“เจ้าพูดเป็นอยู่แค่ร้องให้คนช่วยหรือกระต่ายน้อย”
“ข้ามิใช่กระต่าย ข้าคือซิงซิน ซิงซินมิใช่ชื่อกระต่าย ซิงซินเป็นคน เป็น...”
“เป็นอะไรก็เรื่องของเจ้า ต่อไปเจ้าต้องเป็นกระต่ายของข้าเท่านั้น ห้ามเถียง”
“ไม่ๆ ไม่เอา! ข้ามิใช่กระต่าย ข้าไม่ยอม!”
จินซิงซิงเบ้หน้าร้องไห้ลงไปนั่งกองกับพื้นเหมือนเด็กๆ ดวงหน้านวลขาวราวหยกเนื้ออ่อนที่ถูกแต้มสีชาดเจือจางเริ่มเข้มขึ้นตามแรงสะอื้น สองมือน้อยๆ ทุบพื้นดังปึกๆ อย่างไม่ยินยอม
หลี่หลานหมิงถึงคราวอับจนจนต้องนั่งลงคุกเข่า มือหนึ่งจับไหล่นางอีกมือเชยคางมนนุ่มนิ่มให้เงยขึ้นแต่กลับถูกริมฝีปากอิ่มรูปกระจับเจือสีชาดงับเข้าให้ “โอ๊ย! นี่เจ้า!”
“นิสัยไม่ดี ปล่อยนะ อย่ามาแตะต้องตัวซิงซิน คนไม่ดี คนไร้น้ำใจ ”
“นี่! กระต่ายน้อย เจ้าเมื่อใดจะเลิกพูดกลับไปกลับมาแบบนี้เสียที เรามาคุยกันดีๆ แบบสามีภรรยาคุยกันดีหรือไม่ ซิงซิน” อ๋องสี่หลี่หลานหมิงพยายามเกลี้ยกล่อมขณะจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ไล่ลงมายังจมูกงอนที่เชิดรั้นขึ้นอย่างจงใจ ฟันกระต่ายซี่เล็กๆ ที่ขบเม้มริมฝีปากล่างราวกับจะเก็บกลั้นเสียงสะอื้นทำให้เขารู้สึกอยากปลอบประโลมจนต้องคว้านางมาแนบอก
แต่แค่คิดยังไม่ทันได้ปลอบใจ...
พลั่ก!
หลี่หลานหมิงกระเด็นตามแรงเตะ เขาไม่ทันได้ตั้งตัวจึงจุกไปถึงลิ้นปี่ ดวงหน้าคมคายเหยเกอีกทั้งใจเจ็บจนเกินเอ่ยเพราะเสียเหลี่ยมถูกทำร้ายร่างกายโดยสตรีเช่นนี้ “นี่เจ้า เจ้ากล้าถีบข้า! อยากตายใช่หรือไม่!”
“ไม่! ไม่อยากตาย อย่ามาขู่กัน ซิงซินจะฟ้องพี่ใหญ่” นางขู่ฟ่อด้วยฟันกระต่ายซี่น้อยๆ ที่ขบเม้มริมฝีปากทั้งบนล่างอย่างไม่พอใจแต่มันกลับราวกับราดเชื้อไฟให้อีกฝ่ายทันที
“ดี ในเมื่อพูดจากันดีๆ เจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีเถอะ”
“นอกจากแม่ใหญ่ ใครก็อย่ามาขู่ซิงซิน”
นางผุดลุกขึ้นตั้งท่าจะวิ่งหนีออกไป แต่ช้ากว่าฝ่ามือแข็งแกร่งที่แค่มือเดียวกระชากแขนเรียวเล็กของนางก็ถลันกลับมาสู่อ้อมอก เพียงดวงหน้าอ่อนเยาว์เงยขึ้นมองอย่างตื่นตระหนก หลี่หลานหมิงเหมือนใจหลุดประทับริมฝีปากลงไปทันที
ภายในกระโจมเงียบสงบเกินไปแล้ว...
สองหนุ่มขุนพลหน้าหยกมีคนหนึ่งที่อิดออดหยิบถุงเงินเปิดยื่นหนึ่งตำลึงให้อีกคนที่ยื่นมือมารับอย่างเร็วรี่ หม่าชิงเทียนชูเหรียญตำลึงแล้วทำท่าลิงโลด “วันนี้ข้ารวยแล้ว เห็นทีต้องไปหาสุราชั้นยอดในเมืองดับความร้อนรุ่มสักเล็กน้อย”
“เจ้าชนะได้หนึ่งตำลึงเป็นของเจ้า จะใช้อะไรก็ตามใจ” หวังเฉาเสี่ยนเอ่ยอย่างหงุดหงิด
หม่าชิงเทียนคนเจ้าเล่ห์หรี่ตามองสหายคู่ใจที่ปกติใจเย็นดุจน้ำแข็งพลางยักคิ้วหลิ่วตาก่อนเอ่ย “แน่นอน ข้าต้องได้ลิ้มรสสุราชั้นยอดของเมืองฉู่ให้ได้”
“ตามใจเจ้า”
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” หม่าชิงเทียนโยนเหรียญตำลึงในมือไปมาอีกทั้งยักคิ้วหลิ่วตา ตั้งท่าจะเดินไปแต่กลับถูกเรียกไว้ก่อน
“รีบไปรีบมา อย่าลืมว่าเรื่องแม่นางน้อยผู้นั้นกับท่านอ๋องยังไม่คลี่คลาย”
“คลี่คลายหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ที่รู้คือตอนนี้นางอาจโดนพยัคฆ์หนุ่มจับกินไปแล้วก็เป็นได้”
หวังเฉาเสี่ยนได้ฟังก็ส่ายหน้าระอา นี่มิใช่เรื่องเล่นๆ เขาไม่เคยเห็นอ๋องสี่เวลาออกนอกเขตกำแพงวังจะกระทำการอุกอาจเช่นนี้มาก่อน เรียกได้ว่าแทบไม่เคยถูกใจสตรีนางใดเลยก็ว่าได้ แต่เหตุใดกับแม่นางกระต่ายน้อยคนนั้นจึงทำให้ท่านอ๋องแปรเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้...
ทว่าหวังเฉาเสี่ยนไม่ทันได้คิดหาคำตอบ เพราะเสียงร้องเรียกจากหม่าชิงเทียนที่ออกเดินไปไม่พ้นเขตค่ายตะโกนเรียก เขามองตามไปจึงพบเห็นความผิดปกติที่เคลื่อนใกล้เข้ามา เงาทะมึนที่เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางแสงสลัวของราวป่าทึบไม่นานกลับปรากฏร่างของคนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้ามาทางที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่ ทั้งสองประจำการตรงหน้าเพื่อรอดูท่าทีของอีกฝ่ายอย่างระแวงระวัง
สตรีสูงอายุรูปร่างอวบอัดไม่รับกับสัดส่วนที่ค่อนข้างเตี้ย ใบหน้าอิ่มเต็มคางย้อยราวผลพุทราอวบอ้วนบ่งบอกถึงโหงวเฮ้งผู้มีอันจะกินนั้นช่างดูน่าเกรงขามปนดุร้ายด้วยปลายหางตาชี้ๆ ในที นางเดินนำหน้าสะบัดพัดไปมารวดเร็วมีท่าทีกราดเกรี้ยวผิดกับร่างอรชรที่เดินตามหลังถัดกันมาที่มีหน้าตาสวยงามหมดจดรับกับเรือนร่างผอมเพรียวสูงโปร่งแลดูสะดุดตาผู้พบเห็น ตามด้วยบ่าวไพร่อีกสี่ห้าคน
หวังเฉาเสี่ยนตาเบิกกว้างเมื่อเห็นดวงหน้าสตรีงามในชุดอ่อนพลิ้วสีชมพูหวานผู้น้ัน เขาเคยพบนางเมื่อวาน ณ.สถานที่แห่งหนึ่ง มิคาดวันนี้กลับได้พบกันอีก ขุนพลหน้าหยกผู้รื่นเริงสังเกตอาการสหายแล้วพอเข้าใจได้จึงออกหน้า
“พวกท่านล่วงล้ำเข้ามาในเขตค่ายพักแรมของเรามีจุดประสงค์ใด”
“มี ข้าฮูหยินสกุลจินมาตามหาคน”
“คน? มาตามหาผิดที่แล้วหรือไม่” หม่าชิงเทียนถามรวน นึกในใจอยู่เหมือนกันว่าคนที่นางตามหาอาจจะเป็นคนที่ท่านอ๋องของตนกำลังกำราบอยู่ในกระโจม
แต่...
ฮูหยินสกุลจินรึ?
ขุนพลหน้าหยกทั้งสองมองหน้ากันอย่างพอปะติดปะต่ออะไรได้ทันที เป็นหม่าชิงเทียนที่ปากไวเอ่ยถามไม่รั้งรอเพราะอยากรู้ว่าดรุณีงามที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นใคร “เช่นนั้นแม่นางผู้นี้คือ”
“นางเป็นลูกสาวข้า พวกเจ้าอย่าแม้แต่เอ่ยถามชื่อแซ่หากมิอยากต้องอาญาแผ่นดิน”
ฟางถิงถิงก้มหน้าซ่อนอาย เพราะเหตุการณ์คราวนั้นทำให้นางได้พบกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เรียกได้ว่านางกับเขาผูกพันกันเหตุจากความเข้าใจผิดทั้งเพ“มิน่า พี่สามถึงชอบเจ้า” “เขาชอบแกล้งมากกว่าเพคะ ขนาดจะพาหม่อมฉันมาที่นี่ยังหลอกล่อหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ฟางถิงถิงหน้างอง้ำด้วยความน้อยใจ แต่ก็คลายสีหน้าลงเมื่อสบตาชายากระต่ายน้อยผู้แสนงดงาม “แต่หม่อมฉันดีใจนะเพคะที่ในที่สุดก็ได้รู้สถานะที่แท้จริงของตัวเอง ท่านอ๋องเมตตาหม่อมฉันไม่ผลักไสก็พอใจแล้ว” “เขาหรือจะกล้าผลักไสเจ้า” จินซิงซินว่าจบก็หัวเราะขบขัน ครั้นเห็นสีหน้าฉงนของคนฟังจึงเอ่ยต่อ “ลืมบอกไปเลยว่าเมื่อครู่ข้าเจอท่านหมอถัง เห็นว่าหลงหลงไม่ค่อยสบายอาการแย่เอาการ เจ้าควรไปดูใจมันนะ”“หลงหลงป่วยหรือเพคะ! เหตุใดหม่อมฉันไม่รู้” ฟางถิงถิงถึงกับกระวนกระวายก่อนเอ่ยน้ำเสียงตื่น “หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”“เจ้าไปเถอะ”จินซิงซินเอ่ยยิ้มๆ จ้องร่างอรชรของพี่สะใภ้ที่อ่อนวัยกว่าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับไปทางตำหนักพิรุณเพื่อเยี่ยมเหยียนชิวอี้ ท่านยายสุดที่รักของนางที่บัดนี้มีสถานะเป็นพระมารดาของหลี่ชงเหอเสียแล้ว ฟางถิงถิงร้อ
เหยียนชิวอี้หัวเราะเบาๆ พยักหน้าก่อนตอบ “คุณหนูของแม่รับมือได้ยากแต่หากนางรักใครแล้ว คนนั้นจะมีความสุขมากทีเดียว ยังไงแม่ก็ฝากเจ้าดูแลคุณหนูผู้มีพระคุณของแม่ด้วยนะ หากมิได้คุณหนูป่านนี้แม่คงตายไปนานแล้ว” “เพคะ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอ๋องไม่อยู่เช่นนี้ หม่อมฉันย่อมมีหน้าดีดูแลแขกเหรื่อแทนท่านอ๋องมิให้ขาดตกบกพร่องเลยเพคะ”ฟางถิงถิงตกปากรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะขอตัวจากไป “โธ่ เด็กคนนี้ไม่ฟังข้าพูดให้จบก็ไปเสียแล้ว ใครบอกเจ้ากันว่าชงเหอยังไม่กลับมา เขากลับมาแล้วแค่ยังไม่เจอเจ้าเท่านั้นเอง เฮ้อ! ใจร้อนจริงเด็กคนนี้” เหยียนชิวอี้ได้แต่มองตามพลางส่ายหน้าระอาแต่ก็มีรอยยิ้มผุดบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ฟางถิงถิงรีบรุดไปยังสถานที่ที่บัดนี้ดัดแปลงพื้นที่บริเวณรอบสระบัวเป็นสถานบำบัดและดูแลสัตว์ทะเลทรายรวมถึงคอกม้านานาพันธุ์ล้อมรอบด้วยแปลงดอกไม้และบางส่วนเป็นแปลงหญ้าที่ใช้สำหรับเป็นอาหารม้าและสัตว์อื่นๆ นางหยุดยืนมองป้ายสวนสัตว์ของถิงถิงที่เขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จและสวนสัตว์แรกแห่งแคว้นชิงก็จะได้
“ข้าไม่ยินยอม” นางเอ่ยทันทีไม่มีบิดพลิ้วก่อนจะไล้นิ้วที่ท้องน้อยเบาๆ “ลูกเราก็คงไม่ยินยอมเช่นกัน”“เช่นนั้นขอเพียงเจ้ายินยอมอยู่ที่นี่เป็นชายาข้า ข้าสาบานว่าจะรักและให้เกียรติเจ้าตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่”“อย่าสาบานแต่จงใช้การกระทำ”นางว่าเพียงนั้นก็ดึงคอเสื้อร่างสูงบึกบึนโน้มลงมาแล้วประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเขาแนบแน่นหลี่ชงเหอถึงกับงันไปแต่หัวใจก็พองโตจนเกินบรรยาย ไม่ปล่อยให้ลูกกวางน้อยในอ้อมกอดนำพารสจูบหวานซ่านใจเหยียนชิวอี้ได้แต่จ้องมองกิริยาของบุตรชายกับสะใภ้ที่ยามนี้กอดกันแนบแน่นก่อนจะค่อยๆ ก้าวตามนางกำนัลที่คอยประคองเดินออกไปจากห้องอย่างเชื่องช้าด้วยความปิติยินดี..ล่วงเข้าฤดูร้อนอีกแล้ว...ฟางถิงถิงได้แต่ครุ่นคิดในใจหลังจากเฝ้ามองดอกจวี๋ฮวาหน้าตำหนักบานสะพรั่งละลานตา ช่วงเวลานี้เมื่อสองปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่นางต้องขบคิดหนักหน่วง เหตุเพราะถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีผลักไสให้ไปไกลตายามนั้นนางเจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก...ดีที่มีเจ้าก้อนแป้งนุ่มอยู่ในครรภ์ทันท่วงที ทำให้นางสามารถรั้งตำแหน่งชายาจากเขาได้ ดีกว่าต้องกลับไปยังสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินเกิดที่ที่ๆ นางไม่เคยคุ้นแล
“แล้วทำไม ข้าเป็นสตรีชาวหรวนแล้วไม่มีหัวใจรักท่านรึอย่างไร” นางย้อนถามน้ำหูน้ำตาไหลพรากหลี่ชงเหองันไป เขาเข้าใจดีว่าหัวใจรักบังคับมิได้ แต่ถึงอย่างไรน้ำไฟก็ไม่หลอมรวม เจ้ากับข้าก็เช่นกัน”“แต่น้ำไฟก็ส่งเสริมกันได้หรือมิใช่!”“ท่านอ๋อง ไฟยังส่งเสริมน้ำให้อบอุ่นได้ น้ำก็ย่อมดับไฟได้เช่นกัน หม่อมฉันว่า.... เรา”“แต่ต้องมิใช่ข้า” หลี่ชงเหอตัดบท “เจ้าไปเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว”แม้ใจจะเจ็บช้ำแสนสาหัสแต่มิอาจรั้งนางไว้กับตัวได้ เขามิอาจให้อารมณ์เป็นใหญ่เหนือชาติบ้านเมือง มิอาจให้ต้าฮั่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีเขาเป็นผู้ร่วมสร้างไม่มีวัน!ฟางถิงถิงลูบท้องน้อยที่ยามนี้มีทารกน้อยพยานรักของนางและเขาด้วยใจอาวรณ์ สิ้นแล้วความรักที่วาดหวัง นางไม่ควรเลย ไม่ควรรักคนที่มิอาจรักเลย“ท่านอ๋องแค่บอกมาว่าเกลียดข้าแล้วใช่หรือไม่!” นางตะโกนถามย้ำอีกครั้งแต่อีกฝ่ายยังยืนหันหลังนิ่งงันท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟางถิงถิงระเบิดเสียงหัวเราะร้องไห้สลับกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะ “ก็ได้... หากท่านอ๋องไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าก็จะไป...”ฟางถิงถิงกลั้นใจเอ่ยเสียงแผ่วโหยออกมาอีกครั้งก่อนจะกระโจนลงไ
หลี่ชงเหอรุดเข้าหาร่างชราที่เริ่มอ่อนแรง เขาหยิบสร้อยหยกห้อยคอของไฉ่ชิงเซียนขึ้นมาพิจารณาด้วยสีหน้าตื่นตกใจยิ่ง“เจ้าได้สร้อยหยกนี้มาจากไหน!” หลี่ชงเหอคำรามถามเสียงกร้าวไฉ่ชิงเซียนก็งุนงงไม่แพ้กัน แต่อาการของเขายามนี้เห็นทีแม้แต่เปล่งเสียงพูดยังลำบาก เขาได้แต่จ้องคนด้านบนด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัยก่อนเอ่ย “จะ... เจ้าจะรู้ไปทำไม”“ข้าต้องรู้! บอกมา”“สะ สร้อยนี่... ปะ เป็น เป็น...” ไฉ่ชิงเซียนนึกย้อนไปถึงครานั้น ยามที่ได้รับข่าว“เป็นอะไร!”“เป็นของ... ลูกข้า” ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยเสียงเริ่มขาดห้วง“ลูกกเจ้า! รัชทายาทไฉ่ชิงซีที่หายสาปสูญไปน่ะรึ”“ใช่... ชิงซีลูกข้ากับถิงถิงหลานสาวของข้า พวกเขา... พวกเขา...”“พวกเขาทำไม!... บอกมา!” หลี่ชงเหอตะคอกซ้ำ“พวกเขาถูกปล้นขบวนรถม้า ตะ... ตะ... ตายไปนานแล้ว” ไฉ่ชิงเซียนพูดได้เพียงนั้นสติก็ดับวูบไป“ช้าก่อน!! ตาเฒ่า!!” หลี่ชงเหอตะโกนลั่น “หากสร้อยเส้นนี้เป็นของลูกเจ้าจริง แล้วยังมีอีกเส้นหรือไม่!”“มะ... มี อีกเส้นปะ เป็นของหลานข้าที่หายสาบสูญไป นางคงตายแล้ว... ถิงถิงหลานปู่”ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยได้เพียงนั้นก็กระอักลิ่มโลหิตออกมาอีกครั้งก่อนสติดับวูบ“เดี๋ยว!
“ข้าก็รักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นที่งานเทศกาลโคมไฟ เจ้าคือโคมดวงใหญ่ที่สว่างไสวในใจข้าตั้งแต่บัดนั้น” เขาเอ่ยเพียงนั้นก็เห็นลูกกวางน้อยที่รักมีน้ำตา จึงโน้มหน้าเข้าหาบดริมฝีปากนางอย่างหิวกระหายดรุณีงามถึงคราวอ่อนระทวยมิอาจหักห้ามใจ นางจ้องลึกเข้าไปในแววตาอีกฝ่ายคล้ายจะค้นหาความในใจ แต่กลับพบเพียงความดำดิ่งแห่งความปรารถนาในตัวนางตอบแทนหลี่ชงเหอจึงเริ่มลำนำบทใหม่ ส่วนฟางถิงถิงก็ให้ความร่วมมือ นางกอดกระชับรอบเอวแกร่งที่ยามนี้ต่างไร้ปราการกั้นขวาง สองร่างก็มิอาจต้านทานความต้องการของตัวเองไปได้นางยินยอมพร้อมใจขับเคลื่อนลำนำรักร่วมกับเขา ยามสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวก็มิหวั่น แม้หยาดเหงื่อแห่งความหฤหรรษ์จะทะลักทลายราวกับกำลังลอยละลิ่วเหินหาวกลางอากาศก็มิอาจนำพากระแสเสี้ยวความเจ็บปวดที่สุขสมไปได้ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล มีเพียงแสงดาวทอประกายระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้าที่ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงเรืองเรื่ออร่าม ชิงหลงสัตว์เลี้ยงคู่ใจหลี่ชงเหอที่เปรียบเสมือนพยัคฆ์วิหคเหนือท้องฟ้าก็บินฉวัดเฉวียนไปมาราวกับรับรู้ความดื่มด่ำแห่งความรักของทั้งสองไม่รู้คลาย... หลายวันต่อมาที่สนามรบระหว่างแคว้