Masukคาเลบและเบียนน่าเป็นพ่อแม่จำพวกที่ไม่ออกจากบ้านเลยหากไม่มีภาระจากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ พวกเขาเลือกใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่าเรื่องอื่น ยกเว้นเสียแต่ว่าภาระงานในบางครั้งที่ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่ซื้ออาหารสำเร็จนอกบ้าน เด็ก ๆ จึงใจดีอุ่นอาหารไว้ให้
เมื่อชาร์ลีเห็นว่าพ่อและแม่ง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหาร เขาจึงเดินกลับไปนั่งหน้าทีวีเพื่อดูการ์ตูนต่อ คาเลบเหลือบมองแล้วถอนหายใจพลางคิดว่าตนเองควรใช้เวลาอยู่กับลูกชายคนเล็กมากกว่านี้ อีกทั้งยังสงสัยด้วยว่าทำไมเจสซี่กับอเล็กซิสยังเอาแต่อยู่ข้างบน ไม่ลงมาเล่นกับน้องข้างล่าง
“พวกเขาคงกำลังคุยอะไรกันอยู่แน่ ๆ บางทีอาจเป็นเรื่องสำคัญนะ” เขาบอกกับเบียนน่า คาเลบมักสนใจใคร่รู้เรื่องราวของลูกเสมอ เขาจึงเปรียบเสมือนกับคุณพ่อที่ค่อนข้างจู้จี้ แต่คาเลบถือว่าเขามีข้ออ้างที่น่าฟังอยู่ เพราะเจสซี่กับอเล็กซิสไม่เหมือนกับไบรซ์ ทั้งสองจะเป็นพวกเฮฮาขี้เล่น ปกติแล้วจะไม่ทิ้งชาร์ลีให้อยู่คนเดียวแบบนี้ พวกวัยรุ่นชอบเก็บความลับไว้กับตัว ไม่ยอมให้พ่อแม่รู้ และคาเลบก็ไม่ใช่พวกพ่อแม่ที่เข้าใจวัยรุ่นเสียด้วย
ภรรยาของเขาไม่ค่อยสนใจเหมือนที่คาเลบรู้สึก เธอเป็นคุณแม่ประเภทที่เข้าใจพวกวัยรุ่นเป็นอย่างดี “แล้วไงล่ะคะคุณ ฉันหมายถึง คุณจะอยากรู้ทำไม พวกเด็ก ๆ ก็แบบนี้แหละ เรื่องของเขาน่า เดี๋ยวก็ลงมาเอง อย่ากังวลเลยนะ มาเถอะ นั่งลง!”
พอเบียนน่าจ้องด้วยสายตาแสดงออกว่าไม่ชอบใจ คาเลบก็นั่งลงทันทีแล้วจ้องอาหารของตัวเองอย่างเงียบ ๆ เขาเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่อเล็กซิสทำงานพาร์ทไทม์ในสังกัดโมเดลลิ่ง คิดว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงมากสำหรับเด็กสาวที่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับธุรกิจที่ขายหน้าตามากกว่าสมอง
ตรงกันข้ามกับสามี เบียนน่ากลับมองว่ามันเป็นโอกาสดีสำหรับอเล็กซิสที่จะมีตัวเลือกในชีวิตมากขึ้น คาเลบรู้ดีว่าเหตุผลหลักที่อเล็กซิสยอมเข้าสังกัดโมเดลลิ่งก็เพราะเงิน ส่วนลดพิเศษสำหรับเสื้อผ้าสวย ๆ ยี่ห้อดี ๆ และเสื้อผ้าฟรี (ถ้าหากโชคดี) แต่เขาไม่สามารถสะกดให้ตัวเองหยุดความกังวลต่าง ๆ นานาได้เพราะเหตุผลบางอย่าง หากเทียบกับเบียนน่าแล้ว เขาอาจจะหัวเก่าและคิดมากเกินไป
“พวกเขาโตแล้วนะคุณ มีแฟน แล้วก็ต้องออกจากบ้านไปในวันหนี่ง มันเป็นชีวิตของพวกเขา คงไม่เป็นไรหรอกหากจะมีความลับกับพวกเราบ้าง” เธอจับมือเขา มองสามีอย่างกับเห็นคาเลบเป็นลูกชายตัวน้อยอีกคน หัวใจของเขาละลาย ยอมแพ้ให้กับสายตาอบอุ่นคู่นี้ทุกที
“ไม่แปลกหรอกค่ะที่คุณจะห่วง ในฐานะพ่อแม่ก็แบบนี้ แต่พวกเรารู้ดีว่าพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาเป็นเด็กดีมากนะ คุณก็รู้”
“จ้า คุณพูดถูก ถูกเสมอด้วย” เขาพยายามทำเป็นว่าเห็นด้วยกับภรรยา “แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงมักเป็นห่วงอเล็กซิสมากกว่าคนอื่นเสมอ บางทีอาจเป็นเพราะ...”
เบียนน่ารู้ว่าเขากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร “โธ่ ไม่เอาน่า อย่าเริ่มสิคะ”
แต่คาเลบไม่สนใจ “คุณก็รู้นี่น่าว่าผมฝันว่าลูกจะไปจากพวกเราอยู่บ่อย ๆ ผมกลัวความฝันนั้นเสมอ”
“โธ่ ฉันเข้าใจนะคะ” เธอตอบ ไม่ได้รู้สึกสนใจมากนัก
คาเลบมักฝันร้ายเสมอ ในฝัน เขาเห็นอเล็กซิสยืนอยู่ริมหน้าผา ผู้เป็นพ่อบอกให้เธอกลับมาหาเขา แต่คลื่นสีดำซัดร่างลูกสาวออกไป เขามองเห็นใบหน้าของลูก ได้ยินเสียงของลูก เด็กสาวโบกมือ บอกลา “หนูจะไม่เป็นไร” เธอบอกกับเขา
แต่ตัวพ่อต่างหากที่แทบจะขาดใจ
เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เขามักฝันเห็นอะไรแบบนี้ บางครั้งฉากเปลี่ยน อเล็กซิสถูกมือมืดลากออกไป แต่คาเลบเล่าเพียงฝันร้ายเรื่องเดียวให้เบียนน่าฟัง
“มันเป็นแค่ความฝันค่ะที่รัก” เสียงของเธอไม่หนักแน่นเหมือนก่อนหน้านี้ ความฝันก็แค่ความฝัน แต่ฝันเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟังดูแล้วค่อนข้างน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
บางครั้งคาเลบเชื่อในเรื่องของลางสังหรณ์ แต่เขาพยายามไม่เชื่อเรื่องลางบอกเหตุที่มาจากจากฝันร้ายเหล่านั้น ลูกทุกคนของเขาเป็นเด็กดีและฉลาด แต่อเล็กซิสพิเศษกว่าคนอื่น ทั้งคาเลบและเบียนน่าต่างมีความลับที่ไม่เคยบอกใคร พวกเขาพยายามจะลืมมันด้วยซ้ำ เพื่อให้ลูกมีชีวิตอย่างปกติ และแม้แต่ตัวอเล็กซิสเองยังไม่เข้าใจอันตรายจากพรสวรรค์ของเธอ
ขณะที่คาเลบวิตกกังวลและเบียนน่าพยายามปฏิเสธสัญชาตญาณของตัวเอง ลึก ๆ แล้ว ทั้งสองรับรู้ได้ถึงลางร้ายบางอย่างที่กำลังส่งสัญญาณมาอย่างรุนแรง ว่าความฝันของคาเลบจะเป็นจริงในวันหนึ่ง เบียนน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะคิดเป็นเหตุและผล แท้จริงแล้วเธอเป็นคนเชื่อเรื่องลางบอกเหตุมากกว่าตัวตนที่ยึดมั่นในหลักการอย่างที่พยายามแสดงออก
“ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเห็นลูกชายคนโตของเพื่อนบ้านถูกพวกตำรวจทำร้าย เขาถูกจับแล้วหายตัวไปเลย พวกคนที่ต่อต้านกฎหมายฉบับนั้น พวกที่ขอให้มีการแก้ไข พวกเขาล้วนหายไปหมด มีแต่ความเงียบที่เหลืออยู่ ทั้งร่องรอยต่าง ๆ พยานบุคคล หายไปหมด พวกเขาหายไปอย่างนั้น”
“มันผ่านมานานแล้ว เราอยู่ในยุคสมัยใหม่แล้วนะคะที่รัก”
อิสรภาพครั้งใหม่ หมายถึงวิธีการใหม่ที่จะใช้ข่มเหงพวกเราต่างหาก คาเลบคิดแย้ง แต่ไม่ได้พูดออกไป
รัฐบัญญัติปี 2966 ตัวนี้จุดชนวนที่ทำให้สังคมเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัว จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติขึ้นโดยผู้ถือกฎหมายเอง ต่อมา ประธานาธิบดีลอว์เลนซ์ประกาศโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อความที่ว่า ‘นิวโฮปกับอิสรภาพครั้งใหม่’ (New Hope, New Freedom) ดูเหมือนสถานการณ์จะดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ปัญหานั้นถูกปัดซ่อนไว้ใต้พรมต่างหาก ทุกคนรู้ดีว่าความน่ากลัวของกฎหมายนี้ยังคงอยู่
เบียนน่าหันหน้าหนีจากเขา คาเลบรู้ว่าเธอไม่อยากฟังความจริง “นี่คือเหตุผลที่ผมอยากให้อเล็กซิสไม่ทำตัวโดดเด่นกว่าคนอื่น เป็นนักเรียนที่ดีเป็นเรื่องที่เราภูมิใจ แต่ถ้ามากกว่านั้น...”
“ลูกก็บอกแล้วนี่คะ เธอยืนยันว่าจะทำแค่หารายได้เสริม ที่รัก มันก็แค่งานเล็ก ๆ ไม่มีใครรู้จักลูกของเรา ไม่มีใครจำเธอได้นอกจากเพื่อน ๆ ของเธอ เธอเลือกทางเดินของตัวเองแล้วว่าจะเป็นเหมือนคุณ เธอไม่เป็นไรหรอก” เบียนน่ายืนยันความคิดของตนเอง
คาเลบนึกถึงแมรี่ นางพยาบาลและเพื่อนร่วมงานที่โรงพยาบาล คนเดียวกับที่พยายามจะยั่วผู้ชายไร้เสน่ห์และมีพันธะแล้วอย่างเขา เธอไม่ได้โตที่เมืองนี้ แต่ย้ายมาจากเมืองอื่นพร้อมกับครอบครัวพี่สาวเมื่อสิบปีก่อน หากไม่นับพฤติกรรมชอบหักอกคนอื่น เธอเป็นคนที่น่ารักและฉลาดเลยทีเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเขาพาอเล็กซิสตัวน้อยไปโรงพยาบาลเพื่อสำรวจที่ทำงานของคาเลบ แมรี่ยืนกรานที่จะเล่นสวมบทบาทคุณหมอและคนไข้กับเด็กหญิง หลังจากนั้น เมื่อเขากลับมารับลูกสาว คาเลบกลับพบว่า แมรี่ได้บันทึกประวัติการรักษาของลูกสาวลงในฐานข้อมูลที่เชื่อมต่อกับโรงพยาบาลทั้งสหพันธ์ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ประวัติของอเล็กซิสยังระบุอีกว่ามีอาการภูมิแพ้ฝุ่น
“แต่ลูกไม่ได้เป็นภูมิแพ้!” เขาบอกกับคนทั้งสอง “แมรี่ คุณทำอะไรของคุณเนี่ย คุณใส่ข้อมูลเท็จลงในฐานข้อมูลไม่ได้นะ ถ้าเกิดทางการพบเข้า...”
“เปล่าค่ะพ่อ เธอไม่ได้ลงประวัติเท็จ หนูเป็นภูมิแพ้จริง หนูรู้สึกว่าหนูป่วย—หนูคิดว่าทุกครั้งที่หนูทำความสะอาดห้อง เหมือนจะคันที่ผิว” เด็กหญิงคัดค้านและเริ่มกลัวอาการที่แมรี่ฝังความเชื่อนี้ไว้ในหัวอย่างจริง ๆ จัง ๆ
“โอ๊ย ให้ตายเถอะ!” เขามองกราดเกรี้ยวใส่นางพยาบาล “ให้ผมแก้ข้อมูลเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวปิดคอมพิวเตอร์ทันทีและส่งยิ้มให้เขา “เราทดสอบกันตั้งหลายอย่าง อย่าจริงจังเลยน่า คิดถึงลูกสาวของคุณหมอเถอะค่ะ ฉันปกป้องเธออยู่นะ”
ดวงตาสีเขียวของหล่อนบอกความนัยชัดเจนทุกอย่าง เธอค้นพบความลับของเด็กหญิงเข้าแล้ว คาเลบยังรู้ด้วยว่าแมรี่ไม่ได้ทำแบบนี้กับอเล็กซิสคนเดียว แต่ยังป้อนข้อมูลประหลาดให้กับเด็กอีกจำนวนหนึ่ง เขารู้สึกสับสนทุกครั้งที่เห็นลูกสาวปิดปากปิดจมูกและกลัวว่าตัวเองจะป่วยเวลาทำความสะอาดบ้าน แถมยังร้องขอหน้ากากปิดปากปิดจมูกทุกครั้งไป สิบปีหลังจากนั้น คาเลบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงไม่แก้ประวัติของลูก ทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับผู้หญิงคนนั้น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เบียนน่าถาม ตามองสามีด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ เขาเกิดเงียบขึ้นมา
“เปล่าหรอก เรารีบทานให้เสร็จเถอะจ้ะ” เขาชี้ไปที่ชามสตู
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







