหล่านั้น ลูกทุกคนของเขาเป็นเด็กดีและฉลาด แต่อเล็กซิสพิเศษกว่าคนอื่น ทั้งคาเลบและเบียนน่าต่างมีความลับที่ไม่เคยบอกใคร พวกเขาพยายามจะลืมมันด้วยซ้ำ เพื่อให้ลูกมีชีวิตอย่างปกติ และแม้แต่ตัวอเล็กซิสเองยังไม่เข้าใจอันตรายจากพรสวรรค์ของเธอ
ขณะที่คาเลบวิตกกังวลและเบียนน่าพยายามปฏิเสธสัญชาตญาณของตัวเอง ลึก ๆ แล้ว ทั้งสองรับรู้ได้ถึงลางร้ายบางอย่างที่กำลังส่งสัญญาณมาอย่างรุนแรง ว่าความฝันของคาเลบจะเป็นจริงในวันหนึ่ง เบียนน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะคิดเป็นเหตุและผล แท้จริงแล้วเธอเป็นคนเชื่อเรื่องลางบอกเหตุมากกว่าตัวตนที่ยึดมั่นในหลักการอย่างที่พยายามแสดงออก
“ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเห็นลูกชายคนโตของเพื่อนบ้านถูกพวกตำรวจทำร้าย เขาถูกจับแล้วหายตัวไปเลย พวกคนที่ต่อต้านกฎหมายฉบับนั้น พวกที่ขอให้มีการแก้ไข พวกเขาล้วนหายไปหมด มีแต่ความเงียบที่เหลืออยู่ ทั้งร่องรอยต่าง ๆ พยานบุคคล หายไปหมด พวกเขาหายไปอย่างนั้น”
“มันผ่านมานานแล้ว เราอยู่ในยุคสมัยใหม่แล้วนะคะที่รัก”
อิสรภาพครั้งใหม่ หมายถึงวิธีการใหม่ที่จะใช้ข่มเหงพวกเราต่างหาก คาเลบคิดแย้ง แต่ไม่ได้พูดออกไป
รัฐบัญญัติปี 2966 ตัวนี้จุดชนวนที่ทำให้สังคมเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัว จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติขึ้นโดยผู้ถือกฎหมายเอง ต่อมา ประธานาธิบดีลอว์เลนซ์ประกาศโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อความที่ว่า ‘นิวโฮปกับอิสรภาพครั้งใหม่’ (New Hope, New Freedom) ดูเหมือนสถานการณ์จะดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ปัญหานั้นถูกปัดซ่อนไว้ใต้พรมต่างหาก ทุกคนรู้ดีว่าความน่ากลัวของกฎหมายนี้ยังคงอยู่
เบียนน่าหันหน้าหนีจากเขา คาเลบรู้ว่าเธอไม่อยากฟังความจริง “นี่คือเหตุผลที่ผมอยากให้อเล็กซิสไม่ทำตัวโดดเด่นกว่าคนอื่น เป็นนักเรียนที่ดีเป็นเรื่องที่เราภูมิใจ แต่ถ้ามากกว่านั้น...”
“ลูกก็บอกแล้วนี่คะ เธอยืนยันว่าจะทำแค่หารายได้เสริม ที่รัก มันก็แค่งานเล็ก ๆ ไม่มีใครรู้จักลูกของเรา ไม่มีใครจำเธอได้นอกจากเพื่อน ๆ ของเธอ เธอเลือกทางเดินของตัวเองแล้วว่าจะเป็นเหมือนคุณ เธอไม่เป็นไรหรอก” เบียนน่ายืนยันความคิดของตนเอง
คาเลบนึกถึงแมรี่ นางพยาบาลและเพื่อนร่วมงานที่โรงพยาบาล คนเดียวกับที่พยายามจะยั่วผู้ชายไร้เสน่ห์และมีพันธะแล้วอย่างเขา เธอไม่ได้โตที่เมืองนี้ แต่ย้ายมาจากเมืองอื่นพร้อมกับครอบครัวพี่สาวเมื่อสิบปีก่อน หากไม่นับพฤติกรรมชอบหักอกคนอื่น เธอเป็นคนที่น่ารักและฉลาดเลยทีเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเขาพาอเล็กซิสตัวน้อยไปโรงพยาบาลเพื่อสำรวจที่ทำงานของคาเลบ แมรี่ยืนกรานที่จะเล่นสวมบทบาทคุณหมอและคนไข้กับเด็กหญิง หลังจากนั้น เมื่อเขากลับมารับลูกสาว คาเลบกลับพบว่า แมรี่ได้บันทึกประวัติการรักษาของลูกสาวลงในฐานข้อมูลที่เชื่อมต่อกับโรงพยาบาลทั้งสหพันธ์ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ประวัติของอเล็กซิสยังระบุอีกว่ามีอาการภูมิแพ้ฝุ่น
“แต่ลูกไม่ได้เป็นภูมิแพ้!” เขาบอกกับคนทั้งสอง “แมรี่ คุณทำอะไรของคุณเนี่ย คุณใส่ข้อมูลเท็จลงในฐานข้อมูลไม่ได้นะ ถ้าเกิดทางการพบเข้า...”
“เปล่าค่ะพ่อ เธอไม่ได้ลงประวัติเท็จ หนูเป็นภูมิแพ้จริง หนูรู้สึกว่าหนูป่วย—หนูคิดว่าทุกครั้งที่หนูทำความสะอาดห้อง เหมือนจะคันที่ผิว” เด็กหญิงคัดค้านและเริ่มกลัวอาการที่แมรี่ฝังความเชื่อนี้ไว้ในหัวอย่างจริง ๆ จัง ๆ
“โอ๊ย ให้ตายเถอะ!” เขามองกราดเกรี้ยวใส่นางพยาบาล “ให้ผมแก้ข้อมูลเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวปิดคอมพิวเตอร์ทันทีและส่งยิ้มให้เขา “เราทดสอบกันตั้งหลายอย่าง อย่าจริงจังเลยน่า คิดถึงลูกสาวของคุณหมอเถอะค่ะ ฉันปกป้องเธออยู่นะ”
ดวงตาสีเขียวของหล่อนบอกความนัยชัดเจนทุกอย่าง เธอค้นพบความลับของเด็กหญิงเข้าแล้ว คาเลบยังรู้ด้วยว่าแมรี่ไม่ได้ทำแบบนี้กับอเล็กซิสคนเดียว แต่ยังป้อนข้อมูลประหลาดให้กับเด็กอีกจำนวนหนึ่ง เขารู้สึกสับสนทุกครั้งที่เห็นลูกสาวปิดปากปิดจมูกและกลัวว่าตัวเองจะป่วยเวลาทำความสะอาดบ้าน แถมยังร้องขอหน้ากากปิดปากปิดจมูกทุกครั้งไป สิบปีหลังจากนั้น คาเลบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงไม่แก้ประวัติของลูก ทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับผู้หญิงคนนั้น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เบียนน่าถาม ตามองสามีด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ เขาเกิดเงียบขึ้นมา
“เปล่าหรอก เรารีบทานให้เสร็จเถอะจ้ะ” เขาชี้ไปที่ชามสตู
พวกเขาทำให้นึกถึงเจสซี่ พี่ชายก็บ้าวิดีโอเกม สะสมของเล่นฮีโร่ต่าง ๆ อ่านการ์ตูน แอบดื่มเหล้า ลองสูบบุหรี่ แต่สุดท้ายอเล็กซิสสั่นหัวแล้วกางหนังสือพิมพ์ออก เธอตามสถานการณ์ในนิวโฮปไม่ทัน เมื่อก่อนจะอ่านทุกคอลัมน์เพื่อหาความรู้ชิงทุน แต่ถ้าก่อนเวลานี้ก็จะพุ่งไปอ่านที่หน้าดาราทันที หากเจอสัมภาษณ์หรือข่าวศิลปินที่ชอบก็จะตัดเก็บไว้ เมื่อเปิดไปหน้าสองก็อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการขอเงินเยียวยาความเสียหาย ขอบเวลาที่กำหนดครอบคลุมไปถึงปีหน้านู่น เธออ่านแล้วเจ็บปวดในใจจริงสิ ถ้าเจสซี่ยังอยู่ เขาก็ต้องทำเรื่องเหมือนกันนี่นาบางทีพรุ่งนี้เธออาจจะได้รู้ว่าพี่ชายอยู่ที่ไหนกันแน่“จริงสิ อเล็กซ์ นายได้ติดต่อที่บ้านบ้างหรือเปล่า” เธอถามขึ้นพอดีกับที่ชายหนุ่มร้องโอดโอยเพราะแพ้เรมีไม่เป็นท่า เขาคลานขึ้นมานั่งบนโซฟา ปล่อยให้อาคุสะเล่นแทน พอเห็นร่างสูงโย่งปีนขึ้นมาแล้ววางศีรษะลงกับตัก หญิงสาวก็ยิ้มขำขันกับท่าทางขี้อ้อนแบบนี้“เธอจะโอเคหรือ แล้วก็หมอนั่น” อเล็กซ์ถามเสียเบา“ทำไมจะไม่โอเค/คิดอะไรเยอะแยะ”อาคุสะหันมาขมวดคิ
พอเขาพูดถึงขนาดนี้ อเล็กซิสรีบลุกขึ้นแล้วประคองใบหน้าของเขาไว้ อเล็กซ์เปราะบางกับเรื่องนี้มาก เหมือนเป็นปมในใจที่แก้ไม่หาย“ถ้าไม่มีนาย ฉันคงไม่รอด” เธอสบตาเขา พยายามให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความมั่นใจและเชื่อใจที่เธอมี อเล็กซิสจำด่านทดลองที่เต็มไปด้วยซอมบี้และสัตว์นรกได้อย่างแม่นยำ เพราะพลูทักซ์ ทั้งกลุ่มจึงแยกกันไป และเพราะเธอได้เจอเขาถึงรอดมาได้ ไม่อย่างนั้นคงตายตั้งแต่เจอหุ่นยนต์พิฆาตไล่ฆ่าแล้ว “หุ่นยนต์มันล่าฉัน นายช่วยฉันไว้ อเล็กซ์ เราต่างปกป้องกันและกัน แล้วเราจะทำแบบนั้นต่อไป”ริมฝีปากบางซีดเผยรอยยิ้ม“สกาย อย่ากลัวด้านมืดของตัวเอง” เขาบอก “แล้วพวกเราจะรอด”เมื่อนั้นทั้งสองไม่พูดอะไรอีก เพราะแรงดึงดูดของแต่ละฝ่ายทำงานแทบตลอดเวลา เธอก้มหน้าลงจูบเขาช้า ๆ แผ่วเบาจนเริ่มรุนแรงขึ้น และพายุขนาดย่อมก็เริ่มโหมพัดขึ้นใหม่โดยที่อเล็กซิสเริ่มเองสี่ทุ่มห้าสิบหกนาที หญิงสาวนั่งอ่านข้อความที่เพื่อน ๆ ส่งให้อเล็กซ์เพราะเจ้าตัวขี้เกียจตอบกลับ ข้อความแรกเป็นของบลูที่ขอให้อเล็กซ์ซื้อชีสเบอร์เกอร์เลี้ย
เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ หญิงสาวถอดเสื้อผ้าลงตะกร้าทีละตัวก่อนจะสำรวจรูปร่างตัวเองแบบที่ทำเป็นประจำ อย่างน้อยก็ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างเมื่อเทียบกับตอนอยู่ในเกาะ แต่ซี่โครงก็ยังขึ้นชัด เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเปิดน้ำให้เต็มอ่าง ตามด้วยสบู่และจุดเทียนหอม ที่นี่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่โรงแรมจึงใช้ประโยชน์จากความสะดวกสบายเต็มที่ เมื่อน้ำได้ที่ก็ลงไปแช่ มือโอบฟองมารอบ ๆ สักพักจึงพิงที่วางคอแล้วหลับตาเจสซี่...พี่อยู่ไหนเธอคิดถึงพี่ชาย เขาอาจจะเป็นเดวิสคนเดียวที่เหลืออยู่ หลังจากที่เธอพบว่าซานโบซ่าถูกทำลายเรียบ ความหวังเดียวคือพี่ชายและพี่สาวที่อยู่ต่างเมือง แต่เมื่ออเล็กซิสเข้าไปในเว็บไซต์ของวิทยาลัยแพทย์ของเดลฟีเพื่อหาข้อมูลติดต่อก็พบข้อความไว้อาลัยให้กับ ไบรซ์ เดวิสตั้งแต่หน้าแรกเป็นเรื่องช็อกระลอกสองก็ว่าได้ เธอไม่ได้เสียแค่พ่อและเจ้าลิงน้อย แต่ยังพี่สาวที่รัก เมื่อก่อนอเล็กซิสเคยอยากมีห้องส่วนตัว แต่ในวันนี้อยากกลับไปนอนในห้องเดิม มีไบรซ์อยู่ด้วย อยากกวนเวลาพี่สาวอ่านหนังสือ อ้อนให้เธอมัดผมหรือถักเปียให้ เวลามีปัญหาอะไรก็ขอคำปรึกษาวันที
เมื่อนึกถึงตอนที่ขู่แสตนเนอร์เพื่อฝากสารไปถึงเมเคอร์ อเล็กซิสยอมรับว่ากลัวตัวเองในตอนนั้นมาก ปกติเธอไม่ใช่คนที่ฆ่าใครก่อนถ้าไม่มีผู้ใดยื่นมีดเข้าหา และแม้ตอนนั้นพวกเขาคิดจะฆ่าเธอ แต่...ง่ายมากราวกับดีดนิ้วก็พรากชีวิตคนเหล่านั้นไปแล้ว มันไม่เหมือนกับตอนที่เธอฆ่าเบลินดา มันมีความฉุกละหุก ความกระเสือกกระสนที่จะเอาชีวิตรอด แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันก็เป็นการสังหารที่น่ากลัว ความแค้นที่มีต่อกลุ่มกบฏและเอไลโตทำให้เธอลงมืออย่างรวดเร็ว ยิ่งยามที่พวกเขาข่มขู่เพื่อนของเธอ เห็นเล่ห์กลของเมเคอร์ที่พร้อมจะหักหลังได้ทุกเวลา ชั่ววูบหนึ่ง เป๊าะ! พวกเขาก็ตายในฝัน บางครั้งเธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางฝนเลือด ตัวชุ่มโลหิตจนได้กลิ่นเหม็นคาวเต็มจมูก นี่หรือ ผู้หญิงที่เคยอยากจะเป็นหมอแบบพ่อ อยากช่วยชีวิตคน?เธอเดินออกเส้นทางชีวิตนั้นมาไกลแค่ไหนแล้วนะหญิงสาวจ้องมือข้างขวาที่ยกขึ้นมา มันไม่สั่น แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะชกใคร เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ไมเคิล เรมี และอาคุสะก็มาอยู่ด้วย ที่พักของอเล็กซ์สะดวกสบายและกว้างใหญ่พอพักได้ยี่สิบคนเลยมั้ง ก็ทั้งชั้นเป็นของเขานี่นา เขาต้องท
“นั่น พ่อ ๆ ยัยตัวเล็กเอาไปเล่นหมดเลย” เจสซี่วัยสิบสองชี้อเล็กซิสทำหน้าบูดก่อนสะบัดหน้า เสื้อสูทผู้ชายที่สวมคลุมตัวลากยาวไปกับพื้น ตอนนั้นตัวเธอเล็กนิดเดียวเองนี่นา แถมยังเอาแว่นตาของคาเลบมาใส่อีก มันจึงใหญ่เกินใบหน้าเล็กและคอยจะหล่นจากจมูกเสมอ มือขวาของเด็กหญิงลากกระเป๋าเอกสารของคาเลบเสมือนเป็นของตัวเอง เธอเล่นเดินเตาะแตะอยู่แบบนั้นมาสักพักก่อนที่พี่ชายจะเห็นคาเลบวิ่งมาคว้าไว้ เขาหาของตั้งนาน สุดท้ายก็เจอเจ้าตัวเล็กเอาไปสวมเล่น ผู้เป็นพ่อจึงดึงแว่นไปสวมบนหน้าของเขาเหมือนเดิม “อย่าเอาของพ่อไปเล่นอีกนะ อเล็กซ์”“หนูจะซ้อมไว้ก่อน” เธอตอบเสียงใสแจ๋วเขาหัวเราะแต่มือริบกระเป๋ากับถอดเสื้อสูทออกจากตัวเธอเรียบร้อย “งั้นก็ตั้งใจเรียนนะ” บอกแล้วลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนบางครั้งความทรงจำเหล่านี้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน บางครั้งก็ดูยาวนานยิ่งกว่าอายุขัยของโลกเธอลืมตาขึ้นแล้วจับหน้าผากของตัวเอง ในฝันยังสัมผัสได้ถึงมืออุ่นของคาเลบอยู่เลย อเล็กซิสไ
ชายหนุ่มจึงหันไปมองคาเลบก็เห็นว่าอีกฝ่ายส่ายหน้า“อ้อ ขอโทษ คงสะเทือนใจไป” เขาพึมพำ “ผมจำหน้าอเล็กซิสได้ แต่เธอมักจะหันมายิ้มให้ผม บอกว่าจะกลับมาหาผม แล้วพวกเราจะไปด้วยกัน ผมไม่รู้ว่าไปไหน แค่นั้นล่ะครับ ขอโทษด้วย ผมไม่เห็นเบลินดาเลย แต่เห็นปีศาจมากมาย เห็นเลือด เห็นหุ่นยนต์ แล้วก็เลือด...เลือด...อะ ขอโทษที”ชายหนุ่มเม้มปาก สถานการณ์ดูแย่กว่าเดิม น่าแปลกนักที่เวลาพยายามนึกถึงเบลินดาทีไรจะไม่สบายใจทุกที อึดอัด อยากจะตะโกนแล้วก็ทำร้ายคุณนายคาร์เตอร์มากกว่า ราวกับหัวใจอีกดวงในตัวเขารังเกียจชื่อนี้ คุณนายคาร์เตอร์ดูช็อกกับคำพูดของเขามาก ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเธอดูตกใจมากเท่าไร ก็ยิ่งมีก้อนคำพูดมากมายที่เขาอยากจะพ่นออกมา แคดมันกลั้นหายใจแล้วตั้งสติ“ขอโทษ ผมจำลูกสาวคุณไม่ได้ ไม่เคยมีภาพเธอผุดขึ้นมาในหัวเลย”คุณนายคาร์เตอร์พยักหน้า เหมือนจะจับน้ำเสียงได้ว่าเขาหงุดหงิดและไม่อยากพูดถึงเบลินดาอีกแล้ว “แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”แคดมันถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองที่ไม่เกี่ยวกับเวด มิลเลอร์ ความทรงจำที่ไม่รู