อ้อ ไม่นับว่าหากเบนคนเดียวอยู่กับผู้หญิงมากกว่าหนึ่ง ข้อนี้ยกเว้น พวกเขาไม่สามารถมองหน้ากันระหว่างทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งที่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกันได้แท้ ๆ
อเล็กซ์เลื่อนสายตามองไปทางอื่นเมื่อเห็นท่าทางยั่วยวนของซาร่าห์ “เอ่อ ล้อเล่น ช่างมันเถอะ คือ ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าหิว ก็เลยออกมา แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียง...เสียงนั้นนั่นแหละ” เขาหรี่ตามองทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มร้าย
แน่นอนว่าอเล็กซ์ต้องคุ้นกับเสียงของซาร่าห์ พวกเขาคบหาเป็นคู่รักกันตั้งสองสามสัปดาห์ก่อนที่เบนจะทำลายความสัมพันธ์ลง อย่างน้อย ตอนนี้ทั้งสองต่างคุยกันอย่างปกติ เหมือนเพื่อนที่ดีต่อกัน
“มันยากนักเหรอไง ที่จะหาผู้ชายสักคน” อเล็กซ์ถามอดีตแฟน “ที่ดีกว่าหมอนี่?”
“ใช่” ซาร่าห์สารภาพระหว่างสางผมสีทองของตัวเอง “ที่นี่ไม่ได้มีหนุ่มฮอตเยอะแยะสักหน่อย แถมส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่สนใจพวกผู้หญิงกันแล้ว...รวมถึงนายด้วย”
“เปล่าซะหน่อย...” อเล็กซ์เม้มปาก “ก็พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
“รู้น่า เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงมาอยู่กับหมอนี่”
เบนหัวเราะ “ฉันว่ามันเป็นข้ออ้างของเธอมากกว่า เธอติดใจรสชาติของฉันต่างหาก ต่อให้มีผู้ชายมาเสิร์ฟให้ถึงที่ เธอก็ไม่ชอบใครเท่าฉันหรอก” เบนพูดอย่างทะนงตัว ซาร่าห์เบะปาก แต่ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เขาโอ้อวด เขารู้ว่าเธอเกลียดเขา แต่คงไม่ได้เกลียดทุกสิ่งที่เป็นเบน อย่างน้อยก็เรื่องนี้ ไฟราคะของคนทั้งสองตอบสนองกันและกัน แต่มันเป็นเพียงแค่ไฟ เมื่อหมดสิ้นเชื้อเพลิง ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก มันเป็นเรื่องที่คนจริงจังอย่างอเล็กซ์ไม่มีวันเข้าใจ (แม้อเล็กซ์จะไม่ใช่คนประเภทจริงจังจริง ๆ ก็ตาม)
อเล็กซ์เขยิบตัว กระซิบชื่อ “ทริสต้า” เบา ๆ ข้างหูของเบน เขารู้สึกเหมือนมีใครมาบิดที่ท้องทันที
“อันที่จริง ฉันนึกว่าเธอกำลังไล่ตามเจ้าหัวเงินนั่นซะอีก เห็นพวกผู้หญิงอยากขึ้นเตียงกับหมอนั่นจะแย่ ยังไม่ได้อีกเหรอ” เขาถาม
เด็กหนุ่มผมสีเงินคงเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวที่เบนยอมแพ้ให้กับรูปลักษณ์หน้าตาที่นำหน้ามนุษย์เพศผู้ทุกนาย พวกผู้หญิงหลงหมอนี่กันมากมาย ยิ่งเห็นเขาย้อมผมเป็นสีเงินแบบนั้น ยิ่งทำให้เขาดูต่างจากคนอื่น แต่น่าเสียดาย ถ้าเขาไม่ได้ทำตัวแปลกประหลาดเหมือนตอนนี้คงจะมีเสน่ห์มากกว่านี้ หมอนั่นทำตัวเหมือนมีคนกดปิดเสียงตัวเองไว้
“เขาเป็นพวกมนุษย์โรบอต ไม่มีความรู้สึก ไม่มีเสน่ห์อะไรนอกจากหน้าตา” ซาร่าห์ว่า
“นี่เธอล้มเลิกความคิดแล้วเหรอ”
หญิงสาวกลอกตา “เขาอาจจะหล่อ แต่พิลึกเกินไป ตอนนี้ คนโปรดของฉันคือหนุ่มผม
บลอนด์ต่างหาก เป็นพวกที่มาใหม่ เขาเหมือนจะเข้าใจความนัยของฉันอยู่เหมือนกันนะ แต่...เขาชอบนั่งอยู่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเลย ให้ตายเถอะ เด็กคนนั้นน่าเอ็นดูมากจริง ๆ” ฉับพลันแววตาของซาร่าห์เหม่อลอยออกไป เหมือนกับว่าเธอกำลังมองหาเด็กคนนั้นในสมองอันน้อยนิดเบนคิดว่าเขารู้ว่าซาร่าห์หมายถึงใคร คนที่ทำตัวราวกับบอดี้การ์ดของแม่สาวแบมบี้ และเด็กผู้หญิงที่ซาร่าห์พูดถึงต้องเป็นอเล็กซิสแน่นอน
“รสนิยมของเธอมันแย่ลงนะ บลอนดี้”
อเล็กซ์มองเขาสลับกับซาร่าห์ กอดอกแน่น ถอนหายใจอยู่คนเดียว
“อเล็กซ์...” ซาร่าห์เรียก “ฉันรู้ว่า พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เราไม่ได้รักกันแล้ว”
“อื้อ ไม่ได้แล้ว” อเล็กซ์ทวนคำ “บางที...มันอาจจะไม่ใช่ความรักมาตั้งแต่แรกก็ได้นะ”
ซาร่าห์พยักหน้าช้า ๆ “ครั้งก่อนที่ฉันขอกลับไป จริง ๆ แล้ว ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันไม่ได้อยากกลับไปจริง ๆ”
“ฉันรู้”
“ฉันเหงา อเล็กซ์”
“อื้ม ขอโทษที่ทำตัวห่างจากเธอ ทั้ง ๆ ที่บอกว่าให้อภัยไปแล้ว”
ไม่เอาน่า นี่มันฉากจบแบบสุขนาฏกรรมชัด ๆ แบบทุกคนต่างลงเอยกันด้วยดี แฮปปี้เอนดิ้ง เบนเริ่มขัดใจ
“ฉันคิดว่าพวกเราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ถ้าหากนายยอมให้ฉันเป็นเพื่อนนายนะอเล็กซ์”
“แน่นอน ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธออยู่แล้ว” อเล็กซ์ส่งยิ้มอบอุ่นให้กับซาร่าห์ “แต่ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนของฉัน ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้เธอเลิกยุ่งกับหมอนี่ได้แล้ว จำไม่ได้เหรอว่ามันทำอะไรไว้กับเธอ กับพวกเรา”
ซาร่าห์ก้มหน้าจ้องตักตัวเอง แต่เบนรู้สึกได้ว่าหางตาเธอแอบชำเลืองมองเขาอยู่ และเสียงที่เธอพูดมันเปลี่ยนไป ไม่ใช่เสียงใส ๆ หวาน ๆ แต่...เศร้า “ฉันรู้ อเล็กซ์ ฉันรู้ดี ขอบใจนะ ฉันสัญญาว่าเร็ว ๆ นี้แหละ”
อะไรวะ เบนมอง ‘เพื่อนใหม่’ สองคนแล้วทำหน้าไม่พอใจ
อเล็กซ์มองพวกเขาที่แต่งตัวเสร็จแล้ว จึงเอ่ยปากชวน “ไปหาไรกินกันเถอะ พอนั่งตรงนี้นาน ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบาปขึ้นกว่าเดิมยังไงยังงั้น ไปเร็ว ๆ พวกทูตตกสวรรค์”
ชายหนุ่มร่างสูงยืนขึ้นแล้วเร่งให้พวกเขาขยับตัวไว ๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไป ซาร่าห์ยังคงครุ่นคิดกับคำพูดของอเล็กซ์ “อย่างน้อยฉันก็ยังเป็นนางฟ้านะ ถึงจะตกสวรรค์ก็ตาม” เธอกล่าวด้วยเสียงเนิบ ๆ
หนุ่มดวงตาสีอำพันอมยิ้ม ขันในความใสซื่อของเธอ “พวกทูตตกสวรรค์แปดเปื้อนแล้ว และเมื่อนั้นจิตวิญญาณของพวกเขาจึงสกปรก หมอนี่ด่าว่าพวกเราเป็นปีศาจต่างหาก”
“ปีศาจ แต่ไม่ว่าจะปีศาจอะไร นายก็ไม่ใช่ลูซิเฟอร์” เธอว่า
เบนหัวเราะในลำคอ “แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันไม่เคยเป็นหรอก ไอ้พวกเทพบุตรพวกนั้น แต่ถ้าจะเป็น ฉันคงเหมือนลูกชายของลูซิเฟอร์ต่างหาก คนส่วนมากมักบอกแบบนี้นะ”
“อ้า ค่อยฟังดูเป็นนายหน่อย แล้วนายชื่ออะไรล่ะจ๊ะ คุณปีศาจ” ซาร่าห์ถามเหมือนยังไม่เข้าใจตำนานที่เขากำลังอ้างถึง
“เอล์ม ยายแก่พี่เลี้ยงของฉันชอบบอกว่าฉันเป็นหมอนี่”
ซาร่าห์ถลึงตาใส่เขาทันที “ฉันไม่ใช่ยัยเด็กขายดอกไม้นะยะ”
“อ้อ ก็ไม่ใช่น่ะสิ” เธอเป็นแค่กุหลาบ หรือดีหน่อยก็ซักคิวบัส
แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะก้าวเดินออกไป อเล็กซ์วิ่งกลับมา ตื่นเต้นดีใจกับอะไรบางอย่าง
“ฉันได้ยินคนพูดว่า มีข้อความปรากฏบนไอ้จอทีวีนั่น”
กลุ่มกบฏบางกลุ่มต้องการทำลายนิวโฮป จึงไม่ใช่ทุกกลุ่มที่ยินดีอ้าแขนต้อนรับพวกเขา และข้อสำคัญคือ พวกเขาจะติดต่อคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการไม่มีใครตอบได้ แม้แต่บลูก็จนแต้ม เขาเพียงแค่อยากอยู่ที่นี่ ใกล้กับหลุมศพน้องชาย“ไมเคิล ฉันว่าไม่ปกตินะ” จอห์นปลุกสติของเขาอีกครั้งสายฟ้าของอเล็กซ์ฟาดซัดต้นไม้แถบนั้นเป็นจุณทีเดียวนับสิบต้น ขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าแล่นเป็นวงรอบตัวเขา อาคุสะเริ่มตื่นตัว ออร่าสีเขียวและเหลืองแผ่ออกไป“อเล็กซิส ถอยออกไป!” เป็นอเล็กซ์ที่ตะโกนเตือนแฟนสาว “ฉันคุมมันไม่ได้!”“แย่ละ” ไมเคิลกับจอห์นวิ่งเข้าไปอเล็กซิสควบคุมมวลน้ำเพื่อดับไฟ แต่กระแสไฟฟ้าของคนรักยังแล่นออกมาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มหาที่หลบไม่ได้ เขาหาทางจะเข้าไปช่วยฝาแฝด ตอนนี้แทบมองไม่เห็นอเล็กซ์เพราะมีแต่กระแสไฟฟ้าพัวพันรอบตัวเทสซ่าหวีดร้องขึ้นมา เธอกับอาคุสะจับมือกันแน่น พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เขาสบตากับจอห์น ใช่ แผ่นดินไหว แต่...ฝีมือธรรมชาติหรือสัญชาตญ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่แท้นาฮีมานาไม่ได้คิดจะให้พวกเขากลับนิวโฮปแต่แรก ไมเคิลหันไปมองพวกเพื่อน ๆ เทสซ่านั้นคิ้วขมวดจนเป็นปม เธอนั่งกอดอกหลังตรงแล้วเม้มปากแน่น หากแต่ไหล่สั่น ขณะที่คนอื่นถกเถียงกัน อเล็กซิสก็นั่งเท้าคางใช้ความคิด ไมเคิลสัมผัสความรู้สึกร่วมของคนในนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือความเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน หรืออาจจะไม่มีวันได้กลับ“ถ้าหาก...ถ้าหากเราทำให้เมเคอร์เข้าใจได้ว่าพวกเราไม่เป็นภัย พวกเราเป็นชาวนิวโฮป อยากปกป้องบ้านเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เขาเห็นจุดยืนของพวกเราว่าไม่ได้เป็นภัยต่อไลบราเรีย ต่อโลก...” ไมเคิลเลิกคิ้ว เพราะเทสซ่าพูดเหมือนอเล็กซิสเปี๊ยบ“ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเทสซ่า เมเคอร์ไม่มีวันให้กองกำลังกับพวกเธอแน่”“ฉันไม่ได้หมายถึงกองกำลัง ฉันหมายถึงตัวพวกเราเอง ถ้าเขามองว่าพวกเราเป็นภัย ทำไมไม่มองว่าพวกเราเป็นอาวุธให้พวกเขาได้”“เทสซ่าพูดถูก” เซนว่า “ทหารสามคนนั้นก็เป็นกลุ่มเสี่ยง”“ลูเซียนบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นชาวไลบราเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถ
มีเพียงสิ่งลมเขย่ากิ่งไม้ไปมา แสงสีแดงริบหรี่จนแทบเลือนหายไป ความมืดย่างกรายแทนที่ แต่ดวงตาสีน้ำเงินของอเล็กซิสกลับสว่างไสว ช่างเหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่คอยจ้องเขายามค่ำคืน ไมเคิลในวัยเด็กมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้ง และลูก้าเป็นคนปลอบเขา ถึงแม้เขาไม่เคยล่วงรู้เรื่องแฝดอีกคน แต่เพราะดวงตาของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอ ในยามนี้เขาอ่านความคิดเธอออก ผ่านแววตาและสีหน้า ทั้งคู่ไม่คิดว่าลูเซียนโกหก อย่างไรก็ตามยังคิดว่าอีกฝ่ายบอกไม่หมด ความปรารถนาดีมีบางอย่างเคลือบแฝง ผลงานของลูเซียนคือเครื่องมือที่ฆ่าโนเอลและเบน เขาไม่มีวันให้อภัย เพียงแต่ว่า พวกเขาจะต้องชั่งใจให้ได้ว่าการเชื่อฟังลูเซียนจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพิกเฉยหรือไม่เขารู้ว่าอเล็กซิสเสียใจ เธอบอกน้องชายคนนี้เสมอว่านิวโฮปจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา“อเล็กซิส ไมเคิล” หญิงสาวผมสีดำเรียกสติฝาแฝดทั้งสอง “กลับกันเถอะ มืดแล้ว”“เดี๋ยว...” เขาชะลอเธอรอฟัง แต่เป็นพี่สาวของเขาที่พูด“ถ้าคุณอยากให้พวกเราคล้อยตามลูเซียน คุณต้องบอกมาให้หมดว่าคุณกับเขารู้จักกัน
ดวงตาสีแดงกลอกไปมาราวกับดูแคลนคำพูดของพวกเขา “ผมหวังดี ที่พวกเขากลับไปไม่ใช่เพราะถอย แต่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทหารและอาวุธมากมาย เมเคอร์ไม่ปล่อยพวกคุณแน่นอน เขาไม่อยากยืดเยื้อ และคราวนี้ได้คงใช้วิธีดึงอาร์คาเดียมาช่วย ทั้งนิวโฮปก็เจอปัญหา ดังนั้นถ้ากำจัดพวกคุณได้เร็วเท่าไร ฝ่ายทหารจะโฟกัสกลับนิวโฮปได้ดีขึ้น”“เกิดอะไรกับนิวโฮป” อเล็กซิสซักทันที “เมเคอร์...เจ้าชายเมเคอร์ใช่ไหม ที่คุณว่า”ลูเซียนพยักหน้า “ใช่ ตำแหน่งเขาสูงกว่าผม ถ้าคุณสังเกตคำนำหน้า ผมเป็นลอร์ด เขาถือตำแหน่งเจ้าชาย เมเคอร์ต้องการทำลายกลุ่มเสี่ยง เขาเห็นว่าพวกคุณเป็นภัย” ชายอัลบิโนขยับตัว มีภาพยานสงครามฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น เขาชี้ไปที่รูปพวกนี้ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะเจอ ในดิสก์แผ่นนี้ ผมมอบโลเคชันให้พวกคุณหนีไปหลบภัย รับรองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับที่นี่ได้ เมื่อสถานการณ์ในนิวโฮปดีขึ้น ผมจะหาทางทำให้เมเคอร์เปลี่ยนใจ”“คุณมีพลังจิตไม่ใช่หรือ คุณควบคุมจิตใจเขาได้...” อเล็กซิสว่า“ถ้าผมทำได้ผมทำไปนานแล้ว” แต่สาย
แดดสนธยาส่องผ่านร่มไม้จนเกิดลำแสงสีทองเป็นริ้ว คนสามคนเดินย่ำเท้าไปตามใบไม้แห้ง ลมเย็นโชยสลับผสานกับลมร้อนในตอนกลางวัน เวลากำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางคืน“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ใช่กับดัก” อเล็กซิสถามยายแม่มด (และพักนี้ไมเคิลมักใช้คำนี้บ่อย เพราะไอ้นิสัยชอบรู้เรื่องมากมายแต่ไม่ยอมเล่าให้หมดของนาฮีมานาทำให้เขารำคาญ) “เราจับโดรนสอดแนมมาได้สามวัน แล้ววันนี้เขาก็เรียกแค่พวกเราแค่สามคน ทำไมต้องเป็นคุณ ทำไมต้องเป็นพวกเรา”“เขาไม่ชอบคนเยอะ อาจเป็นเพราะพวกเธอเห็นหน้าเขาแล้วมั้ง แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นจุดประสงค์ดี”เธอมั่นใจอะไรในตัวคนคนนี้กัน คนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเมื่อไรก็ได้เพียงแค่ควบคุมสมองไม่ให้มองเห็น สามารถปรับเปลี่ยนความคิดใครก็ได้ แล้วจะเชื่อใจนาฮีมานาได้อย่างไร ไมเคิลสงสัยนัก“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาโพล่ง “ลูเซียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราผ่านอะไรมาบ้างกับงานของทีมวิจัย เราต้องเสียอะไรบ้างกับงานของเขา”“ฉันรู้ดี” นาฮีมานาตอบโดยไม่หันมามอง เ
เช้าวันต่อมา บอร์ญ่ายังคงเป็นคนมาเสิร์ฟอาหาร และบราวน์ไม่เข้ามาอีกเลย เขานั่งนับวันตั้งแต่โดนจับจึงนึกได้ว่านี่คือวันศุกร์ เจ้าของบ้านคงออกไปทำงาน ดังนั้นทั้งวัน เขาเอาแต่ทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นบอก“ตัวตนที่ยังหลงเหลือ” เจสซี่ไม่มีความรู้เรื่องสมองของมนุษย์ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาโทรหาไบรซ์หรือคาเลบได้ ความทรงจำของมนุษย์ถูกลบได้หรือเปล่า สมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร“ไลบราเรียน...เอไลโต” เขาท่อง “ฟุตบอล ออสโล่”เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น แคดมันเดินเข้ามา อาหารเย็นวันนี้มีเพียงแซนด์วิชกับน้ำเปล่า และช็อกโกแลตบาร์สองแท่ง เมื่ออีกฝ่ายวางถาด เขาเอื้อมไปจับข้อมือ“เวด”แคดมันสะบัดออกจนน้ำหกกระจาย ดวงตาที่มีสีฮาเซลอ่อนกว่าจ้องกลับมา แววตาคู่นี้ขึงขังดุดันและพร้อมจะเอาเรื่องได้ตลอดเวลา“นายจำอเล็กซิสได้ไหม”“หุบปาก”“ออสโล่ เด็กหนุ่มผมสีแดงใบหน้าตกกระ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”“หุบปาก!”“ซานโบซ่า!”มือข้างขว