ขุนพลหน้าหยกผู้เคร่งขรึมเบิกตากว้างทันทีที่รู้ว่าดรุณีงามตรงหน้าคือจินฮุ่ยอิง คุณหนูตระกูลจินผู้เพียบพร้อมและถูกหมายมั่นว่าจะได้เป็นชายาของอ๋องสี่หลี่หลานหมิงนั่นเอง
“ชักจะยุ่งกันใหญ่” หม่าชิงเทียนป้องปากกระซิบ ครั้งเห็นแววตาวิตกกังวลของสหายคู่ใจก็เอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินสองคน “และจะยุ่งใหญ่กว่าก็คือท่านอ๋องไม่สนว่าที่ชายากลับพากระต่ายน้อยไร้สกุลมากัก กับมีคนบางคนแถวนี้เกิดอาการศรรักปักอกกับคนที่ไม่ควร”
“เจ้าอย่าพูดจาเพ้อเจ้อ” หวังเฉาเสี่ยนเอ็ดอึงเข้าให้ แต่หาทันไม่เพราะคำพูดโพล่งของจินหวั่นถิง
“ข้าได้ยินเสียงคนในกระโจม”
“หูแว่วมากกว่า” หม่าชิงเทียนแก้ต่างไม่พอก้าวมาดักหน้าวาดมือสับพัดคู่ใจเสียงดังพึ่บพั่บไปมาสลับกับสีหน้าขึงขังทำให้คนทั้งกลุ่มหยุดชะงักทันควัน
จินหวั่นถิงหรือฮูหยินสกุลจินเชิดหน้าปรายตามองสองขุนพลหน้าหยกสลับกันก่อนชักสีหน้าเครียดขรึมก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเข้าเรื่องเลย ข้ามาตามบุตรสาวกลับบ้าน นางหายไปตั้งแต่เมื่อวานมีคนเห็นว่าถูกลักพามาทางนี้”
“บุตรสาวของท่านหรือ ข้าได้ยินว่าฮูหยินสกุลจินมีบุตรสาวแค่คนเดียว”
“นั่นมันเรื่องของข้า จะมีกี่คนก็มิใช่เรื่องให้พวกเจ้าคนจรมาสู่รู้ มิเช่นนั้นจะหาว่าจินเฉิงเหว่ยสามีข้าไม่เตือน” นางกล่าววาจาข่มขู่
หึ...
คิดเห็นเพียงข่มคน กล้าเอาสามีมาข่ม หารู้ไม่ว่ากำลังกล่าววาจาสามหาวข่มขู่คนของใคร...
หม่าชิงเทียนจรดพัดแนบริมฝีปากเบนสายตาขึ้นฟ้าทำท่าครุ่นคิดก่อนตอบ “เช่นนั้นก็บอกมาก่อนว่าบุตรสาวท่านรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ชื่อเสียงเรียงนามอีกเล่า จู่ๆ บุกรุกเข้ามาหาถึงนี่เห็นทีจะมิได้”
“พวกเจ้าต่างหากที่ลักพาลูกข้าหายมาค่อนคืน หากบริสุทธิ์ใจเหตุใดไม่ให้ข้าค้น”
“แล้วท่านมีหลักฐานหรือไม่”
หวังเฉาเสี่ยนที่ยืนถัดหลังจากหม่าชิงเทียนโพล่งขึ้นก่อนจะเดินออกมายืนเคียงข้างอีกทั้งจ้องร่างอรชรข้างหญิงชราเขม็ง สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกแต่ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานคล้ายกับมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่พูด
ฮูหยินจินรีบดึงแขนบุตรสาวหลบหลังก่อนตวัดสายตาคาดโทษอีกฝ่ายที่จ้องเขม็งมาไม่วางตา “เจ้าเป็นใครมีสิทธิ์อะไรมองนาง”
“ข้าน้อยมิอาจเอื้อมมองแม่นางน้อยผู้นี้หรอก” หวังเฉาเสี่ยนเปรยเสียงเรียบไม่ได้นำพาดวงหน้าหวานใสที่เจื่อนลงทันทีที่ได้ยินคำพูดตัดรอน
“ก็ดี ไม่ได้มองก็ดี”
“ท่านแม่!” จินฮุ่ยอิงร้องปราม นางรู้ดีที่มารดาพูดเพราะหมายมั่นนางกับแม่สื่อที่ทางวังหลวงส่งมา แต่นางมิอาจทำใจให้รักชอบคนโหดร้ายเย็นชาเยี่ยงที่เคยได้ยินมาได้
คล้ายโลกถล่ม สายฟ้าฟาดผ่านกลางใจ เมฆาเทาทมึนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล โลกที่เคยสวยงามของนางดับลงตั้งแต่เมื่อวานที่มารดารับของหมั้นบรรณาการจากวังหลวงให้นางแต่งกับอ๋องสี่ไปตำหนักเหมันต์
ไม่มีวันที่มารดาจะเข้าใจ...
ใครจะอยากแต่งออกไปกับคนโหดร้ายเช่นนั้นกัน...
จินฮุ่ยอิงน้ำตาตกใน ยิ่งพบคนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า นางก็รู้สึกว่ารักแรกพบของนางจบลงแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร เหตุใดโลกจึงโหดร้าย ไร้น้ำใจกับนางโดยถึงเพียงนี้...
“ฮุ่ยอิง! แม่เรียกเจ้าหลายหนแล้ว เหตุใดเอาแต่เหม่อ”
“ท่านแม่ คือว่าข้า...” จินฮุ่ยอิงอึกอักขณะมองสบแววตาลึกล้ำสีดำสนิทของบุรุษหนุ่มแล้วต้องหลบก่อนขานตอบมารดา “ข้าเพียงแต่เป็นห่วงซิงซิน”
“ก็น่าห่วงอยู่หรอก โง่เง่าปานนั้น”
“ท่านแม่!” จินฮุ่ยอิงเลิ่กลั่กรู้สึกอับอายเพราะสองขุนพลหน้าหยกล้วนเป็นคนนอก “เราอย่าทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องดีกว่า ตอนนี้หาตัวซิงซินสำคัญที่สุด”
“ต้องหาแน่อยู่แล้ว มิเช่นนั้นพ่อเจ้าคงด่าแม่ตาย” นางเค้นเสียงเข้มแสดงสีหน้าขุ่นเคืองถึงขีดสุด
จินฮุ่ยอิงจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกจะยิ้มก็มิสู้สายตาสองหนุ่มที่หันขวับมาทันทีที่ได้ยินคำพูดปรามาสกระต่ายน้อยเต็มสองหู นางได้แต่ลากมารดากลับทางเดิมแต่นางขืนตัวไว้
“กลับเถอะท่านแม่ ซิงซินคงไม่อยู่ที่นี่หรอก”
“เจ้าเชื่อน้ำหน้าคนร่อนเร่พวกนี้ได้หรือ”
“ข้ามิได้เชื่อ แต่ว่าไม่ควรปรักปรำคนที่ไม่รู้ไม่เห็นกับตา ข้าว่าไปหาที่อื่นกันดีกว่า ข้าเป็นห่วงซิงซินแล้ว”
“ชิชะเป็นห่วงรึ! นางเคยสนใจเจ้าที่ไหน วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นไม่เห็นเคยห่วงใยเจ้า” ฮูหยินจินดุใส่ทำให้จินฮุ่ยอิงเงียบเสียงโดยพลัน สีหน้าคล้ายจะร่ำไห้อยู่รำไร
“ก็นางยังเล็กนัก”
“เล็กแต่สมอง ตัวน่ะโตจนจะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว”
สองขุนพลหน้าหยกฟังแล้วหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายก่อนที่จะพยักเพยิดกันมองไปทางกระโจมที่ตอนนี้เงียบเสียงไปไม่รู้เป็นตายร้ายดี นี่ท่านอ๋องของพวกเขาถูกใจดรุณีน้อยวัยยังไม่ปักปิ่นจริงรึ!
“ใจเย็นก่อนท่านน้า ค่อยพูดค่อยจากันเถอะ” หม่าชิงเทียนออกตัวแทนแต่กลับถูกสวนกลับ
“ใครเป็นน้าเจ้า พวกเจ้าเป็นแค่พ่อค้าวานิชถือสิทธิ์อะไรมาสร้างค่ายพักแรมเหนือต้นน้ำเมืองฉู่ รู้หรือไม่ว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะล่วงล้ำเข้ามาได้”
“หากพวกข้ามาพักแรมมิได้แล้วใครหน้าไหนถึงจะเหมาะสมรึ”
“นี่ เจ้า!” นางตวาดเสียงดังอีกนิดจะกลายเป็นตวาด
“หลีก!”
ฟางถิงถิงก้มหน้าซ่อนอาย เพราะเหตุการณ์คราวนั้นทำให้นางได้พบกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เรียกได้ว่านางกับเขาผูกพันกันเหตุจากความเข้าใจผิดทั้งเพ“มิน่า พี่สามถึงชอบเจ้า” “เขาชอบแกล้งมากกว่าเพคะ ขนาดจะพาหม่อมฉันมาที่นี่ยังหลอกล่อหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ฟางถิงถิงหน้างอง้ำด้วยความน้อยใจ แต่ก็คลายสีหน้าลงเมื่อสบตาชายากระต่ายน้อยผู้แสนงดงาม “แต่หม่อมฉันดีใจนะเพคะที่ในที่สุดก็ได้รู้สถานะที่แท้จริงของตัวเอง ท่านอ๋องเมตตาหม่อมฉันไม่ผลักไสก็พอใจแล้ว” “เขาหรือจะกล้าผลักไสเจ้า” จินซิงซินว่าจบก็หัวเราะขบขัน ครั้นเห็นสีหน้าฉงนของคนฟังจึงเอ่ยต่อ “ลืมบอกไปเลยว่าเมื่อครู่ข้าเจอท่านหมอถัง เห็นว่าหลงหลงไม่ค่อยสบายอาการแย่เอาการ เจ้าควรไปดูใจมันนะ”“หลงหลงป่วยหรือเพคะ! เหตุใดหม่อมฉันไม่รู้” ฟางถิงถิงถึงกับกระวนกระวายก่อนเอ่ยน้ำเสียงตื่น “หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”“เจ้าไปเถอะ”จินซิงซินเอ่ยยิ้มๆ จ้องร่างอรชรของพี่สะใภ้ที่อ่อนวัยกว่าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับไปทางตำหนักพิรุณเพื่อเยี่ยมเหยียนชิวอี้ ท่านยายสุดที่รักของนางที่บัดนี้มีสถานะเป็นพระมารดาของหลี่ชงเหอเสียแล้ว ฟางถิงถิงร้อ
เหยียนชิวอี้หัวเราะเบาๆ พยักหน้าก่อนตอบ “คุณหนูของแม่รับมือได้ยากแต่หากนางรักใครแล้ว คนนั้นจะมีความสุขมากทีเดียว ยังไงแม่ก็ฝากเจ้าดูแลคุณหนูผู้มีพระคุณของแม่ด้วยนะ หากมิได้คุณหนูป่านนี้แม่คงตายไปนานแล้ว” “เพคะ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอ๋องไม่อยู่เช่นนี้ หม่อมฉันย่อมมีหน้าดีดูแลแขกเหรื่อแทนท่านอ๋องมิให้ขาดตกบกพร่องเลยเพคะ”ฟางถิงถิงตกปากรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะขอตัวจากไป “โธ่ เด็กคนนี้ไม่ฟังข้าพูดให้จบก็ไปเสียแล้ว ใครบอกเจ้ากันว่าชงเหอยังไม่กลับมา เขากลับมาแล้วแค่ยังไม่เจอเจ้าเท่านั้นเอง เฮ้อ! ใจร้อนจริงเด็กคนนี้” เหยียนชิวอี้ได้แต่มองตามพลางส่ายหน้าระอาแต่ก็มีรอยยิ้มผุดบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ฟางถิงถิงรีบรุดไปยังสถานที่ที่บัดนี้ดัดแปลงพื้นที่บริเวณรอบสระบัวเป็นสถานบำบัดและดูแลสัตว์ทะเลทรายรวมถึงคอกม้านานาพันธุ์ล้อมรอบด้วยแปลงดอกไม้และบางส่วนเป็นแปลงหญ้าที่ใช้สำหรับเป็นอาหารม้าและสัตว์อื่นๆ นางหยุดยืนมองป้ายสวนสัตว์ของถิงถิงที่เขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จและสวนสัตว์แรกแห่งแคว้นชิงก็จะได้
“ข้าไม่ยินยอม” นางเอ่ยทันทีไม่มีบิดพลิ้วก่อนจะไล้นิ้วที่ท้องน้อยเบาๆ “ลูกเราก็คงไม่ยินยอมเช่นกัน”“เช่นนั้นขอเพียงเจ้ายินยอมอยู่ที่นี่เป็นชายาข้า ข้าสาบานว่าจะรักและให้เกียรติเจ้าตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่”“อย่าสาบานแต่จงใช้การกระทำ”นางว่าเพียงนั้นก็ดึงคอเสื้อร่างสูงบึกบึนโน้มลงมาแล้วประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเขาแนบแน่นหลี่ชงเหอถึงกับงันไปแต่หัวใจก็พองโตจนเกินบรรยาย ไม่ปล่อยให้ลูกกวางน้อยในอ้อมกอดนำพารสจูบหวานซ่านใจเหยียนชิวอี้ได้แต่จ้องมองกิริยาของบุตรชายกับสะใภ้ที่ยามนี้กอดกันแนบแน่นก่อนจะค่อยๆ ก้าวตามนางกำนัลที่คอยประคองเดินออกไปจากห้องอย่างเชื่องช้าด้วยความปิติยินดี..ล่วงเข้าฤดูร้อนอีกแล้ว...ฟางถิงถิงได้แต่ครุ่นคิดในใจหลังจากเฝ้ามองดอกจวี๋ฮวาหน้าตำหนักบานสะพรั่งละลานตา ช่วงเวลานี้เมื่อสองปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่นางต้องขบคิดหนักหน่วง เหตุเพราะถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีผลักไสให้ไปไกลตายามนั้นนางเจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก...ดีที่มีเจ้าก้อนแป้งนุ่มอยู่ในครรภ์ทันท่วงที ทำให้นางสามารถรั้งตำแหน่งชายาจากเขาได้ ดีกว่าต้องกลับไปยังสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินเกิดที่ที่ๆ นางไม่เคยคุ้นแล
“แล้วทำไม ข้าเป็นสตรีชาวหรวนแล้วไม่มีหัวใจรักท่านรึอย่างไร” นางย้อนถามน้ำหูน้ำตาไหลพรากหลี่ชงเหองันไป เขาเข้าใจดีว่าหัวใจรักบังคับมิได้ แต่ถึงอย่างไรน้ำไฟก็ไม่หลอมรวม เจ้ากับข้าก็เช่นกัน”“แต่น้ำไฟก็ส่งเสริมกันได้หรือมิใช่!”“ท่านอ๋อง ไฟยังส่งเสริมน้ำให้อบอุ่นได้ น้ำก็ย่อมดับไฟได้เช่นกัน หม่อมฉันว่า.... เรา”“แต่ต้องมิใช่ข้า” หลี่ชงเหอตัดบท “เจ้าไปเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว”แม้ใจจะเจ็บช้ำแสนสาหัสแต่มิอาจรั้งนางไว้กับตัวได้ เขามิอาจให้อารมณ์เป็นใหญ่เหนือชาติบ้านเมือง มิอาจให้ต้าฮั่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีเขาเป็นผู้ร่วมสร้างไม่มีวัน!ฟางถิงถิงลูบท้องน้อยที่ยามนี้มีทารกน้อยพยานรักของนางและเขาด้วยใจอาวรณ์ สิ้นแล้วความรักที่วาดหวัง นางไม่ควรเลย ไม่ควรรักคนที่มิอาจรักเลย“ท่านอ๋องแค่บอกมาว่าเกลียดข้าแล้วใช่หรือไม่!” นางตะโกนถามย้ำอีกครั้งแต่อีกฝ่ายยังยืนหันหลังนิ่งงันท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟางถิงถิงระเบิดเสียงหัวเราะร้องไห้สลับกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะ “ก็ได้... หากท่านอ๋องไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าก็จะไป...”ฟางถิงถิงกลั้นใจเอ่ยเสียงแผ่วโหยออกมาอีกครั้งก่อนจะกระโจนลงไ
หลี่ชงเหอรุดเข้าหาร่างชราที่เริ่มอ่อนแรง เขาหยิบสร้อยหยกห้อยคอของไฉ่ชิงเซียนขึ้นมาพิจารณาด้วยสีหน้าตื่นตกใจยิ่ง“เจ้าได้สร้อยหยกนี้มาจากไหน!” หลี่ชงเหอคำรามถามเสียงกร้าวไฉ่ชิงเซียนก็งุนงงไม่แพ้กัน แต่อาการของเขายามนี้เห็นทีแม้แต่เปล่งเสียงพูดยังลำบาก เขาได้แต่จ้องคนด้านบนด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัยก่อนเอ่ย “จะ... เจ้าจะรู้ไปทำไม”“ข้าต้องรู้! บอกมา”“สะ สร้อยนี่... ปะ เป็น เป็น...” ไฉ่ชิงเซียนนึกย้อนไปถึงครานั้น ยามที่ได้รับข่าว“เป็นอะไร!”“เป็นของ... ลูกข้า” ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยเสียงเริ่มขาดห้วง“ลูกกเจ้า! รัชทายาทไฉ่ชิงซีที่หายสาปสูญไปน่ะรึ”“ใช่... ชิงซีลูกข้ากับถิงถิงหลานสาวของข้า พวกเขา... พวกเขา...”“พวกเขาทำไม!... บอกมา!” หลี่ชงเหอตะคอกซ้ำ“พวกเขาถูกปล้นขบวนรถม้า ตะ... ตะ... ตายไปนานแล้ว” ไฉ่ชิงเซียนพูดได้เพียงนั้นสติก็ดับวูบไป“ช้าก่อน!! ตาเฒ่า!!” หลี่ชงเหอตะโกนลั่น “หากสร้อยเส้นนี้เป็นของลูกเจ้าจริง แล้วยังมีอีกเส้นหรือไม่!”“มะ... มี อีกเส้นปะ เป็นของหลานข้าที่หายสาบสูญไป นางคงตายแล้ว... ถิงถิงหลานปู่”ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยได้เพียงนั้นก็กระอักลิ่มโลหิตออกมาอีกครั้งก่อนสติดับวูบ“เดี๋ยว!
“ข้าก็รักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นที่งานเทศกาลโคมไฟ เจ้าคือโคมดวงใหญ่ที่สว่างไสวในใจข้าตั้งแต่บัดนั้น” เขาเอ่ยเพียงนั้นก็เห็นลูกกวางน้อยที่รักมีน้ำตา จึงโน้มหน้าเข้าหาบดริมฝีปากนางอย่างหิวกระหายดรุณีงามถึงคราวอ่อนระทวยมิอาจหักห้ามใจ นางจ้องลึกเข้าไปในแววตาอีกฝ่ายคล้ายจะค้นหาความในใจ แต่กลับพบเพียงความดำดิ่งแห่งความปรารถนาในตัวนางตอบแทนหลี่ชงเหอจึงเริ่มลำนำบทใหม่ ส่วนฟางถิงถิงก็ให้ความร่วมมือ นางกอดกระชับรอบเอวแกร่งที่ยามนี้ต่างไร้ปราการกั้นขวาง สองร่างก็มิอาจต้านทานความต้องการของตัวเองไปได้นางยินยอมพร้อมใจขับเคลื่อนลำนำรักร่วมกับเขา ยามสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวก็มิหวั่น แม้หยาดเหงื่อแห่งความหฤหรรษ์จะทะลักทลายราวกับกำลังลอยละลิ่วเหินหาวกลางอากาศก็มิอาจนำพากระแสเสี้ยวความเจ็บปวดที่สุขสมไปได้ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล มีเพียงแสงดาวทอประกายระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้าที่ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงเรืองเรื่ออร่าม ชิงหลงสัตว์เลี้ยงคู่ใจหลี่ชงเหอที่เปรียบเสมือนพยัคฆ์วิหคเหนือท้องฟ้าก็บินฉวัดเฉวียนไปมาราวกับรับรู้ความดื่มด่ำแห่งความรักของทั้งสองไม่รู้คลาย... หลายวันต่อมาที่สนามรบระหว่างแคว้