LOGINเด็กสาวสั่นหัว ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกฎหมายแต่หมายถึงปฏิเสธข้อสันนิษฐานของพี่ต่างหาก “เขาเป็นภูมิแพ้”
“ไม่เกี่ยว ถ้าเขาทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ทางการเห็นชัดว่าเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มต้องสงสัย เขาก็ไม่มีทางรอดข้อหานี้ จริง ๆ นะ แม้ว่าจอห์นจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงทุกโรคเลยก็ตามเถอะ แต่มันไม่มีทางช่วยเขาให้หลุดพ้นจากกฎหมายนี้ได้หรอก” เจสซี่โยนเอกสารชุดหนึ่งลงบนตักของเธอ “อ่านสิ”
‘...มาตราที่ 1 ย่อหน้าที่ 4 ผู้ที่มีความสามารถพิเศษอันแปลกประหลาดจากความสามารถของมนุษย์ที่พึงมี ผู้นั้นต้องลงทะเบียนว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ณ สถานที่ราชการแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ สถานีตำรวจ...มาตราที่ 2 ย่อหน้าที่ 1 พลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะรายงานตำรวจเกี่ยวกับเบาะแส ร่องรอย ข้อค้นพบ หรือ ข้อสงสัย ว่าคนคนนั้นจะเข้าข่าย หรือมีแนวโน้มเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง สำหรับกรณีเอชโอวัน การกระทำเพื่อปกป้องสหพันธรัฐไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล...’
“นี่มัน...”
“ข้อกฎหมายในรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966” เจสซี่ตอบ เขาเอานิ้วมือหวีผมหยิกหย็อยของตัวเอง มันไม่เคยเรียบเลย
“พี่คิดว่าจอห์นถูกจับด้วยกฎหมายนี้เหรอ”
เจสซี่พยักหน้า เขาค้นหาสิ่งของบางอย่างบนโต๊ะ พอเจอก็ยิ้มแล้วส่งเอกสารอีกชุดให้เธออ่าน เจสซี่เคยชินกับการแบ่งปันความคิดของตัวเองให้กับอเล็กซิสฟังมากกว่ากับไบรซ์ เพราะน้องสาวอีกคนชอบทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาอยู่เรื่อย
“การหายตัวไปอย่างลึกลับของเหล่าคนดังในอดีตและอันตรายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกฎหมายรัฐบัญญัติปี 2966 กรณีศึกษา เดสซิเร ดัลคา—โอ๊ย ตายแล้ว!” เธอร้องเมื่อเห็นตราประทับบนหัวกระดาษเขียนว่า ‘เป็นความลับ’ กับ ‘ต้องทำลาย’ ซึ่งวันที่ที่ระบุให้ทำลายนั้นคือเมื่อปีที่แล้ว
ใครสักคนไม่ยอมทำตามคำสั่ง และ ‘คนคนนั้น’ คือพี่ชายของเธอเอง
“เจสซี่! พี่ไม่ควรเก็บมันไว้ ไม่ ๆ พี่ต้องทำลายเอกสารชิ้นนี้ต่างหาก”
“เออ ๆ รู้แล้วน่า แต่อ่านก่อน เร็ว ๆ” เขาเร่ง รำคาญน้องสาวที่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม
เสียงรถยนต์ดังขึ้น พ่อแม่ของทั้งสองกลับถึงบ้านแล้ว
“ไปเซอร์ไพรซ์พ่อกับแม่ดีกว่า”
เจสซี่รีบรั้งน้องสาวไว้แล้วชี้ไปที่เอกสารที่ว่า “เดี๋ยวไบรซ์ก็บอกพวกเขาเอง อ่านนะ โอเค๊ ไม่มีใครจับตามองพวกเราหรอกน่า ยัยบ๊อง”
“ก็ได้” เธอตอบอย่างอ่อนใจ แล้วจึงรีบสแกนเนื้อหาในเอกสารเข้าสมองอย่างรวดเร็ว
ตามข้อมูลที่อเล็กซิสได้เรียนรู้จากเอกสารชิ้นนี้คือ เดสซิเร ดัลคา เป็นทายาทเพียงคนเดียวของเครือธุรกิจดัลคา หรือ ดัลคาคอร์ปอเรชั่น เธอหายตัวไปเมื่อสองปีก่อน เมื่อดัลคาอายุสิบสามปี พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เด็กสาวตกอยู่ในความดูแลของคุณอา ต่อมา เมื่อเธออายุสิบห้าปี คุณอาของเธอเสียชีวิตลง ข่าวลือในแวดวงสังคมเล่าว่าเด็กสาวก่อคดีฆาตกรรมอาตัวเอง ทว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ เธอจึงไม่ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด เมื่ออายุสิบแปดปีซึ่งเป็นวัยที่เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว ดัลคาจึงขายหุ้นทั้งหมดให้กับผู้ถือหุ้น และใช้เงินไปกับงานปาร์ตี้และท่องเที่ยว ผู้คนเล่าว่า ดัลคาปล่อยตัว บ้าปาร์ตี้ และใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงจนไม่มีสิ่งใดมาฉุดรั้งเธอได้อีก สองปีถัดมา ไม่มีใครได้ยินข่าวของเธออีกเลย มีเพียงรายงานการหายตัวของเธอว่าน่าจะข้องเกี่ยวกับการลักพาตัว หรืออาชญากรรม หรือแม้แต่กลุ่มค้ายา แต่ในวันต่อมา ไม่มีช่องทางใด หรือหนังสือพิมพ์ใดรายงานความคืบหน้าการสืบสวนคดีนี้อีก ตั้งแต่นั้นมา ชื่อของดัลคาหายไปจากวงสังคมไฮโซของเมืองฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส ทั้งชื่อและตัวตนเลือนหายไปตั้งแต่วันนั้น
อเล็กซิสส่งเอกสารคืนให้กับพี่ชาย “เธอนี่อ่านเร็วเป็นบ้าเลยนะ”
“พี่คิดว่าจอห์นก็...”
“ใช่ เชื่อพี่สิ ถ้าเพื่อนของเธอข้องเกี่ยวกับกฎหมายนี้ อีกไม่กี่วันหรอก พวกเราจะไม่ได้ยินชื่อของเขาอีกต่อไป” เจสซี่มั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเอง
อเล็กซิสเอนหลังพิงกำแพงที่มีโปสเตอร์วงโปรดของเจสซี่แปะอยู่ ถ้าจอห์นเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ จะไม่มีจอห์น ลีลอยด์อีกต่อไป เธอคิดแล้วเศร้า ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับใครเลย กฎหมายบทนี้ขัดแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนรวมทั้งนโยบายที่รัฐบาลประกาศเอาไว้เสียดิบดี ‘นิวโฮปกับอิสรภาพครั้งใหม่’ แต่เหตุใดกฎหมายบทนี้จึงยังมีอยู่
เพราะมันเป็นอิสรภาพในรูปแบบใหม่ ไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง ดังนั้นมันก็คืออิสรภาพจอมปลอมไงล่ะ เสียงในหัวของอเล็กซิสตอบคำถามนั้น
มีอีเมลขึ้นมาบนจอภาพ เจสซี่รีบพุ่งไปหาแล็ปท็อปของตัวเอง อเล็กซิสทันเห็นว่าคนส่งชื่อ ‘โจชัว’ เด็กสาวคลี่ยิ้มล้อเลียนพี่ชายเป็นการเอาคืน ในขณะที่เขากำลังอ่านอีเมลของแฟนหนุ่มนั้น ในหัวของอเล็กซิสนึกถึงเอโลดี้ เพื่อนสนิทที่แอบรักพี่ชายของเธอตั้งแต่อายุสิบสองปี เอโลดี้เดตกับเด็กหนุ่มมาหลายคน แต่ไม่เคยตัดใจจากเจสซี่ได้เลย ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะเมื่อตอนที่เขายังเรียนไฮสคูล เจสซี่เป็นถึงกัปตันทีมฟุตบอล แล้วยังเป็นหนึ่งในหนุ่มฮอตอีกต่างหาก เอโลดี้ก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป เธอตกหลุมรักเขา และทำได้แต่แอบรักอยู่อย่างนั้น
“พ่อกับแม่รู้ว่าพี่เป็นยังไง และพี่รักใคร พวกเขารอให้พี่บอกความจริงด้วยตัวเองเท่านั้นนะ”
พี่ชายไม่ตอบ เขายักไหล่แล้วปล่อยให้หัวข้อที่น้องสาวพูดขึ้นตกไปเอง
“ลงไปเจอพ่อกับแม่ดีกว่า”
“ไม่เป็นไร พี่แค่อ่านเมลเอง” เขารีบบอก“เธอยังไม่ได้เล่าเรื่องทุนเลย สัมภาษณ์เป็นยังไงบ้าง”
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







