กลิ่นหอมของอาหารลอยอบอวลทั่วห้องอาหาร อิงลดาเดินนำเข้ามาพร้อมกับป้าสมร แม่ครัววัยห้าสิบกว่าๆ ที่อยู่บ้านกุลธาราวงศ์มานานเกือบยี่สิบปี ทั้งคู่ช่วยกันจัดจานกับข้าวลงบนโต๊ะด้วยความคล่องแคล่ว
“วางตรงนี้เลยค่ะคุณอิง”
“ขอบคุณค่ะป้าสมร” อิงลดายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ขณะวางจานไข่เจียวลงตรงหัวโต๊ะ
คุดาริกานั่งอยู่ก่อนแล้ว มองสองสาวจัดโต๊ะอย่างชื่นใจ
“โอ๊ย...ดูสิแม่สมร หนูอิงนี่มีแววเป็นแม่บ้านแม่เรือนมากกว่าที่คิดนะเนี่ย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด
“จริงค่ะคุณดาง คุณอิงเขาหัวไวด้วย ไม่ต้องสอนซ้ำเลย” แม่บ้านสาวกลางคนตอบอย่างภูมิใจ
“คุณภีมเองไม่เคยเข้าไปชิมอาหารถึงในครัว วันนี้ก็เข้าไปชิมแกงเลียงแล้วก็ไข่เจียวไปครึ่งจานเลยนะคะ จนคุณอิงได้เจียวไข่เพิ่มอีกจาน ท่าจะอร่อย” ป้าสมรยิ้มกึ่งแซว ดาริกายิ้มกว้างด้วยความชอบใจ ในขณะที่อิงคิดในใจว่า หากทั้งสองรู้ว่าภีมวัชไม่ชอบผู้หญิง จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
ในตอนนั้นภีมวัชเดินเข้ามาในชุดลำลองที่เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว
เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยเมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะ
“อาหารเสร็จพอดีเลยลูก มานั่งสิ” ดาริกาผายมือเรียกด้วยรอยยิ้ม
ภีมวัชเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามอิงลดา ก่อนจะมองอาหารตรงหน้าเงียบๆ
“ลองชิมสิคะว่ารอดไหม” ดาริการบอกลูกชาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวไปแอบชิมอาหารมาแล้ว
“ผมไปชิมในครัวมาแล้วครับ อร่อยมาก”
“แม่ดีใจจังเลย ภีมเองก็ไม่เคยชมใครง่ายๆ แบบนี้เลยนะลูก”
ดาริกาว่าพลางตักข้าวใส่จานให้“ครับ” เขาเหลือบตามองอิงลดาเงียบๆ เธอดูมีความสุขแบบเรียบง่าย ไม่ได้เฟ้นหาโอกาสจะอ้อน หรือทำตัวให้เขาสนใจ .และนั่นกลับทำให้เขามองเธอนานกว่าปกติ
ดาริกามองลูกชายแล้วหันมายิ้มให้ว่าที่ลูปกสะใภ้
“แม่ว่าสองคนดูเข้ากันได้นะจ๊ะ”
“ยังเร็วไปหรือเปล่าคะคุณแม่...แค่ทำอาหารมื้อเดียวเอง” อิงลดายิ้มจางๆ อย่างเกรงใจ
“แต่ลูกแม่ไม่ต่อต้านอย่างที่เคยไงจ๊ะ นี่แหละน่าดีใจที่สุด” ดาริกาพูดพลางมองลูกชายอย่างโล่งใจ
ภีมวัชไม่ได้พูดอะไร แค่ตักข้าวต่อเงียบๆ แต่ในใจเขากลับเอ่อล้นด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เคยให้ใคร
“จริงสิ เรื่องหมั้นหมาย แม่กับคุณอารีย์เห็นว่าเดือนหน้าน่าจะเหมาะ จัดงานเล็กๆ แค่ในครอบครัว ไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก หรือพวกลูกอยากให้เชิญแขกมาก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ เอาไว้งานแต่งงานค่อยเชิญแขกทีเดียวดีกว่า หนูว่างานหมั้นก็แค่สวมแหวนหมั้นเท่านั้นก็น่าจะพอค่ะ” อิงลดากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ
“ไม่ได้หรอก คุณลุงคุณป้าต้องมาเป็นสักขีพยานตอนสวมแหวนด้วย ถึงจะหมั้นกันภายใน แต่ก็ต้องเป็นไปตามขนบธรรมเนียมนะ” คราวนี้ภีมวัชเสนอขึ้นมาบ้าง ดาริกายิ้มอย่างพอใจ แบบนี้ลูกชายเธอคงตกหลุมรักอิงลดาแล้วแน่นอน เพราะนอกจากไม่ต่อต้านแต่ยังมีส่วนร่วมอีกด้วย
“ก็ดีนะแม่ว่า อิงเห็นด้วยไหมลูก”
“หนูแล้วแต่คุณแม่เลยค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจเบาๆ แต่ลึกๆ ก็รู้สึกซาบซึ้งที่ว่าที่สามีนั้นให้เกีบรติครอบครัวของเธอ
กลางดึก ห้องนอนชั้นบนเงียบสงบ ภีมวัชยืนพิงขอบหน้าต่าง สวมเสื้อเชิ้ตตัวบางกับกางเกงลำลองชุดเดิม มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำเปล่า มืออีกข้างท้าวกับขอบหน้าต่าง
ดวงจันทร์กลมโตแขวนตัวอยู่กลางฟ้า
แสงเงินสาดส่องลงมากระทบกรอบใบหน้าเขา เผยแววตาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มบางๆ อย่างไม่รู้ตัว
“อิง” เขาเอ่ยชื่อนั้นแผ่วเบาในความเงียบ
ภาพหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่วิ่งอุ้มลูกหมากลางถนนซ้อนขึ้นมาในความคิด ใบหน้าที่ร้อนใจ เสื้อเปื้อนคราบเลือด แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความกล้าหาญและอ่อนโยนในคราเดียว
ตอนนั้นเขายังเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ที่เหนื่อยล้า ไม่มีเวลามองใคร
แต่เธอคนเดียวกลับฝังอยู่ในความทรงจำโดยไม่รู้ตัวตอนแรกคิดว่าจะไม่มีทางได้เจอเธออีกแล้ว แต่วันนี้...เธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาโดยที่เขาไม่ได้คาดหวัง
“สามเดือนนี้ พี่จะทำให้เธอรักพี่ให้ได้ งานแต่งงานของเราต้องเกิดจากความรัก ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์” เขาพึมพำกับตัวเอง
“แต่ถ้าเธอไม่รักพี่เลย พี่ก็จะแต่งงานกับเธออยู่ดี” แพทย์หนุ่มวางแก้วเบาๆ บนโต๊ะข้างหน้าต่าง ดวงตามองยังพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี คืนนี้พระจันทร์สวยกว่าทุกวัน ทั้งที่เป็นจันทร์ดวงเดิม
************************
ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดาเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลังอิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”อารีย์
ช่วงเช้าในบ้านกุลธาราวงศ์ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มปลาหมึกแห้งสูตรของยุพินและยุพาที่นำเสนอจนกลายเป็นอาหารเช้ามื้อหลักที่ต้องมีในทุกสัปดาห์“ข้าวต้นปลาหมึกแห้ง สูตรของสองสาวเขา อิงลองชิมนะลูก”“ค่ะ คุณแม่” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายดาริกามองว่าที่สะใภ้ก็ยิ้มกริ่ม อิงลดาเป็นคนสมัยใหม่ แต่ว่านอนสอนง่าย พูดจาตรงไปตรงมาแต่นอบน้อม แม้จะแสดงเจตนาจะแต่งงานกับลูกชายเธอเพราะความจำเป็น แต่เธอเริ่มมองเห็นว่าทุกอย่างมันเริ่มลึกซึ้งและมีความผูกพันกันเกิดขึ้นทีละน้อย“จริงสิตาภีม แม่ลืมบอกไป” เธอหันไปทางลูกชายที่กำลังโรยหอมเจียวเพิ่มในข้าวต้ม“ครับแม่”“พ่อแม่ของอิงจะเดินทางมาถึงตอนเย็นวันนี้นะภีม พรุ่งนี้เป็นวันดี ฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับพิธีหมั้น พวกเราเตรียมงานไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกกับหนูอิงตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเชิญแขกมาเพิ่มไหม เผื่อเปลี่ยนใจแม่จะได้สั่งห้องอาหารให้เตรียมอาหารเพิ่ม”ภีมวัชเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้ม ดวงตาสงบนิ่งแต่แวววาวอย่างพอใจ“ครับแม่ ผมรับทราบ&rdquo
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ตามด้วยเสียงของเจ้าของบ้าน“อิง เปิดหน่อย”อิงลดาหรี่ตามองนาฬิกา “ดึกแล้วนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”“ขอเข้าไปคุยด้วยหน่อย” เขาตอบกลับมาเธอถอนหายใจ ก่อนจะลุกไปเปิดประตู แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างสูงก็แทรกตัวเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต“นี่! ห้องอิงนะ พี่ภีมจะทำอะไร”“เงียบก่อน” เขาปิดประตูแล้วหันกลับมา สายตาคมนิ่งจ้องมาที่เธออย่างหนักแน่น“พี่มาพิสูจน์”“พิสูจน์อะไรคะ” เธองุนงง ก่อนจะนึกได้ว่าคำพูดเมื่อตอนกลางวันของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไร หญิงสาวเบิกตากว้าง แต่ก็ไม่ทันแล้ว“ว่าพี่ไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจผิด” พูดยังไม่ทันจบ ภีมวัชก็คว้าแขนเธอดึงเข้าหาตัว แรงกระชากทำให้เธอเซเล็กน้อย ใบหน้าเขาโน้มลงมาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะแก้มเมื่อใบหน้าของเขากำลังจะโน้มลงหา เธอก็จ้องตาไม่กะพริบแล้วเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เขาจูบ แต่เมื่อรมิฝีปากคลอเคลียใกล้ๆ ลมหายใจรดรินกันเธอก็ตัดสินใจที่จะต่อต้าน
ขณะที่นายแพทย์หนุ่มนั่งกับอิงลดา และเอาใจเธอ ทั้งไปสั่งอาหารให้ และเดินไปซื้อเครื่องดื่มให้โต๊ะอีกมุมหนึ่งของโรงอาหาร ณัชชานั่งมองภาพตรงหน้านั้น มือหนึ่งถือช้อน อีกมือกุมตะเกียบไว้แน่น“หมอภีมเป็นอะไรของเขา วันนี้อ่อนโยนผิดปกติ แบบนี้เรียกคลั่งรักใช่ไหมคะ” หมอนุ่นกล่าวแล้วยิ้มมองภาพเพื่อนร่วมงานที่ดูต่างออกไปจากปกติ เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้กระทั่งณัชชาที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง เขาก็ยังไม่เคยมีมุมอ่อนโยนแบบนี้ให้เธอ“ไม่เคยเห็นยกข้าวยกน้ำให้ใคร ขนาดหมอนัทที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังไม่เคยเดินไปซื้อน้ำมาให้”“หมอธนินทร์พูดถูก สงสัยผู้หญิงคนนั้นคือตัวจริงล่ะมั้ง หมอภีมถึงได้ยอมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้” หมอปุณณ์หัวเราะอย่างชอบใจณัชชาก้มหน้ากินอาหารคำต่อไปเหมือนเคี้ยวยากผิดปกติ ในหูเธอยังได้ยินเสียงพยาบาลโต๊ะข้างๆ กำลังเม้าท์ต่อ“ผู้หญิงคนนั้นน่ารักนะ สดใสเป็นธรรมชาติดี”“ใช่ ฉันเห็นตอนเธอมาส่งข้าวให้หมอภีมครั้งก่อน หมอภีมยิ้มอะปกติก็ไม่เคยเห็นยิ้มเลยสัก
ที่ห้องพักแพทย์ แพทย์หญิงณัชชาเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ“หมอภีม เที่ยงนี้ลงไปกินข้าวด้วยกันนะ หมอธนินทร์ หมอนุ่น แล้วก็หมอปุณณ์จะไปด้วย นัดกันไว้แล้ว” เธอพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับแพทย์อีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน“อืม ลงไปพร้อมกันก็ได้” เขาพยักหน้ารับณัชชาแย้มยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนร่วมอาชีพ แล้วพวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกันเมื่อถึงชั้นโรงอาหาร ภีมวัชเดินนำมาเล็กน้อย พอเลี้ยวผ่านโซนเสาใหญ่ เขาก็ยิ้มกริ่มที่โต๊ะตัวเดิม อิงลดานั่งรออยู่ในชุดเรียบง่าย สีหน้านิ่งแต่สายตาเป็นประกายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา“เดี๋ยวผมขอแยกไปตรงนั้นนะ” ภีมวัชพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเบนทิศทางจากกลุ่มแพทย์ไปยังโต๊ะของอิงลดา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยณัชชาชะงัก สีหน้ายิ้มที่เคยแต่งไว้เริ่มคลายลง“เอ๊ะ…นั่นหรือเปล่าผู้หญิงที่พยาบาลลือกันอยู่ช่วงนี้” หมอนุ่นหันมาถาม “ใช่ๆ เขาว่ากันว่าเย็นชากับทุกคน แต่อ่อนโยนกับผู้หญิงคนนี้แค่คนเดียว” หมอธนินทร์เสริมณัชชาเงียบ ไม่พูดอะไร เธอแค่มองตามแผ่นหลังของภีมวัชที่กำลังเดินไปนั่งข้างหญิงสาวคนนั้น มือทั้งสองกำแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บที่จิกลงกลางฝ่ามือแต่ก่อนที่เธ
เช้าวันต่อมา ภีมวัชเดินลงมาที่โต๊ะอาหารก่อนใคร สีหน้าของเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยบ่งบอกว่าจิตใจไม่ได้สงบเท่าไรดาริกาทักว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม เขาเพียงพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะก้มหน้าจิบน้ำเปล่าอิงลดาเดินลงมาช้าๆ วันนี้เธอใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ กับกางเกงผ้าเนื้อดี ดูคล่องตัวแต่เรียบร้อย พอเห็นว่าภีมวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอก็ยิ้มบางๆ“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ภีม” หญิงสาวจงใจเน้นเสียงอย่างยียวนเขาเหลือบตามอง ตอบกลับเสียงเรียบและสีหน้าไม่เปลี่ยน“เที่ยงนี้พี่อยากกินข้าวผัดกุ้ง”อิงลดาเลิกคิ้ว เพิ่งจะเช้าเขาก็ถามหาอาหารเที่ยงแล้ว“ค่ะ เด่ยวบอกป้าสมรให้”“พี่อยากกินฝีมืออิง”“วันนี้ไม่อยากเข้าครัวค่ะ” เธอปฏิเสธตามตรง“อ้าว แย่เลยลูก พ่อคุณอยากกินข้าวผัดกุ้งแต่แม่ครัวคนเก่งไม่เข้าครัวซะแล้ว” ดาริกาหัวเราะเบาๆ“แต่อิงเห็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำในโรงอาหารโรงพยาบาลน่ากินมากเลยนะคะ” เธอพูดพลางหรี่ตามองเขา“เรากินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นได้หรือเปล่าคะ”ภีมวัชเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ“อืม...” เขาไม่มีคำพูดอื่น แต่ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อยอย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เสแสร้งเข้าค