Masukเสียงอึกทึกจากห้องโถงเลือนหายไปทันทีที่ร่างของเธอถูกลากผ่านเข้ามาในโถงทางเดินที่เงียบสงัด เหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นกับเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวอยู่ในอก หลินซีพยายามยื้อตัวขัดขืนแต่ก็ไร้ผล วงแขนที่รัดรอบเอวของเธอแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า
“คุณจะทำอะไร!” เธอตวาดถามเสียงสั่น แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้ยิน
เขาผลักประตูบานหนึ่งให้เปิดออกแล้วดันร่างเธอเข้าไปข้างใน ก่อนจะก้าวตามเข้ามาแล้วปิดประตูลง
เสียง ‘กริ๊ก’ ของลูกบิดที่ถูกล็อกฟังดูดังเป็นพิเศษในความเงียบที่โรยตัวลงมารอบกาย เขากดเปิดไฟสลัวดวงหนึ่งที่ผนัง เผยให้เห็นห้องทำงานขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู ทุกอย่างอยู่ในโทนสีเข้มขรึม สะท้อนรสนิยมที่ไม่ธรรมดาของเจ้าของห้อง
หลินซียืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางห้อง พยายามควบคุมลมหายใจที่เริ่มติดขัดอย่างหนักหน่วง เธอจ้องมองเขา...ผู้ชายที่ฉุดเธอเข้ามาในนี้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ยอมรับว่าทุกอณูในร่างกายกำลังตื่นตัวอย่างบ้าคลั่งกับความใกล้ชิดที่อันตรายนี้
ผมสีดำสนิทที่ตัดแต่งอย่างดี ดวงตาสีน้ำหมึกลุ่มลึกที่ฉายแววหยอกเย้า ผิวสีน้ำผึ้งสุขภาพดีที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้ใช้เวลาอยู่แค่ในห้องทำงาน และที่ร้ายกาจที่สุดคือรอยยิ้มมุมปากนั่น รอยยิ้มที่ทำให้เธอแทบบ้า เขามาทำอะไรที่นี่ เขาหาเธอเจอได้อย่างไร...
“เอามือของคุณออกจากตัวฉัน” เธอเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาได้ในที่สุด เมื่อตระหนักว่าฝ่ามืออุ่นจัดของเขายังคงวางอยู่บนเอวของเธอไม่ไปไหน สัมผัสนั้นแผ่ซ่านความร้อนไปทั่วร่างจนน่าหงุดหงิด
“ไม่งั้น?”
เขากระตุกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของผู้ชนะ ก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดจนแผ่นหลังของเธอสัมผัสเข้ากับสันหนังสือเย็นเฉียบบนชั้นหนังสือด้านหลัง ดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอราวกับจะค้นหาความลับทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ข้างใน
“ถึงฉันจะเป็นแค่พนักงานรับจ้างชั่วคราว แต่หน้าที่ของฉันคือ ‘เสิร์ฟ’ ค่ะ ไม่ใช่มาเป็น ‘ของเล่น’ ส่วนตัวของคุณ”
เธอพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ทั้งที่หัวใจกำลังเต้นระรัวอยู่ในอกและสมองก็เริ่มมึนงงไปหมด ผู้ชายตรงหน้า...เขาหล่อเกินไป และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวดีถึงอิทธิพลที่ตัวเองมีต่อคนอื่น
“น่าเสียดายจัง” เขากระซิบตอบกลับมา น้ำเสียงแหบพร่าของเขาเหมือนกำมะหยี่ที่ลูบไล้ใบหู ก่อนจะยอมคลายวงแขนที่โอบเอวเธอออกอย่างเชื่องช้า “เพราะผมอยากได้คุณมาเป็นของเล่นส่วนตัวของผมใจจะขาด”
ดวงตาสีน้ำหมึกของเขาวาววับอย่างอันตราย ขณะที่สายตาคมกริบคู่นั้นลากไล้สำรวจเรือนร่างของเธออย่างเปิดเผย...เชื่องช้า...และจงใจ...จนเธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
“ฉันพนันได้เลยว่าคุณอยาก” เธอพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะรีบหมุนตัวคว้าลูกบิดประตู หวังจะหนีออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ให้เร็วที่สุด “ถ้าจะกรุณา...”
แต่ก่อนที่ปลายนิ้วของเธอจะได้ออกแรงบิดลูกบิด ร่างทั้งร่างก็ถูกกระชากกลับไปปะทะกับแผงอกแกร่งของเขาอีกครั้ง รวดเร็วและรุนแรงจนเธอตั้งตัวไม่ทัน
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างตื่นตระหนก และในวินาทีนั้นเอง เมื่อได้เห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเขา ภาพทุกอย่างก็กระจ่างชัดขึ้นมาในทันที
“คุณ...” เธออุทานออกมาเสียงแผ่วเมื่อภาพใบหน้าของผู้ชายที่เคยเจอในคอร์ตแบดซ้อนทับกับคนตรงหน้าได้อย่างพอดี “กู้เทียนอี้...”
“ผมเอง ในที่สุดก็จำได้ซะทีนะ” เสียงของเขาเจือแววเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง
ความหยิ่งยโสที่เคลือบอยู่ในน้ำเสียงของเขานั้นราวกับน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟแห่งความโกรธในใจของหลินซี เธอสะบัดตัวออกจากพันธนาการของเขาแล้วเดินลึกเข้าไปในห้องเพื่อตั้งหลัก
“คุณกู้เทียนอี้...ใช่ไหมคะ”
เธอแกล้งทวนชื่อช้า ๆ ราวกับไม่แน่ใจ ซึ่งแน่นอนว่าเธอจำเขาได้ ผู้ชายที่ทั้งหล่อและมีเสน่ห์ร้ายกาจขนาดนี้ใครจะไปลืมลง แต่ความหยิ่งยโสของเขาก็ทำให้เธอไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าเธอจำเขาได้แม่นตั้งแต่แรกเห็น
“ส่วนคุณก็คือคุณหลินซีสินะครับ” รอยยิ้มมุมปากของเขาดูร้ายกาจขึ้นกว่าเดิม สายตาคมกริบคู่นั้นกวาดมองสำรวจชุดของเธออีกครั้งอย่างจงใจ “แต่ผมไม่ยักรู้ว่าคุณเป็น...พนักงานเสิร์ฟด้วย”
เขาจงใจลากเสียงคำว่า ‘พนักงานเสิร์ฟ’ ยาวเป็นพิเศษ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ และเธอก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก เธอสามารถรับรู้ได้ในทันทีถึงความคิดของเขา เขากำลังจินตนาการภาพเธอโดยไม่มีเสื้อผ้า และที่น่าโมโหที่สุดคือร่างกายของเธอกลับร้อนผ่าวตอบสนองต่อความคิดนั้น
ความเงียบที่เข้ามาแทนที่เสียงหอบหายใจและเสียงครางแห่งความสุขสมนั้นมันหนักอึ้งและเย็นเยียบจนน่ากลัว หลินซีฟุบหน้านิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่แข็งกระด้างและเย็นเฉียบ ร่างกายเปลือยเปล่าและเหนียวเหนอะหนะ ดวงตาจ้องมองไปด้านหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า สภาพห้องที่ยุ่งเหยิง แฟ้มเอกสารที่ตกกระจายเกลื่อนพื้น เศษกระดาษที่ปลิวว่อน ทั้งหมดคือซากปรักหักพัง ไม่ต่างจากสภาพจิตใจของเธอในตอนนี้ ความร้อนแรงเมื่อครู่จางหายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกว่างเปล่า อัปยศ และไร้ค่า หลินซีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงสิ่งของ เป็นเครื่องระบายความใคร่ เป็นโสเภณีที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นภารกิจ หญิงสาวค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทุกส่วนของร่างกายปวดระบม แต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่กำลังกรีดลึกอยู่ในใจ เธอรีบกวาดสายตาหาเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกฉีกกระชากและโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แล้วรีบสวมมันกลับคืนอย่างลวก ๆ ราวกับจะใช้เศษผ้าเหล
คำว่า ‘อย่าหยุดนะ’ หลุดออกมาเหมือนเสียงกระซิบที่ยอมจำนน มันคือการโยนเศษเสี้ยวสุดท้ายของกำแพงแห่งศักดิ์ศรีทิ้งไป รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของกู้เทียนอี้ มันคือรอยยิ้มของผู้ล่าที่รู้ว่าเหยื่อได้สยบแทบเท้าของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานกับการรอคอย ปลายนิ้วช่ำชองเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งความปรารถนาอีกครั้ง แต่สำหรับหลินซีแล้ว ทุกสัมผัสที่ทำให้ร่างกายบิดเร่า คือทุกขณะที่หัวใจของเธอกำลังถูกบีบคั้น กฎที่เขาเคยตั้งไว้ดังก้องอยู่ในหัว... ‘ห้ามมีความรู้สึก’ ช่างเป็นคำพูดที่โหดร้ายเหลือเกินในยามนี้ และเมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวใกล้จะหลอมละลายเต็มที ร่างกายของเธอบิดเกร็งจนแทบจะถึงจุดสูงสุดอยู่รอมร่อ กู้เทียนอี้ก็ก้มหน้าลงมา ความร้อนชื้นที่ฉกวูบลงบนจุดที่อ่อนไหวที่สุดทำให้หลินซีสะดุ้งสุดตัว มันคือสัมผัสที่เธอไม่เคยคาดคิดและรุนแรงเกินกว่าจะต้านทาน เขาไม่ได้เริ่มต้นอย่างอ่อนโยน แต่กลับจู่โจมอย่างผู้กระหาย มอบสัมผัสที่ลึกซึ้งและจาบจ้วงที่สุดด้วยลิ้นร้อนชื้นของเขา ลิ้นของเขาทำราวกับมีชีวิต มันทั้งไล้เลีย ตวัด และดูดดึงอย่างช่ำชอง เขาเริ่มต้นด้ว
“กู้เทียนอี้...” หลินซีรวบรวมสติเส้นสุดท้ายพึมพำชิดริมฝีปากชายหนุ่ม เธอไม่อาจถอยหนี...และไม่อยากจะถอยหนี “นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะ” “แล้วมันเป็นความคิดที่เลวร้ายรึเปล่าล่ะ” เขาขยิบตา “อ๊ะ...ไม่ต้องตอบหรอก ผมไม่สนอยู่แล้วว่ามันจะดีหรือจะร้าย ผมชอบทั้งสองอย่าง” “ฉันก็แค่ไม่เข้าใจคุณ...กู้เทียนอี้” เธอพบว่ามันยากที่จะไม่ยิ้มให้เขา ดวงตาของเขาช่างน่าดึงดูด และอารมณ์ขันของเขาก็น่ารัก แม้แต่หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอก็ยังคงติดอยู่ในบ่วงของเขา “ผมก็เหมือนหนังสือที่เปิดอ่านง่าย ๆ ไม่มีอะไรต้องเข้าใจ แล้วคุณอยากจะรู้อะไรล่ะ” “ฉันอยากจะรู้...” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ตกใจที่ตัวเองเกือบจะเอ่ยชื่อ ‘ซูเฟิน’ ออกไป เธอเสียสติไปแล้วแน่ ๆ “อะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะรู้ล่ะครับ” เขาเอียงคอ ดวงตาหรี่ลงขณะจ้องมองเธอ สีหน้าครุ่นคิด “มันไม่สำคัญหรอกค่ะ” “ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันสำคัญกับคุณ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนลงทำให้หลินซีบอกได้เลยว่าเขากำลังพยายามจะอ่านใจเธอ ทำให้เธอประหม่า ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรดี เธอจะบอกเขาได้ยังไง
ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของเธออย่างจาบจ้วง ไล่ต้อนและช่วงชิงทุกความหอมหวานไปจนหมดสิ้น สมองของเธอขาวโพลน ขาแข้งอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่ มือที่เคยคิดจะผลักไสกลับขยุ้มเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นเป็นที่ยึดเหนี่ยว เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ไม่ใช่เพราะขาดออกซิเจน แต่เพราะกำลังจมดิ่งลงไปในตัวตนของเขาจนหมดสิ้น “แล้วแบบนี้...ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจรึเปล่าครับ” กู้เทียนอี้ถามเสียงเบาขณะถอนริมฝีปากออกห่าง จ้องลึกลงไปในดวงตาหญิงสาวด้วยแววตาของผู้ชนะ “อืมมม...” เธอพึมพำ หายใจหอบเกินกว่าจะพูดอะไรได้ ฝูงผีเสื้อนับล้านกำลังบินว่อนอยู่ในท้อง ทำไมเขาต้องมีเสน่ห์ร้ายกาจขนาดนี้ด้วยนะ... “‘อืมมม’ เหรอครับ” เขามองเธออย่างเหนื
ก่อหน้านี้ ณ อีกฟากหนึ่งของห้องประชุม กู้เทียนอี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง รอยยิ้มหยันที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ได้จางหายไปแล้ว เหลือเพียงความเยียบเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงตาสีน้ำหมึกที่บัดนี้หรี่ลงจนแทบจะเป็นเส้นตรงจับจ้องไปยังภาพบาดตาเบื้องหน้า ภาพของหลินซีที่กำลังส่งยิ้มหวานหยดให้กับพนักงานหนุ่มคนนั้น ภาพที่เธอขยิบตา ภาพที่เธอยื่นโทรศัพท์คืนให้ ทุกการกระทำของเธอคือการตบหน้าเขาฉาดใหญ่ คือการประกาศสงครามที่โจ่งแจ้งที่สุด ความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่คุ้นเคยและไม่เคยต้องการที่จะยอมรับพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก มันคือความโกรธ ไม่ใช่ความโกรธที่ดังและเกรี้ยวกราด แต่เป็นความโกรธที่เย็นเยียบ หนักหน่วง และพร้อมที่จะทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า เธอกล้าดียังไง... เขาไม่ได้เดิน แต่เขากำลัง ‘เคลื่อนตัว’
“ต้องเป็นในทางที่ดีแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ” ใบหน้าของเขาจริงจังขึ้นมาทันที และในวินาทีนั้น เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาจริง ๆ เจียสือเป็นคนจริงใจ ดีเกินกว่าจะถูกดึงเข้ามาในเกมบ้า ๆ นี้ “ในทางที่ดีมากเลยค่ะ คุณเป็นคนดีจริง ๆ นะคะเจฟ” “แย่แล้วสิครับ” เขาแกล้งทำหน้าแหย ยกมือขึ้นทาบอกราวกับถูกยิง “อะไรคะ” “โดนชมว่าเป็นคนดีแบบนี้ก็จบกันพอดีสิครับ” “ไม่ค่ะ ไม่ใช่” เธอหลุดหัวเราะออกมากับท่าทีของเขา “ฉันชอบคนดีนะคะ” “ค่อยโล่งใจหน่อยครับ” เขายิ้มกริ่ม ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อย ๆ จางหายไปเมื่อมองข้ามไหล่ของเธอ “แต่ผมว่า...”







