ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไป
ทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก
“รัก!”
ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ
“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”
อนุวัฒน์พยักพเยิดไปทางเบาะหลังของตัวเอง ตอนที่เขารู้เรื่องเธอถูกลูกค้าฉุดไปเมื่อคืนนั้น ยอมรับว่าตกใจมาก และเป็นห่วงหญิงสาวที่สุด แต่พอรู้ว่ามีพลเมืองดีมาช่วยไว้ได้ทัน และพอดีกับที่มีรถสายตรวจขับผ่านมาพอดีเธอจึงรอดมาได้ เขาจึงตั้งใจว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องไปส่งเธอถึงบ้านอย่างปลอดภัยทุกวัน
“ไม่ต้องปฏิเสธเลย เมื่อคืนไม่เข็ดรึไง”
ชายหนุ่มรีบพูดดักคอขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะไม่ยอมขึ้นรถมาด้วย สุดท้ายต้องรักจึงต้องยอมนั่งซ้อนท้ายเพื่อนชายเพื่อให้พาไปส่งถึงบ้าน
“ส่งถึงปากซอยก็พอนะบอย ไม่ต้องไปถึงหน้าบ้านหรอก” เธอยังไม่วายต่อรองกับเขา อนุวัฒน์จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ถามจริงๆ เถอะรัก ทำไมไม่ยอมให้เราขับไปส่งในซอยล่ะ รักต้องเดินเข้าไปอีกไม่ใช่หรือ”
“บอยก็รู้ว่าแถวบ้านเราปากหอยปากปูมันเยอะ พวกไม่รู้จริงชอบเอาไปพูดเสียๆ หายๆ เราไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ ช่วงนี้แม่ยิ่งอาการไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”
พอได้ฟังเหตุผลของเพื่อนสาวอนุวัฒน์จึงไม่ซักถามอะไรอีก เพราะรู้ดีว่าต้องรักนั้นรักมารดามากแค่ไหน อะไรที่ทำให้มารดาอาการดีขึ้นหรือสบายใจได้ ต้องรักไม่เคยเกี่ยงที่จะทำ
อนุวัฒน์จอดรถที่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านของต้องรัก เธอลงจากรถพร้อมกับเอ่ยขอบคุณเพื่อนชายก่อนจะโบกไม้โบกมือให้ระหว่างที่เดินเข้าไปในซอย จากนั้นชายหนุ่มจึงขับรถกลับไปยังบ้านของตัวเอง
ต้องรักพยายามเดินเร็วๆ เพื่อให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุด แต่เพราะข้อเท้ายังไม่หายดีเท่าที่ควร เวลาที่เธอเกร็งมากเกินไปจึงรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาอีกครา สุดท้ายจึงชะลอฝีเท้าลงแต่ประสาทสัมผัสก็คอยระแวดระวังภัยรอบกายไปด้วย
ทางเข้าซอยไม่ได้มืดมิดอะไรนักเพราะมีไฟส่องสว่างตามข้างทางให้พออุ่นใจอยู่บ้าง เพียงแต่บางคืนนั้นจะมีกลุ่มวัยรุ่นมานั่งดื่มเหล้าหรือเสพยากันแถวเพิงขายของข้างทาง และรีดไถเงินคนที่เดินผ่านไปมา คืนนี้เธอจึงกลัวว่าจะเจอกับพวกนั้นเข้า แต่เมื่อมองไปไกลๆ แล้วไม่เห็นเด็กกลุ่มนั้นจึงค่อยคลายใจ
หญิงสาวไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเบื้องหลังไปประมาณห้าสิบเมตรจากจุดที่เธอเดินอยู่นั้นจะมีร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินตามอยู่ห่างๆ อย่างเงียบกริบ ร่างนั้นพยายามเดินอยู่ในเงามืดเพื่ออำพรางตัวเองจากสายตาที่สอดส่ายไปมาของหญิงสาว จนกระทั่งเห็นว่าต้องรักเข้าบ้านไปได้เป็นที่เรียบร้อย ร่างนั้นจึงหันหลังเดินกลับไปทางเดิม
ต้องรักไขกุญแจเข้าไปในบ้าน เห็นข้างในมืดสนิทแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติแล้วมารดาจะเปิดไฟในครัวทิ้งเอาไว้ให้เพื่อให้เธอมองเห็นทางจะได้ไม่เดินชนโต๊ะหรือเดินตกบันได เธอควานไปกดสวิตช์ไฟที่ผนังใกล้กับประตูจนไฟที่ชั้นล่างสว่างพึ่บ ครั้นพอมองเห็นภายในได้เต็มตาหญิงสาวก็ต้องหวีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง
“แม่!”
ต้องรักถลาเข้าไปหาร่างของมารดาที่นอนนิ่งไม่ไหวติงจมกองเลือดสีแดงสดอยู่หน้าบันได หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างร่างของมารดา มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนพื้นโคลงเคลงจนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพยุงกายของมารดาให้มาพิงซบกับหน้าตัก ปากก็ได้แต่ร้องเรียกพร้อมกับเขย่าตัวท่านแรงๆ ทว่าร่างนั้นก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“แม่...แม่จ๋า ฮือ...แม่ได้ยินเสียงรักไหม แม่แข็งใจหน่อยนะ รักจะพาแม่ไปโรงพยาบาล”
หญิงสาวพร่ำพูดปนสะอื้น น้ำตาหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นวิ่งไปเคาะประตูบ้านข้างๆ
“ป้านวล ลุงเพิ่มเปิดประตูให้รักหน่อย ช่วยแม่ของรักด้วยนะป้า เปิดประตูให้รักที ฮือ...”
ต้องรักทุบประตูดังโครมครามโดยไม่สนใจว่าดึกสงัดเพียงใด สักพักพอเห็นแสงไฟจากด้านในสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นยาวๆ ของเจ้าของบ้าน หญิงสาวจึงเลิกเคาะ
“อะไรของเอ็งวะนังรัก ดึกๆ ดื่นๆ มาเคาะอะไรนักหนา หนวกหูคนจะหลับจะนอน”
เสียงแหลมๆ ของหญิงวัยห้าสิบกว่าดังเล็ดลอดออกมาจากในตัวบ้านพร้อมกับเสียงปลดล็อกประตู
“ป้านวลช่วยแม่รักด้วยนะ ให้ลุงเพิ่มเอารถออกไปส่งแม่รักที่โรงพยาบาลหน่อยนะป้า แม่รักเลือดไหลเต็มพื้นไปหมดปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่นเลย นะป้านะ”
หญิงสาวพร่ำพูดอ้อนวอนทั้งน้ำตานองหน้าพลางเขย่าแขนของคนที่เธอเรียกว่าป้านวลนั้นไปมา
“ว่าไงนะ เลือดไหลเต็มพื้น แม่เอ็งเป็นอะไรทำไมเลือดออก โว้ย! ไอ้เพิ่ม มึงตื่นมาดูนังจงมันหน่อยเร็ว นังรักมันบอกว่าแม่มันแย่แล้วปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น”
ประโยคหลังป้านวลตะโกนเข้าไปในตัวบ้านเพื่อปลุกสามีผู้มีอาชีพขับรถสามล้อให้ตื่นขึ้นจากเตียงเพื่อไปดูจงรัก มารดาของหญิงสาว ก่อนจะจับจูงแขนของต้องรักแล้วพากันเดินเร็วๆ ออกจากตรงนั้นทันที
“ว้าย! ตายแล้ว...ทำไมเลือดเต็มไปหมดอย่างนี้ล่ะ แม่เอ็งตกบันไดหรือ ไอ้เพิ่มเร็วๆ เข้า มาช่วยกันหน่อย”
ป้านวลยกมือขึ้นทาบอก อาการง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะโหวกเหวกเสียงดังเพื่อเร่งสามีให้เข้ามาในบ้านเร็วๆ
“เฮ้ย! นี่ไอ้หลกมันเตะแม่เอ็งตกบันไดเลือดอาบเลยหรือวะนังรัก ไปๆ ถอยๆ” เพิ่มเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพของจงรัก คราแรกนึกว่าดิลกตีเมียอย่างเคยจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะเห็นจนเป็นเรื่องชินตา แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะหนักมือเกินไปหน่อยกระมัง
ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแ
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วยยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงิ
ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต
ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไปทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก“รัก!”ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”อน
“ไม่เป็นไรหรอกบอย รักกลับเองดีกว่า อีกอย่างนะ ทางไปบ้านบอยกับบ้านรักมันคนละทางกันเลยนะ บอยไม่ต้องไปส่งเราหรอก”ต้องรักรีบปฏิเสธออกมาทันทีพร้อมกับยกแขนของยุวรรณดาขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเพื่อน“จะสี่โมงแล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย”เมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีจะบ่ายสี่โมง ต้องรักจึงรีบตัดบทแล้วหาทางเลี่ยงออกมาทันที เพราะกลัวว่าอนุวัฒน์จะดึงดันขอไปส่งบ้านให้ได้ เพื่อนชายคนนี้คิดกับตนอย่างไรใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แม้ว่าเขาจะดีและมีน้ำใจกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถคิดกับเขาเกินเพื่อนได้จริงๆเดินห่างเพื่อนออกมาได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเตือนขึ้นมาว่ามีคนโทร.เข้า ต้องรักเอามือควานหาโดยไม่หยุดเดิน เมื่อเจอแล้วก็กดรับสายทันที โดยไม่ต้องดูชื่อเพราะรู้ว่าใครโทร.มา“ค่ะ รักกำลังจะถึงหน้ามอแล้วค่ะคุณธิป...ได้ค่ะ”หลังจากวางสาย ร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย ยิ่งเขาบอกว่ากำลังจอดรถรออยู่ หญิงสาวก็ยิ่งลนลานรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เขารอนาน จึง
ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้นหญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถว