“เฉาเสี่ยน... เจ้าว่ามาอย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง” หลี่หลานหมิงออกคำสั่งสีหน้าเคร่งเครียดแต่ทว่าสองคนอึกอักมองหน้ากันว่าใครจะเป็นคนพูดก่อนจนต้องเอ่ยท้วงอีกรอบ “พวกเจ้าสองคนอย่าให้ข้าต้องถามครั้งที่สอง”
หวังเฉาเสี่ยนที่หายออกไปแต่เช้าเพื่อสืบข่าวไม่เพียงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีแล้วกว่าจะคิดคำต่อไปเปล่งออกมามิให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจอ๋องสี่ยิ่งหนักกว่า
“จากที่ข้าไปสืบมาได้ความว่าแม่นางน้อยผู้นี้ถึงจะเป็นคุณหนูตระกูลจินที่เกิดจากภรรยาแรก แต่ทว่านางกลับมิใช่คู่หมั้นหมายของท่านที่ฝ่าบาททรงส่งสาส์นทาบทาม...”
“เช่นนั้นแล้วใครกัน!” หม่าชิงเทียนออกอาการตื่นเต้นเพราะสีหน้าผู้เป็นนายแปรเปลี่ยน
“เอ่อ... คือว่า คู่หมายของท่านอ๋องคือคุณหนูใหญ่ตระกูลจินหรือก็คือแม่นางจินฮุ่ยอิงพ่ะย่ะค่ะ” หวังเฉาเสี่ยนเอ่ยตอบ
เพียงได้ฟังคำตอบ อ๋องสี่ผู้เย็นชาถึงกับออกอาการฮึดฮัดมองสลับหน้ากระโจมกับหวังเฉาเสี่ยนด้วยความเคร่งเครียดก่อนเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นทันใด
“มันต้องมีเรื่องผิดพลาด”
“ผิดพลาดหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสองโพล่งขึ้นพร้อมกัน
หลี่หลานหมิงพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลไหม้วาววับครุ่นคิดก่อนเอ่ย “แต่ใครจะสนกัน”
“แต่!”
“พวกเจ้าไม่ต้องพูด! ข้าจะพานางกลับตำหนักเหมันต์วันนี้!”
จินซิงซินรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงโหวกเหวกแว่วมาเข้าหู แพขนตายาวกะพริบขึ้นลงก่อนจะค่อยๆ ปรือมองไปยังต้นทางของเสียงพบว่าท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้มทึมเทาราวกับกำลังจะมีพายุมหึมา ลมแรงกรรโชกจนม่านหน้าต่างสีขาวขลิบลายไข่กาสะบัดไปมาส่งเสียงดังไม่หยุดจนกระทั่งปลุกคนนอนหลับลึกให้รู้สึกตัวตื่น
ดรุณีน้อยเลิกผืนหนังสัตว์ที่ห่มคลุมออกแล้วผุดลุกนั่งวาดขาลงบนพื้นจึงพบว่าที่นอนอยู่เป็นเพียงตั่งเตี้ยต่างกับเตียงนอนที่บ้านสกุลจิน ดวงตาสุกใสสีน้ำตาลไหม้เกือบดำของนางเลิ่กลั่กไปมาเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ รีบลุกขึ้นสำรวจเนื้อตัวเสื้อผ้าพลันหมุนตัวไปมาด้วยความสับสนใจ
เกิดอะไรขึ้น!
เหตุใดเสื้อผ้านางจึงไม่เรียบร้อยอย่างเคย แล้วที่นี่คือสถานที่แห่งใดกัน!
จินซิงซินรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างรุนแรง สัญชาติญาณการเอาตัวรอดถูกปลุกให้นางเปล่งเสียงร้องเรียกหาคนที่ไว้ใจที่สุด “ท่านยาย! ท่านยายอยู่ไหน ช่วยซิงซินด้วย! ช่วยด้วยท่านยาย!”
เสียงกังวานใสสั่นเครือราวกับกำลังร้องไห้ที่ดังออกมาจากกระโจม ทำให้อ๋องสี่หลี่หลานหมิงและสองสหายขุนพลหน้าหยกคู่ใจถึงกับสะดุ้งต่างวางจอกสุราและยุติการสนทนาโดยพลัน โดยไม่ทันที่หม่าชิงเทียนจะได้ทักท้วงก็พบว่าผู้เป็นนายก้าวฉับๆ หายลับเข้าไปในกระโจมเสียแล้ว
สองคนมองหน้ากันพลันเกิดความระอาสลับกับเสียงหัวเราะในลำคอหลายส่วน กระทั่งคนเจ้าเล่ห์กว่าเอ่ยวาจาหยอกเย้า “เจ้าว่าท่านอ๋องจะรับมือนางไหวหรือไม่”
“เหตุใดถึงคิดว่าไม่ไหว” คนสุขุมกว่าถามพลางมุ่นคิ้วแทนความสงสัย
หม่าชิงเทียนหัวเราะในลำคอก่อนเอ่ย “ข้ากลัวแต่นางเห็นหน้าท่านอ๋องจะร้องหนักกว่าเดิมหากว่ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน”
"อย่างมากก็คงดีใจที่จะได้เป็นอนุของอ๋องสี่แห่งตำหนักเหมันต์"
“เรื่องว่าที่พระชายายังไม่คลี่คลาย เจ้าคิดหรือว่านางจะได้เป็นถึงอนุท่านอ๋อง”
"แต่ข้าว่าไม่นานก็ต้องคลี่คลาย แต่..."
“แต่อะไร”
“แต่นางจะยอมหรือไม่เล่า” หม่าชิงเทียนว่าพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างคาดคะเนแล้วกระหยิ่มยิ้มย่อง "ข้าดูท่าทีอ๋องสี่ของเราก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะเกลี้ยกล่อมสำเร็จ"
หวังเฉาเสี่ยนคนขรึมหรี่ตามองอีกฝ่ายแล้วเบนหน้าไปทางกระโจมก่อนจะถามกลับสั้นห้วน “เจ้าเห็นนางครั้งแรกหน้าตาเป็นอย่างไร เหตุใดจึงทำให้ท่านอ๋องดูกระวนกระวายเช่นนี้”
“ก็เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งที่มีเค้าความงามราวบุปผาแรกแย้ม”
“เจ้าเห็นกับตาแล้วรึ”
“เห็นเต็มสองตา แม้ไม่เห็นหน้าชัดแต่ก็รับรู้ได้ว่านางต้องเป็นคนที่ทำให้ท่านอ๋องของเราหวงแหนเป็นแน่ เพราะว่ามาถึงก็พานางเข้าไปกักไว้ในกระโจมไม่ให้ใครเห็นอีกเลยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“เช่นนั้นเห็นทีจะยุ่ง” หวังเฉาเสี่ยนเปรยสีหน้าหนักใจหลายส่วน “หากว่าไม่มีสมรสพระราชทานคงไม่มีปัญหาตามมา”
“นี่ล่ะ ที่ข้าสงสัยว่าท่านอ๋องจะพานางกลับตำหนักเหมันต์ได้แน่หรือ”
สองคนต่างพากันครุ่นคิด ไม่ทันที่หวังเฉาเสี่ยนจะเอ่ยตอบ ก็มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากในกระโจมเป็นเสียงทุ่มเถียงกัน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านอ๋องสี่ผู้เย็นชาของพวกเขาที่ครานี้กำลังปลอบโยนเสียงร้องไห้ที่ดังก้องลำน้ำแข่งกับเสียงน้ำตกอย่างไม่อายใคร
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” หม่าชิงเทียนเผลอหลุดวาจาขณะมองต้นทางของเสียงเหมือนจะให้ทะลุเข้าไปภายใน
หวังเฉาเสี่ยนได้แต่ส่ายหน้า ต่างคนต่างรีรอหากเห็นท่าไม่ดีคงมีบุกเข้าไปห้ามทัพเป็นแน่ แต่เสียงที่ได้ยินต่อมาไม่รู้ว่าจะบอกได้ว่าดีหรือร้ายทำให้ทั้งสองยิ่งเกิดอาการละล้าละลัง
“ข้าบอกให้เจ้าหยุดร้อง!”
“ข้าไม่หยุด! อย่ามาห้ามนะ!”
“นี่เจ้า!”
อ๋องสี่หลี่หลานหมิงกัดฟันกรอดหลังจากตวาดดวงหน้างามเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่นางไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการบอกสักนิด
“ฮือ... ฮือ ท่านยาย ท่านแม่ พี่ใหญ่ ช่วยซิงซินด้วย”
ฟางถิงถิงก้มหน้าซ่อนอาย เพราะเหตุการณ์คราวนั้นทำให้นางได้พบกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เรียกได้ว่านางกับเขาผูกพันกันเหตุจากความเข้าใจผิดทั้งเพ“มิน่า พี่สามถึงชอบเจ้า” “เขาชอบแกล้งมากกว่าเพคะ ขนาดจะพาหม่อมฉันมาที่นี่ยังหลอกล่อหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ฟางถิงถิงหน้างอง้ำด้วยความน้อยใจ แต่ก็คลายสีหน้าลงเมื่อสบตาชายากระต่ายน้อยผู้แสนงดงาม “แต่หม่อมฉันดีใจนะเพคะที่ในที่สุดก็ได้รู้สถานะที่แท้จริงของตัวเอง ท่านอ๋องเมตตาหม่อมฉันไม่ผลักไสก็พอใจแล้ว” “เขาหรือจะกล้าผลักไสเจ้า” จินซิงซินว่าจบก็หัวเราะขบขัน ครั้นเห็นสีหน้าฉงนของคนฟังจึงเอ่ยต่อ “ลืมบอกไปเลยว่าเมื่อครู่ข้าเจอท่านหมอถัง เห็นว่าหลงหลงไม่ค่อยสบายอาการแย่เอาการ เจ้าควรไปดูใจมันนะ”“หลงหลงป่วยหรือเพคะ! เหตุใดหม่อมฉันไม่รู้” ฟางถิงถิงถึงกับกระวนกระวายก่อนเอ่ยน้ำเสียงตื่น “หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”“เจ้าไปเถอะ”จินซิงซินเอ่ยยิ้มๆ จ้องร่างอรชรของพี่สะใภ้ที่อ่อนวัยกว่าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับไปทางตำหนักพิรุณเพื่อเยี่ยมเหยียนชิวอี้ ท่านยายสุดที่รักของนางที่บัดนี้มีสถานะเป็นพระมารดาของหลี่ชงเหอเสียแล้ว ฟางถิงถิงร้อ
เหยียนชิวอี้หัวเราะเบาๆ พยักหน้าก่อนตอบ “คุณหนูของแม่รับมือได้ยากแต่หากนางรักใครแล้ว คนนั้นจะมีความสุขมากทีเดียว ยังไงแม่ก็ฝากเจ้าดูแลคุณหนูผู้มีพระคุณของแม่ด้วยนะ หากมิได้คุณหนูป่านนี้แม่คงตายไปนานแล้ว” “เพคะ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอ๋องไม่อยู่เช่นนี้ หม่อมฉันย่อมมีหน้าดีดูแลแขกเหรื่อแทนท่านอ๋องมิให้ขาดตกบกพร่องเลยเพคะ”ฟางถิงถิงตกปากรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะขอตัวจากไป “โธ่ เด็กคนนี้ไม่ฟังข้าพูดให้จบก็ไปเสียแล้ว ใครบอกเจ้ากันว่าชงเหอยังไม่กลับมา เขากลับมาแล้วแค่ยังไม่เจอเจ้าเท่านั้นเอง เฮ้อ! ใจร้อนจริงเด็กคนนี้” เหยียนชิวอี้ได้แต่มองตามพลางส่ายหน้าระอาแต่ก็มีรอยยิ้มผุดบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ฟางถิงถิงรีบรุดไปยังสถานที่ที่บัดนี้ดัดแปลงพื้นที่บริเวณรอบสระบัวเป็นสถานบำบัดและดูแลสัตว์ทะเลทรายรวมถึงคอกม้านานาพันธุ์ล้อมรอบด้วยแปลงดอกไม้และบางส่วนเป็นแปลงหญ้าที่ใช้สำหรับเป็นอาหารม้าและสัตว์อื่นๆ นางหยุดยืนมองป้ายสวนสัตว์ของถิงถิงที่เขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จและสวนสัตว์แรกแห่งแคว้นชิงก็จะได้
“ข้าไม่ยินยอม” นางเอ่ยทันทีไม่มีบิดพลิ้วก่อนจะไล้นิ้วที่ท้องน้อยเบาๆ “ลูกเราก็คงไม่ยินยอมเช่นกัน”“เช่นนั้นขอเพียงเจ้ายินยอมอยู่ที่นี่เป็นชายาข้า ข้าสาบานว่าจะรักและให้เกียรติเจ้าตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่”“อย่าสาบานแต่จงใช้การกระทำ”นางว่าเพียงนั้นก็ดึงคอเสื้อร่างสูงบึกบึนโน้มลงมาแล้วประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเขาแนบแน่นหลี่ชงเหอถึงกับงันไปแต่หัวใจก็พองโตจนเกินบรรยาย ไม่ปล่อยให้ลูกกวางน้อยในอ้อมกอดนำพารสจูบหวานซ่านใจเหยียนชิวอี้ได้แต่จ้องมองกิริยาของบุตรชายกับสะใภ้ที่ยามนี้กอดกันแนบแน่นก่อนจะค่อยๆ ก้าวตามนางกำนัลที่คอยประคองเดินออกไปจากห้องอย่างเชื่องช้าด้วยความปิติยินดี..ล่วงเข้าฤดูร้อนอีกแล้ว...ฟางถิงถิงได้แต่ครุ่นคิดในใจหลังจากเฝ้ามองดอกจวี๋ฮวาหน้าตำหนักบานสะพรั่งละลานตา ช่วงเวลานี้เมื่อสองปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่นางต้องขบคิดหนักหน่วง เหตุเพราะถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีผลักไสให้ไปไกลตายามนั้นนางเจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก...ดีที่มีเจ้าก้อนแป้งนุ่มอยู่ในครรภ์ทันท่วงที ทำให้นางสามารถรั้งตำแหน่งชายาจากเขาได้ ดีกว่าต้องกลับไปยังสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินเกิดที่ที่ๆ นางไม่เคยคุ้นแล
“แล้วทำไม ข้าเป็นสตรีชาวหรวนแล้วไม่มีหัวใจรักท่านรึอย่างไร” นางย้อนถามน้ำหูน้ำตาไหลพรากหลี่ชงเหองันไป เขาเข้าใจดีว่าหัวใจรักบังคับมิได้ แต่ถึงอย่างไรน้ำไฟก็ไม่หลอมรวม เจ้ากับข้าก็เช่นกัน”“แต่น้ำไฟก็ส่งเสริมกันได้หรือมิใช่!”“ท่านอ๋อง ไฟยังส่งเสริมน้ำให้อบอุ่นได้ น้ำก็ย่อมดับไฟได้เช่นกัน หม่อมฉันว่า.... เรา”“แต่ต้องมิใช่ข้า” หลี่ชงเหอตัดบท “เจ้าไปเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว”แม้ใจจะเจ็บช้ำแสนสาหัสแต่มิอาจรั้งนางไว้กับตัวได้ เขามิอาจให้อารมณ์เป็นใหญ่เหนือชาติบ้านเมือง มิอาจให้ต้าฮั่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีเขาเป็นผู้ร่วมสร้างไม่มีวัน!ฟางถิงถิงลูบท้องน้อยที่ยามนี้มีทารกน้อยพยานรักของนางและเขาด้วยใจอาวรณ์ สิ้นแล้วความรักที่วาดหวัง นางไม่ควรเลย ไม่ควรรักคนที่มิอาจรักเลย“ท่านอ๋องแค่บอกมาว่าเกลียดข้าแล้วใช่หรือไม่!” นางตะโกนถามย้ำอีกครั้งแต่อีกฝ่ายยังยืนหันหลังนิ่งงันท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟางถิงถิงระเบิดเสียงหัวเราะร้องไห้สลับกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะ “ก็ได้... หากท่านอ๋องไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าก็จะไป...”ฟางถิงถิงกลั้นใจเอ่ยเสียงแผ่วโหยออกมาอีกครั้งก่อนจะกระโจนลงไ
หลี่ชงเหอรุดเข้าหาร่างชราที่เริ่มอ่อนแรง เขาหยิบสร้อยหยกห้อยคอของไฉ่ชิงเซียนขึ้นมาพิจารณาด้วยสีหน้าตื่นตกใจยิ่ง“เจ้าได้สร้อยหยกนี้มาจากไหน!” หลี่ชงเหอคำรามถามเสียงกร้าวไฉ่ชิงเซียนก็งุนงงไม่แพ้กัน แต่อาการของเขายามนี้เห็นทีแม้แต่เปล่งเสียงพูดยังลำบาก เขาได้แต่จ้องคนด้านบนด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัยก่อนเอ่ย “จะ... เจ้าจะรู้ไปทำไม”“ข้าต้องรู้! บอกมา”“สะ สร้อยนี่... ปะ เป็น เป็น...” ไฉ่ชิงเซียนนึกย้อนไปถึงครานั้น ยามที่ได้รับข่าว“เป็นอะไร!”“เป็นของ... ลูกข้า” ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยเสียงเริ่มขาดห้วง“ลูกกเจ้า! รัชทายาทไฉ่ชิงซีที่หายสาปสูญไปน่ะรึ”“ใช่... ชิงซีลูกข้ากับถิงถิงหลานสาวของข้า พวกเขา... พวกเขา...”“พวกเขาทำไม!... บอกมา!” หลี่ชงเหอตะคอกซ้ำ“พวกเขาถูกปล้นขบวนรถม้า ตะ... ตะ... ตายไปนานแล้ว” ไฉ่ชิงเซียนพูดได้เพียงนั้นสติก็ดับวูบไป“ช้าก่อน!! ตาเฒ่า!!” หลี่ชงเหอตะโกนลั่น “หากสร้อยเส้นนี้เป็นของลูกเจ้าจริง แล้วยังมีอีกเส้นหรือไม่!”“มะ... มี อีกเส้นปะ เป็นของหลานข้าที่หายสาบสูญไป นางคงตายแล้ว... ถิงถิงหลานปู่”ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยได้เพียงนั้นก็กระอักลิ่มโลหิตออกมาอีกครั้งก่อนสติดับวูบ“เดี๋ยว!
“ข้าก็รักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นที่งานเทศกาลโคมไฟ เจ้าคือโคมดวงใหญ่ที่สว่างไสวในใจข้าตั้งแต่บัดนั้น” เขาเอ่ยเพียงนั้นก็เห็นลูกกวางน้อยที่รักมีน้ำตา จึงโน้มหน้าเข้าหาบดริมฝีปากนางอย่างหิวกระหายดรุณีงามถึงคราวอ่อนระทวยมิอาจหักห้ามใจ นางจ้องลึกเข้าไปในแววตาอีกฝ่ายคล้ายจะค้นหาความในใจ แต่กลับพบเพียงความดำดิ่งแห่งความปรารถนาในตัวนางตอบแทนหลี่ชงเหอจึงเริ่มลำนำบทใหม่ ส่วนฟางถิงถิงก็ให้ความร่วมมือ นางกอดกระชับรอบเอวแกร่งที่ยามนี้ต่างไร้ปราการกั้นขวาง สองร่างก็มิอาจต้านทานความต้องการของตัวเองไปได้นางยินยอมพร้อมใจขับเคลื่อนลำนำรักร่วมกับเขา ยามสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวก็มิหวั่น แม้หยาดเหงื่อแห่งความหฤหรรษ์จะทะลักทลายราวกับกำลังลอยละลิ่วเหินหาวกลางอากาศก็มิอาจนำพากระแสเสี้ยวความเจ็บปวดที่สุขสมไปได้ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล มีเพียงแสงดาวทอประกายระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้าที่ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงเรืองเรื่ออร่าม ชิงหลงสัตว์เลี้ยงคู่ใจหลี่ชงเหอที่เปรียบเสมือนพยัคฆ์วิหคเหนือท้องฟ้าก็บินฉวัดเฉวียนไปมาราวกับรับรู้ความดื่มด่ำแห่งความรักของทั้งสองไม่รู้คลาย... หลายวันต่อมาที่สนามรบระหว่างแคว้