“โอเค เข้าเรื่อง” ฟิโอดอร์ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือรอบที่สอง “มอร์ตันคงอธิบายไปแล้วว่าทีมผู้ช่วยของฉันมีตำแหน่งอยู่ในผังองค์กรก็จริง แต่ขอบเขตงานเน้นที่ตระกูลโวลคอฟ ไม่ว่าจะเป็นฉัน วลาด หรือ...” เขาชี้ไปที่เด็กหนุ่มผิวซีดในรูปอีกสองคน “หรือแม้แต่อเล็กซ์และนิค
เนื่องจากขอบเขตค่อนข้างกว้าง และแม้ฉันจะมีผู้ช่วยอย่างโคล สิ่งที่ฉันต้องการคือคนที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้โคล มารีน่า และคาร์ล”
คาร์ล โครเกต์ เป็นทนายประจำตระกูลโวลคอฟ สืบทอดตำแหน่งนี้จากบิดาและปู่อีกที ซึ่งเจสซี่ยินดีที่มีผู้รู้กฎหมายอาวุโสคอยคุมบังเหียนให้ตัวเอง เพราะถึงแม้เกรดและผลการทำงานอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่ประสบการณ์ของเขายังไม่มากพอรับผิดชอบคนทั้งตระกูลเพียงลำพัง
รวมทั้งผลประโยชน์ของคนระดับนี้ด้วย
“และนั่นก็คือภาพรวมโดยทั่วไป”
เขายืดตัวตรง รู้สึกตัวเองสำคัญขึ้นมา
ฟิโอดอร์กุมมือ หากว่าสีหน้าเมื่อครู่จริงจังเวลานี้ไอรังสีกดดันแผ่ซ่านยิ่งกว่าเก่า “เธอรู้เรื่องลูกชายฉันใช่ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าพลางชำเลืองมองอเล็ก
ประธานโวลคอฟหัวเราะ “เกินไป เกินไป ไม่ใช่เบ็ดแน่นอน และเรื่องนั้นมันแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เธอคิดว่าทุกคนจะทำงานตำแหน่งนี้ได้แค่เพราะลูกหลานถูกจับตัวไปอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นฉันคงมีตัวเลือกเป็นพัน ไม่ใช่ทุกคนรู้กฎหมาย ไม่ใช่ว่าทุกคนรู้เรื่องธุรกิจ ไม่ใช่ทุกคนที่กล้าต่อปากต่อคำกับฉัน”เขามองหน้าคนที่เหลือ ทุกคนล้วนมีสีหน้าคล้อยตามคำพูดประธานสูงสุด“และอย่างที่มอร์ตันบอก เธอมีเสน่ห์ต่อทั้งสองเพศ”ใบหน้าของเขาร้อนฉ่า ไม่มีอะไรน่าอายไปกว่านี้แล้ว แต่เขาไม่ชอบคำว่าการใช้เสน่ห์เพื่อให้งานลุล่วง และไม่ชอบที่พวกเขารู้ถึงขั้นนี้ โวลคอฟไม่ใช่แค่สืบประวัติ แต่ตามสืบชีวิตเขาด้วย แน่นอนว่าคนพวกนี้ย่อมรู้เรื่องโจชัว“อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะเจสซี่” มอร์ตันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทีอ่อนโยนกว่า “แม่สาวผมน้ำตาลสะโพกงามเมื่อครู่ นอกจากเธอจะสนนายแล้ว ตัวนายเองก็เล่นหูเล่นตากลับไม่ใช่หรือ ฉันเห็นอากัปกิริยาของนายทุกอย่าง นายเป็นงาน”“ดีสิ ระหว่างทำงานด้วยกันน่าจะสอนชั้นเชิงให้วลาดบ้างนะ หากลูกกับโอลิเวียไปกันรอด พ่อค
ผู้โดยสารวัยกลางคนนั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง มือข้างขวาเกาะขอบกระจกเคาะนิ้วเป็นจังหวะถี่ ๆ ทัศนียภาพด้านนอกชวนมองเพราะท้องฟ้ากระจ่างใส เห็นเมฆบางเป็นริ้ว เขายังคงเคาะกระจกอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่รู้ตัวจนคนข้างหน้าถอนหายใจเสียงดัง “ขอโทษครับ” แม็กซิมอนจึงวางมือบนลงตักยานโดยสารเริ่มลดระดับลงจนเห็นท้องทะเลสีน้ำเงินระยิบระยับ แววตาเด็กคนนั้นปรากฏขึ้นในหัว “หนูขอร้อง” เขาจับแผ่นแท็บเล็ตที่อยู่ในอกแน่น ไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน จากเมฆขาวและท้องฟ้าสีคราม หมอกเริ่มหนาจนบดบังวิวข้างนอก ร่างกายขยับตามแรงสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งแสดงว่ายานผ่านเกราะคุ้มกันชั้นแรกแล้ว แม็กซิมอนเห็นเงาที่มีลักษณะละม้ายคล้ายกับต้นไม้ในเมืองคนยักษ์ มันแผ่กิ่งก้านสาขาโอฬารไม่มีสิ้นสุด ยามหมอกจางลงจึงเห็นชัดขึ้นว่าแนวกิ่งก้านโยงใยแท้จริงคือตึกรามบ้านช่องที่เชื่อมต่อกัน ยังมีท่อระโยงระยางสำหรับช่องโดยสารด่วนพิเศษ ตัวยานปรับระดับให้อยู่บนเส้นทางหมายเลขหนึ่งศูนย์สำหรับยานสาธารณะขนส่งตัวยานจอดเทียบท่าเป็นที่เรียบร้อย แม็กซิมอนหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กแล้วลุกออกจากที่นั่ง คนไม่เยอะ
“แกลิสบอกผมแล้ว แล้วก็จำเงาพี่เขยได้นะครับแม้จะแกล้งทำทีอ่านแท็บเล็ต” ชายหนุ่มยิ้มกว้างในขณะที่แกลิสทำผมสีแดงอมชมพู น้องชายของเธอตัดผมสั้นเกรียน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเครื่องแบบนักวิจัยที่สวมอยู่ คนอื่นอาจนึกว่ากลีเป็นพวกศิลปินหรืออะไรทำนองนั้น เพราะเขาเจาะระเบิดหูข้างซ้าย แถมยังสักลายไว้ตามแขนอีก และเพราะกลีเคยเป็นรุ่นน้องร่วมทีมวิจัยสมัยที่แม็กซิมอนยังมีชื่อ เขาย่อมรู้ว่าแม็กซิมอนอยากมีส่วนร่วมกับการประชุมมากแค่ไหน เพราะมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาหลงใหลมาตลอดทั้งชีวิต...เอชโอวัน“เอานี่” เขาโยนสิ่งที่มีลักษณะเหมือนเพชรเล็ก ๆ สองเม็ดมาให้ “ใส่หูแล้วอย่าให้จับได้” ว่าแล้วก็ปิดประตูออกไป แม็กซิมอนยัดเข้าไปในหูทันที แต่ได้ยินเสียงคนขยับ คงเป็นเสียงกลีเดินกลับไปเขาหัวเราะ “รู้ดีจริง ๆ”พอกลีกลับเข้าไปนั่งที่ตัวเองในห้องประชุมแล้ว แม็กซิมอนจึงได้ยินเสียงข้างใน พวกเขาเริ่มประชุมไปสักพักแล้ว“...เราไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป แต่เรากำลังพูดถึงการส่งผ่านรูปแบบความสามารถ..
แม็กซิมอนรออีกหนึ่งชั่วโมง ลูซินด้าจึงพาเขาเข้าพบซีโนฮอฟ เอไลโต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแห่งนี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในสภาปกครองอันประกอบไปด้วยสมาชิกผู้เรืองปัญญาจากหลายสาขา การทหาร กฎหมาย วิศวกรรม นวัตกรรม อวกาศ ภาษาศาสตร์ และอื่น ๆ แม้ซีโนฮอฟเป็นหัวหน้าใหญ่ในกลุ่มสาขาวิจัยทางการแพทย์ แต่เนื่องจากเคสเอชโอวันและทอยซิตี้เป็นเคสพิเศษ หน่วยทหารจึงมีเอี่ยวชั้นผู้บริหารอยู่สูงขึ้นไปอีก และกว่าจะผ่านเข้าแผนกยังต้องสแกนม่านตาผ่านระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ทว่าเมื่อเข้ามายังห้องทำงานของซีโนฮอฟกลับพบเพียงร่างโฮโลแกรม นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ใช้วิธีเข้าประชุมผ่านการสื่อสารทางไกลร่างโฮโลแกรมซีโนฮอฟยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน พอเขาหันมาเห็นแม็กซิมอนจึงผายมือให้นั่ง ลูซินด้านั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ ในมือถือแท็บเล็ตพร้อมจดรายละเอียด“ลูบอกว่าคุณมีเรื่องสำคัญที่ต้องพบผมโดยเฉพาะ”“ครับ” แม็กซิมอนกล่าว ซีโนฮอฟมีนัยน์ตาเรียวคมและแทบจะชิดกลืนไปกับคิ้ว ใบหน้าจึงเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หากนับตามอายุ แม็กซิมอนแก่กว่าเพียงยี่สิบปี แต่ลักษณะทางกายภาพของซีโนออฟอ่อนเยาว์กว่า ที่น่า
รอยเท้าบนพื้นทรายลากยาวไปตามตรอกจากนั้นเลือนหายไปกลายเป็นรอยล้อรถแทนที่ เขาหยุดอยู่ตรงนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วจำไม่ได้ แต่ร่องรอยของสองคนนั้นมีเพียงแค่นี้ เสียงย่ำเท้าของอีกคนตามมาด้านหลัง“เธอคิดว่าพวกมันไม่เห็นกล้องเหรอ เธอคิดว่าพวกมันไม่มีทางไม่รู้ว่าพวกเธออยู่ไหนเหรอ” เทสซ่าไม่ตอบ เธอแค่วางมือบนไหล่เขาเพื่อปลอบใจการเริ่มต้นใหม่ขรุขระตั้งแต่วินาทีแรก เสียงน้ำฝนดังเป็นจังหวะช้า ๆ ก่อนจะตกรัวลงมาเป็นห่าใหญ่ น้ำจากเบื้องบนกระทบศีรษะเพียงนิดหน่อย เพราะเทสซ่ายื่นแขนกางร่มบังให้ ไม่นานทรายไหลมากองรวมกัน ร่องรอยทั้งหมดไม่เหลืออีกแล้ว เขาปาดละอองน้ำฝนและเหงื่อที่คลุกเคล้าเป็นน้ำเดียวกันออกจากแก้ม แดดร้อนอบอ้าวมาหลายวัน คืนนี้ฝนจึงตกหนัก“พวกเขาอาจหายไปในราซา มีคนหายไปเสมอ สองสามคนต่ออาทิตย์ ส่วนใหญ่เป็นพวกเร่ร่อนไม่มีชิป ไม่มีที่นอน” เสียงเทสซ่าสั่น “เข้าข้างในเถอะไมเคิล พวกเรามีเรื่องให้ถกเยอะแยะ”เขาไม่ขยับ พวกเขาถกกันมาหลายรอบแล้ว และสุดท้ายก็จบลงที่ความว่างเปล่า“เรมีบอกว่าพวกนายจะอยู่ที่นี่”เข
“ไม่หรอก ยากอยู่” ฟีบี้เถียง “เรื่องปล้นชิปก็น่าคิดนะ ขนาดเจ้าของบาร์ยังเตือนเลยว่าอย่าไปไหนเปลี่ยว ๆ ตามลำพัง”“แต่ถ้าปล้นก็ไม่น่าต้องเอาตัวไป” อเล็กซ์ว่า “หรือทั้งสองอย่าง”“จะว่าไป ฉันฝัน...” มินนี่แทรกขึ้น โคดี้กับฟีบี้พร้อมใจกันถอนหายใจยาว “ฉันพูดจริงนะ” เด็กสาวยืนกราน แววตาหาได้ล่องลอยอย่างเมื่อก่อนไม่ “ฉันคิดว่าเป็นฝีมือเบ็กกี้ เบ็กกี้พยายามติดต่อฉัน หลายคืนมานี้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้ เห็นดวงไฟสว่างจ้า อึดอัดมากเลย...”“เดี๋ยวนะ” ไมเคิลกับเรมีร้องออกมาพร้อมกัน ตกใจด้วยกันทั้งคู่“คือ ฉะ...ฉันก็เห็นอะไรคล้าย ๆ แบบนี้ ดวงไฟและความอึดอัดแบบ...” เรมีพยายามอธิบาย ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองไมเคิลเหมือนจะถามว่า ใช่หรือเปล่า เขาพยักหน้าหงึก ๆ น่าตลกที่ทั้งสองเป็นรูมเมทกัน แต่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยเพราะต่างคิดว่ามันเป็นแค่ฝัน ถึงแม้จะฝันติดต่อกันมาสองสามวันแล้วก็ตามคนทั้งโต๊ะเริ่มสนใจฟังมินนี่ขึ้นม
“ดีนะที่อเล็กซ์เลี้ยงเบียร์เมื่อกี้”เขาชะงักมือที่กำลังจะหยิบเบคอน “หา” นึกว่าเทสซ่ายกเบียร์ของเธอให้เขาเสียอีก (แน่นอนว่าพอเธอส่งให้ เขาไม่คิดถามว่าเลี้ยงหรือไม่สักนิด ให้คือให้)เรมียักไหล่ “อาคุสะกับอเล็กซ์เพิ่งชนะเควสประจำวันไป สองคนนั้นเลยมีเงินอื้อเลย”“หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยชิปกับคูปองเสบียงราคา ถ้าหารสองก็จะคนละหกพัน!” ไมเคิลกล่าวเหมือนท่องจำ (“หกพันสองร้อยสิบนะ อันที่จริง” เรมีแก้) “แม่ง” ว่าแล้วก็หยิบเนื้อสันในลงในตะกร้าทันที ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่ตัวเองวิ่งเร็วและมีพละกำลังเหนือคนอื่น แต่ก็ยังไม่สามารถหยิบธงโง่ ๆ ได้ นี่สินะที่ปาสคาลบอกว่ากลยุทธ์ที่ดีนั้นสำคัญ“มันราคาสามร้อยกว่าเลยนะ” อีกฝ่ายเตือนเขายักไหล่ “พรุ่งนี้ไปเล่นเควส อย่างน้อยก็ได้มาอีกสองร้อยห้าสิบ แล้วเวลาที่เหลือฉันจะทำงานล้างจานอย่างเดียว”เรมีฟังแล้วทำท่าคิดคำนวณในหัว “โอเค นายจะได้ชิปประมาณหกร้อยถึงเจ็ดร้อย แล้วเรื่องอเล็กซิสกับเบ็กกี้ล่ะ พวกเราจะมีเวลาสืบไหม&rdq
อากาศข้างนอกร้อนอบอ้าว แต่ข้างในระอุยิ่งกว่า บลูไม่ละสายตาไปจากดวงตาสองสีที่กำลังจับจ้องการเคลื่อนไหว จนกระทั่งเธอหลับตา ริมฝีปากเผยอก่อนครางออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสุขสุดยอด บลูครางในลำคอกระหึ่มด้วยความรู้สึกเดียวกันก่อนเอนตัวลงนอนทับร่างเปลือยเปล่า กลิ่นหอมจากตัวเดสซิเรทำให้เขานึกสงสัยว่าเธออาบน้ำมันหอมระเหยสกัดจากดอกไม้ทุกชนิดบนโลกหรืออย่างไร มือของเขาจับปลายผมสีทองไล่วนตรงเนินอก ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกและจังหวะหัวใจที่เต้นช้าลง ยายบ้านี่ไม่ต่างจากม้าพยศที่ต้องการให้ครูฝึกอย่างเขาคอยปราบอยู่ตลอดไม่นานเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล เขาลุกขึ้นปล่อยให้เธอนอนพักอยู่บนโซฟา “นึกยังไงถึงตัดผมสั้นข้างเดียว” แล้วใช้เท้าจิกเสื้อผ้าขึ้นมาสวมทีละชิ้น “ฮื้อ?”“ถ้ามันไม่เวิร์ค ก็ยังเหลืออีกข้างที่ยาวไง”นั่นสินะ ถ้าออกจากปากคนอื่นคงฟังดูงี่เง่า แต่เมื่อออกจากปากเดสซิเร มันฟังดูสมเหตุสมผลได้อย่างน่าเหลือเชื่อ “ลุกเถอะ เจ้าเพียซมาแล้ว” เขาโกยเสื้อผ้าของเธอแล้วโยนใส่ หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะเสียงฝีเท้าดังตึงตังใกล้ขึ้นทุกที เขากดดันเดสซิเรด้วยการจ้องอยู่อย่างนั้นจนเธอค่อย ๆ ลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าอย่างเชื่องช้า
บลูรู้แล้วว่าเขาได้อยู่กลุ่มบี แต่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะได้อยู่หน่วยไหน และสุดท้าย “บลู เทอร์นเนอร์” เขาตบบ่าเพียซและโอลิแวนเพื่อไปเข้ากับหน่วยรุก ชายหนุ่มจงใจเดินผ่านลูกบ้านสาวตาน้ำเงิน เธออยู่กลุ่มบีกับเขา แต่น่าจะเป็นหน่วยสนับสนุน สีหน้าเด็กสาวบ่งบอกว่าประหลาดใจเมื่อเห็นบลู แค่นั้นเขาพอใจกลุ่มของเขาจะบุกตึกร้าง ซึ่งบลูไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนเพราะไม่ได้เข้าอบรมเหมือนคนอื่น แม้เขาเคยเห็นราซาในสภาพเมืองที่มีชีวิตมาก่อนเมืองร้าง แต่ในเมื่อมันเป็นเมืองร้าง ตึกทุกแห่งย่อมร้างผู้คน รถถังเคลื่อนทัพนำไปก่อน ภายในใจเริ่มปล่อยวางเมื่อเห็นว่าพวกทหารเป็นฝ่ายห้อมล้อมกลุ่มอาสา หาได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นแนวหน้าไม่ แม้จะอยู่ในหน่วยรุก พวกเขายังรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยอยู่ดี และพวกทหารจะเป็นฝ่ายเปิดคอยระแวดระวังให้ก่อน กลุ่มอาสามาเพิ่มกำลังให้จริงดังคำเชิญชวน บลูค่อนข้างเหงานิดหน่อยเพราะโอลิแวนและเพียซอยู่แถวหลัง ๆ แม้บางคนเขารู้จักแต่แค่เพียงผิวเผิน บลูจึงผูกสัมพันธ์กับรีเวอร์ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มต้องสงสัยไม่กี่คนในหน่วยนี้ เขาเรียกว่าไรดี การต่อสู้คราวนั้นก่อให้เกิดมิตรภาพได้ ด
“ถ้างั้นเลือกสักอย่างเผื่อไว้” เจ้าหน้าที่กดปุ่มบนโต๊ะ ตัวแผ่นพลิกขึ้นเผยให้เห็นคลังอาวุธข้างใน ทว่าแม้บลูจะพอเดาได้ว่าอันไหนปืน อันไหนมีด แต่เขาใช้ไม่เป็นเลยสักอัน จึงสุ่มเลือกมีดสั้นด้ามหนาขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนมีดพกธรรมดา เขาถนัดของเบสิก“อันนี้สามารถเสียบไว้ใต้แขน”ชายหนุ่มหงายแขนตัวเองขึ้น เห็นที่เสียบเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ “ใช้ยังไงเหรอ”ทหารหนุ่มจับมีดแล้วตวัด ใบมีดโผล่ออกมา “เหมือนมีดพกก็จริง” เขาตวัดกลับ ใบมีดกลับเข้าไปข้างใน บลูจ้องตาไม่กะพริบ เมื่อใช้นิ้วโป้งกดตรงสัน ใบมีดโค้งโผล่ออกมาจากปลายทั้งสองด้าน และเมื่อมันถูกเขวี้ยงออกไปกลับแล่นกลับมาหาเจ้าของคล้ายกับบูมเมอแรงนั่นเอง “ลองดู”บลูมองมีดในมือแล้วตวัดไปตวัดมา จากนั้นลองใช้แบบบูมเมอแรง อุปกรณ์นั้นใช้ง่าย อาจเป็นเพราะมันมีระบบอัตโนมัติติดตั้งเอาไว้ให้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก“มีสองที่ ก็เอาไปสอง” เขาหงายมือแล้วเสียบมีด จากที่ตัวเบาก็เริ่มพะรุงพะรังขึ้นนิดหน่อย “หมดแล้วใช่ไหม” เขาถาม&ldqu
หน้าประตูเหล็กสีดำ นายทหารสองนายยืนประจำการเฝ้าอยู่ พวกเขามองไปรอบ ๆ แปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มคนเลยทั้งที่นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าเพิ่งเจ็ดโมงยี่สิบเจ็ดนาที ในใจบลูหวาดกลัวว่ามันอาจเป็นกลลวง และเอมอนอาจตกอยู่ในอันตรายจึงปรี่เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งสอง พอเห็นชายสองคนตรงเข้ามา ทั้งสองนายพร้อมใจกันยกมือให้พวกเขาหยุด “อาสาสมัครใช่หรือไม่ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”“พวกเราไม่ได้ลงทะเบียน” เขาตอบ “พวกเขาไปกันแล้วเหรอ”ทั้งสองคนมองหน้ากัน คนหนึ่งพยักหน้า ชี้นิ้วโป้งไปทางประตู “เตรียมตัวอยู่ข้างใน ถ้างั้นพวกนายก็กลับไปซะ”“เดี๋ยว” อีกคนยั้งเพื่อนไว้ ทำมือบอกพวกเขาให้รอตรงนี้ทหารคนนั้นทาบมือกับบานประตู แผ่นเหล็กเลื่อนลงเผยให้เห็นช่องทึบข้างใน บลูจะชะโงกหน้าดู แต่เมื่อเห็นอีกคนที่เฝ้าอยู่เหล่มองก็ก้มหน้า ไม่กี่วินาทีต่อมา “บอกชื่อพวกนายมา” เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับริงโก้ แล้วตอบไป“บลู เทอร์นเนอร์”“โบธิสต้า ซานโดวอล”นั่นคือจริงของริงโก้ เขาไม่รู้ที่มาว่าทำไมชายคนนี
บลูสลัดมือแล้วเช็ดเสื้อชายหนุ่ม เวลาเขาอยู่ข้างริงโก้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์บอบบางที่พยายามล้มช้างแมมมอธ พอโดนแกล้งคืน ริงโก้ฮึดฮัด บลูยิ่งหัวเราะสะใจ “ฝากที่เหลือด้วยนะจ๊ะที่รัก” แล้วคว้าลังเบียร์เดินออกไปเลย ใครจะอยู่ฟังคำสบถแสลงหูเล่าดาดฟ้ากลายเป็นที่ประจำของบลูไปเสียแล้ว มือหนึ่งดีดฝาไฟแช๊ก อีกมือหยิบบุหรี่ ปากคาบแล้วจุดลมเย็นพัดผ่านร่าง หากไม่ได้สวมเสื้อแจ็กเกตกันหนาวคงสะท้านน่าดู ไม่ทันที่เขาจะหย่อนก้นลงบนม้านั่ง เอมอนเปิดประตูเหล็กอย่างแรง มือหนึ่งถือกล่องกระดาษ อีกข้างถือแผ่นพับกระดาษ “เล่นกันไหม”“เออ จัดเลย”น้องชายกางตารางกระดาษลงบนโต๊ะ เทของข้างในออกจากกล่อง มันเป็นฝาขวดที่เขาสะสม จากนั้นวางมันลงแทนหมากบนตาราง “ยัยเด็กนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”เอมอนแบมือ เขาส่งซองบุหรี่ให้ “อย่างที่ริงโก้ว่า เธอใช้ยาระงับอาการ ตอนริงโก้เคาะเลยเปิดให้ไม่ได้ ตอนนี้เดสก็ทดลองถอนพิษให้อยู่” ชายหนุ่มหยุดคิด “แต่ไม่น่าจะทำได้”ดูเหมือนว่าความล้มเหลวทำให้เอมอนเลิกโลกสวย “แ
เครื่องหมักเนยผสมกระเทียม มะนาว และผักชีลอยฟุ้งส่งความหอมละมุนผสมเปรี้ยว กลิ่นตลบผสานกับเนื้อแซลมอนบนกระทะร้อนส่งเสียงฉู่ฉ่าชวนให้น้ำลายสอ ด้านหลังโอลิแวน ไฟในเตาอบส่องสว่างฉายให้เห็นเนื้อหมูสันในอบกับมันฝรั่งหั่นเต๋าคละเคล้ากับเครื่องเทศมากมาย ส่วนผู้ปรุงแต่งสวมผ้ากันเปื้อนสีส้มอ่อน มือจับชามและทัพพีคลุกน้ำสลัด มีเพียซ ลูกมือคอยหั่นมะเขือเทศเป็นแว่นอยู่ข้างกาย ระหว่างนั้นเอมอนวางผ้าปูเตรียมมีด ส้อมและแก้ว แต่ละคนล้วนปิดปากเงียบ ไม่พูดคุยกัน หมกมุ่นกับเรื่องในใจบลูเห็นดังนั้นจึงถามขึ้น “พรุ่งนี้ไปกันกี่โมง” ตั้งใจทำลายความเงียบและปลุกทุกคนออกจากภวังค์ เขาเขยิบก้นนั่งบนเก้าอี้ริมข้างเคาท์เตอร์บาร์“เจ็ดโมง” เอมอนวางแก้วเปล่าลงข้างหน้าพี่ชาย “หรือจะเอาเบียร์”“น้ำนี่แหละ” บลูตอบ “เจ็ดเลยเหรอวะ โคตรเช้า”เมื่อเดสซิเรเดินเข้ามา ไอ้น้องบ้าผู้หญิงไม่รอช้าบริการหญิงสาวทันที เธอนั่งมุมโต๊ะ จากนั้นริงโก้เข้ามาเป็นคนสุดท้าย เลือกนั่งข้างบลู สายตามองถาดเนื้อหมูในเตาอบ พอโอลิแวนวางชามสลัดลงตรงกลาง หนุ่มร่างใหญ่ยืดตัวขึ้นตักแบ่งใส่จานตัวเองทันที บลูฟังเดสซิเรทวนกำหนดการสำหรับวันพรุ่งนี้ พวกเหล่าอ
สาวผมแดงนั่งมองพวกเขาอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าเพราะเสื้อผ้าถูกถอดออกทิ้งไว้บนพื้น อเล็กซิสกระตุกแขนไมเคิลที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ เธอส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มมากกว่าแสดงออกว่าโกรธ “อยากร่วมด้วยเหรอ” เสียงของหล่อนแหบกระเส่าจงใจยั่วอีกฝ่าย สุดท้ายอเล็กซิสลากไมเคิลออกไปได้สำเร็จไมเคิลมองหน้าเธอ ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันคิดว่าเธอถูกทำร้าย” แล้วชี้ไปที่บลูชายหนุ่มชี้หน้าตัวเอง “ฮะ ถูกทำร้าย?” จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากที่โมโหดูจะพอใจมากกว่า “ขอโทษที่รุนแรงจนนายตกใจ แต่ช่วยไม่ได้เพราะลีลาชั้นมันเผ็ดร้อน” เขาตบไหล่ชายหนุ่ม แต่ไมเคิลมีกะใจเบี่ยงตัวออก“คือ...บลู ไมเคิลค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย ฉันขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจ” อเล็กซิสแก้ตัวให้เพื่อนและพยายามมองแค่หน้าของบลู ปกติแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ หรือตรงสเป็ก แต่หุ่นของเขานี่มัน...หน้าอกชายหนุ่มยังคงสั่นไปตามแรงหัวเราะ “พูดจริงดิ เพื่อนเธอไม่รู้จักเสียงเมื่อกี้เหรอ เอ แล้วที่อยู่ในห้องกันสองคนทำอะไรกันวะ” เขาหันไป
ไมเคิลพยายามทำตัวเป็นปกติ เขามานอนเล่นในห้องเธอตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะในห้องตัวเองเต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสามหนุ่มไอทีอย่างโคดี้ เรมี กับอาคุสะที่พยายามถอดรหัสเข้าเครื่องให้ได้ ทอยซิตี้ไม่ใช่เมืองพักตากอากาศ หากพวกเขาไม่ดื่มหรือชมลานประลองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก ทั้งสองคุยกันว่าจะหางานทำช่วงเย็นดีไหม อย่างน้อยอาจแก้เบื่อแถมได้ชิปนิดหน่อย ไมเคิลเคยลองทำแล้วออกมาและอาจจะกลับเข้าไปใหม่วันนี้จึงผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับทั้งสองคน บางครั้งเธอนั่งจดบันทึกอยู่ เขาจะเริ่มเข้ามากระแซะ หลายครั้งเธออยากให้ตัวเองคล้อยตามแต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เธอหยุด สัมผัสของไมเคิลไม่ได้ทำให้เธอใจสั่น ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างเป็นต่อ อาจเป็นเพราะแววตาของเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าต้องการจริง ๆ และอาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างออสโล่กับลิ้ตเติ้ลชาร์ลีมากเกินไป ความใกล้ชิดของพวกเขายิ่งกว่าก่อนอเล็กซ์จะตีจากเสียอีก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนอนตัก กอด หรือถูกเนื้อต้องตัว พวกเขาไม่เคยไปไกลเกินกว่านี้ ถ้าไม่นับจูบทดลองคราวนั้นและสุดท้าย เด็กหนุ่มมักผล็อยหลับบนตักเธอเสมอ ไมเคิลชอบให้เธอเ
คำสุดท้ายแรงเหมือนตบหน้าโดยไม่ใช่มือ แววตาหยิ่งผยองเมื่อครู่กลายเป็นหวาดหวั่น และเมื่ออเล็กซิสเห็นเงาตัวเองในดวงตาคู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ความเกลียดชังในตัวเธอส่งผ่านออกมาจนเห็นชัดผ่านเงาสะท้อน และแม้แต่ตัวเองยังแทบรับไม่ได้กับใบหน้านั้น ดวงตาเธอเหลือบมองเทสซ่าและรีเวอร์ที่ยังคุยกันดี ไม่มีทะเลาะ จึงจับตัวมินนี่เลื่อนออกไป ให้ตัวเองมีช่องว่างปลีกตัวมินนี่ไม่สนใจ เธอเขยิบตัวแล้วก้าวไปเกาะกำแพงข้างหน้าแทน สายตาจดจ่ออยู่ที่พี่สาวตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง เวลานี้อเล็กซิสไม่สนใจแล้วว่าต้องรอเทสซ่าหรือไม่ แต่ฉวยโอกาสนี้กลับเขต ใบหน้าอาฆาตเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว“ฉันไม่เคยอยากให้พวกเขาตาย”เท้าเธอหยุดกะทันหัน เบลินดาเดินตามมา “เวดยังไม่ตาย” เธอสวน หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่มาจากที่เดียวกัน “เธอไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรู้สึกผิด ตลอดเวลาฉันเห็นเธอลอยหน้าลอยตาราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ...”“เพราะฉันเป็นเหยื่อ” เด็กสาวตรงหน้ากำหมัดแน่น มือทั้งสองข้างสั่นอเล็กซิสหัวเราะ “กล้าพูด”“เหยื่อของผองเพื่อ
“โอ้” ทำไมเราต้องรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ด้วยนะ เธอเหลือบมองเพื่อนสาวอีกที สองคนนั้นยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวว่ามีคนกล่าวถึง “หมอนั่นไม่ได้เป็นโรคจิตใช่ไหม” เธอถาม เพราะมินนี่ไม่เคยเก็บความลับของพี่สาวอยู่มินนี่ส่ายหัว “รีเวอร์น่ารักจะตาย ไม่กวนประสาทเหมือนโคดี้ด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่ โนเอลก็ชอบ” แววตาสีฟ้าอ่อนสลดลงเมื่อนึกถึงพี่ชายที่จากไป อเล็กซิสลุกขึ้นกอดเธอเป็นการปลอบโยน “ถ้าเขาไม่หายไปและไม่ทำให้เทสซ่าเสียใจก็ดี แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันเชียร์เขาแทนโคดี้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทำตาปริบ ๆ ถึงแม้เธอค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูน้องเล็กของพวกโธมัสคนนี้อเล็กซิสยิ้ม “ฉันรู้”เธอมองรีเวอร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้ตัวจึงเดินหายไป เธอไม่เคยรู้เรื่องเขาเลย ไม่แน่ใจว่าเทสซ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแฟนเก่า แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องขัดข้องใจกับแฟนปัจจุบันก็คงดี อเล็กซิสถอนหายใจ เธอนึกถึงวันที่อเล็กซ์เจอเธอแอบอยู่หลังถังขยะข้างตึกที่พักไมเคิล สติตกอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์ยา ถึงแม้เธอไม่อาจตอบได้