ช่วงเย็นหน้าตึกโรงพยาบาล ผู้คนทยอยเลิกงานและมีเหล่าพยาบาลที่มาเปลี่ยนเวรเพื่อทำหน้าที่ดูแลคนไข้
แพทย์หญิงณัชชาก้าวเดินข้างภีมวัช ท่ามกลางสายตาของเหล่าหมอและพยาบาลที่มองทั้งคู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“คุณหมอณัชชากับหมอภีม เดินด้วยกันอีกแล้ว”
“คู่นี้เหมาะกันจังเลยนะคะ หมอหล่อ หมอสวย ดูดีทั้งคู่”
“ลูกสาวหุ้นส่วนโรงพยาบาลเชียวนะ ใครได้ไปนี่โชคดีสุดๆ”
เสียงกระซิบจากกลุ่มพยาบาลลอยมาตามสายลม ณัชชายิ้มเล็กๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับรับคำชมโดยไม่ต้องพูดอะไร เธอเคยชินกับเสียงพวกนี้ แต่วันนี้มันพิเศษขึ้นนิดหน่อย เพราะเขาอยู่ข้างเธอ
ภีมวัชกลับก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบ เขาได้ยินทุกคำ แต่ไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้คุณดูเหนื่อยนะ” ณัชชาพูดพลางมอง หน้าเขา
“เหนื่อยกับคนไข้ไม่เท่าไรหรอก แต่กับคนรอบตัวนี่สิ มันเหนื่อยใจ” เขาหมายถึงพยาบาลที่ลืมให้ยาคนไข้จนชัก แต่ไม่สามารถเอาผิดได้เพราะไม่มีหลักฐานว่าเธอตั้งใจ และทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่ออยากโทรเรียกเขาให้มาเข้าเวรในวันอาทิตยแค่นั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่เรียนมาทางด้านพยาบาล
“บางคนก็ไม่ได้เรียนพยาบาลมาเพื่อจะดูแลคนไข้หรอกนะคะ บางคนเรียนเพื่อที่จะหาสามีเป็นหมอ บางคนอยากได้สามีเป็นตำรวจเป็นทหาร นี่ฉันได้ยินมาจากพยาบาลในวอร์ดเลยนะ” ณัชชาพูดถึงเรื่องนี้ แต่ภีมวัชเงียบ เขาไม่ชอบให้มีใครพูดถึงกันในทางไม่ดี
เมื่อเธอรู้ตัวจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “ไม่ได้ไปบ้านหมอภีมนานแล้ว เย็นนี้ขอไปฝากท้องด้วยได้ไหมคะ”
เขาชะงักก้าวเล็กน้อย
“แม่ครัวบ้านคุณทำอาหารอร่อย ฉันคิดถึงพะแนงเนื้อของป้าสมรจัง” เธอยิ้มแบบไม่ใส่พิษภัย
เขานิ่งไปอึดใจ ก่อนจะหันมาสบตาเธอช้าๆ
“วันนี้...คงไม่สะดวก”
“หืม” เธอเลิกคิ้ว
“ช่วงนี้มีแขกมาพักที่บ้าน อาจจะไม่เหมาะ” เขาพูดเสียงเรียบ
“เข้าใจละ งั้นไว้คราวหน้าก็ได้” ณัชชายิ้มจางๆ พยักหน้า เธอกลบเกลื่อนน้ำเสียงผิดหวังทันที แต่ก็ยังหลุดแววตาเสียดายออกมาเล็กน้อย
เมื่อถึงลานจอดรถ เขาหยุดเดิน แล้วพยักหน้าให้
“กลับดีๆ นะ”
“อือ ขับรถดีๆ เหมือนกัน” เธอยิ้มหวาน อยากชวนเขาพูดคุยต่อสักพัก แต่เขาไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
เสียงประตูรถของเขาดัง ‘ปัง’ เบาๆ ก่อนรถคันสีเทาเข้มจะเคลื่อนออกจากลานจอด
ณัชชายืนมองตามหลังรถคันนั้น ริมฝีปากที่ยิ้มไว้คล้ายจะจางลง
ถึงจะเป็นแค่เพื่อนสนิท แต่เธอก็ยังหวัง... หวังว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะหันมามองเธอบ้าง แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้เธอกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป เหมือนสิ่งที่เธอเฝ้ารอกำลังจะหลุดลอยไปจากมือ
ที่บ้านกุลธาราวงศ์ บรรยากาศในครัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเครื่องแกงและไข่เจียวฟูๆ เสียงทอดไข่ในกระทะยังไม่ทันจาง ร่างของหญิงสาวในชุดสบายๆ ก็หันมายิ้มให้ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาทางประตูด้านหลัง
“คุณแม่บอกว่าคุณเข้าครัวเอง” ภีมวัชยืนนิ่งครู่หนึ่ง สายตากวาดไปทั่วห้องก่อนจะหยุดที่เธอ อิงลดาสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่ดูใหญ่เกินตัวนิดหน่อย ใบหน้าแดงเพราะความร้อนจากเตาไฟ
“อย่าเพิ่งกังวลเรื่องรสชาติอาหารนะคะ ฉันใส่เครื่องปรุงตามที่ป้าสมรสอนทุกอย่าง ไม่ขาดไม่เกิน” เธอรีบอธิบายก่อนที่เขาจะไม่วางใจในอาหารที่เธอทำ
“เพื่อผมเหรอ” เขาถามเสียงเรียบ เดินเข้ามาใกล้
“คือ ฉันมาเป็นลูกมือป้าสมรน่ะค่ะ แล้วก็แอบเรียนรู้สูตรไปด้วย เผื่อจะเอาไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่กิน” หญิงสาวอธิบายต่อ ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดว่าเธออยากเรียนงานครัวเพื่อเอาใจเขชา
ภีมวัชพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนมองไปที่จานไข่เจียวบนโต๊ะ
“นี่ฝีมือคุณเหรอ ดูดีนี่”
“ส่วนผสมฉันเตรียมเองค่ะ แต่ตอนทอดให้ฟูกรอบมีป้าสมรคอยช่วยอยุ่ข้างๆ” เธอยิ้มเขินๆ
“แล้วจะไม่ให้ผมวิจารณ์ใช่ไหม”
“ลองชิมดูสิคะ รับรองไม่ตาย” เธอส่ายหน้าช้าๆ แล้วยกจานกับข้าวมาให้
เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างอดไม่ได้หยิบช้อนขึ้นมาตักแกงเลียงคำหนึ่งแล้วลองชิม ทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่งจนเธอรู้สึกหวั่นๆ ก่อนพูดเสียงเรียบ
“รสมือเดียวกับป้าสมรเป๊ะ”
อิงลดายิ้มออกมาอย่างภูมิใจ ไม่ใช่เพราะคำชม แต่เพราะเธอรู้ว่าเธอพยายามแล้ว และไม่ทำเสียของ
“แสดงว่าฉันไม่ทำครัวพังใช่ไหมคะ”
“อืม” เขากำลังจะตักคำต่อไป แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแทรกบรรยากาศ
เสียงริงโทนธรรมดาๆ แต่ใบหน้าอิงลดาเปลี่ยนสีทันทีเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอ เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วปิดเครื่องทันทีโดยไม่ลังเล
ภีมวัชมองอย่างกังวล อะไรบางอย่างที่ทำให้เธอปิดเครื่องทันที และสีหน้าเล็กน้อยที่ดูอึดอัด ทำให้เขารู้ว่าเรื่องนี้คงไม่ได้จบง่ายๆ
************************
เช้าวันใหม่ อิงลดาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธออยู่ในอ้อมกอดอุ่นของสามีที่ยังคงหลับสนิท แขนแข็งแรงของเขาโอบรอบเอวเธอไว้แน่น ราวกับกลัวว่าจะสูญเสียเธอไปอิงลดายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พลางมองใบหน้าหล่อเหลาในระยะใกล้ ใต้แววตาปิดสนิทนั้นคือความอ่อนล้า เธอรู้ดีว่าเมื่อคืนเขาอดกลั้นเพียงใด เพื่อให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่“น่าเอ็นดูจัง” เธอพึมพำเบาๆ ราวกับบ่น แต่แฝงไว้ด้วยความรักเธอไม่อยากให้เขาทรมานอีกต่อไป จึงขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น ปลายจมูกแตะเบาๆ ที่แก้มเขา ก่อนจะกดจูบอุ่นไล้ไปตามกรอบหน้า จากนั้นริมฝีปากอ่อนหวานก็จรดลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบาภีมวัชขยับตัวเล็กน้อย ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ เปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและร้อนแรง“ลักหลับพี่เหรอ” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยออกมา พลางยกมือมาประคองใบหน้าเธอไว้ อิงลดายิ้มเขิน ใบหน้าขึ้นสีจัดแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เธอก้มลงจูบเขาอีกครั้ง คราวนี้ยาวนานกว่าเดิม คล้ายเป็นการยอมรับอย่างเงียบๆภีมวัชถอนหายใจแผ่วๆ ดวงตาทอแววปรารถนา แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจว่าภรรยาจะเป้นอันตราย“หมอไม่ได้บอกว่าห้ามนี่คะ อีกอย่างพี่ภีมก็เป็นหมอ
เมื่อแขกผู้ใหญ่ทยอยกลับ เหลือเพียงบรรดาเพื่อนฝูง ญาติสนิท และเพื่อนร่วมงานใกล้ชิด บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนจากความเป็นทางการมาเป็นความครึกครื้นสนุกสนาน ดนตรีถูกปรับให้เร้าใจขึ้น แสงไฟหลากสีสาดไปทั่วฟลอร์ราวกับเปลี่ยนเป็นคลับหรูอิงลดาเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้สั้นระยิบระยับ โชว์เรียวขาสวยพอประมาณ ข้างกายคือภีมวัชที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนพับกับกางเกงเข้ารูป ดูหนุ่มเท่แต่ก็ยังคงความสุขุม“ชุดนี้พี่ไม่โอเค โป๊ไป”“ครั้งเดียวในชีวิต ไม่สวยเหรอคะ”“สวยสิ เจ้าสาวสวยเกินไปแล้วคืนนี้” ภีมวัชก้มกระซิบที่ข้างหู ทำเอาอิงลดาหน้าแดงจัด ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วกระซิบข้างหูของศัลยแพทย์หนุ่ม“ชุดนี้ ฉีกง่ายนะคะ ข้างในเป็นตาข่าย อิงกะจะให้พี่ภีมได้ฉีกมันคืนนี้”เขายิ้มกว้าง แววตาเต็มไปด้วยความพอใจ รู้ว่าภรรยาตั้งใจยั่ว แต่เธอท้องอยู่เขาจะกล้าลงมือหรือหมอหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย ดึงเธอขึ้นไปกลางฟลอร์เต้นรำ จังหวะดนตรีสนุกๆ ดังขึ้น เพื่อนๆ ก็ตบมือเชียร์กันสนั่น“วู้! หมอภีม เต้นเป็นด้วยเหรอนั่น” เพื่อนหมอชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา หมอนุ่นยืนหัวเราะพลางยกแก้วไวน์ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่เราเห็นในห้องผ่าต
สินีรัตน์ไม่พูดอะไรทันที แต่หยิบซองสีน้ำตาลจากมือ เดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะโยนใส่หน้าเขาเต็มแรงจนเอกสารข้างในกระจายเกลื่อนพื้น“นี่คือสิ่งที่คุณอยากได้ไม่ใช่เหรอ เอกสารฟ้องหย่า” น้ำเสียงเธอเย็นชา จ้องมองเขาอย่างไม่เหลือเศษเสี้ยวความรักในแววตา “แล้วคุณเคยบอกเองว่าไม่อยากมีลูก ไล่ให้ฉันไปทำแท้ง วันนี้คุณคงสมใจแล้ว เด็กไม่อยู่แล้ว ชีวิตคู่ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป”ภาณุยกมือสั่นๆ จะเอื้อมไปหาเธอ “สินี ผม…”เขายังพูดไม่จบ สายตาเย็นเฉียบของเธอตัดคำพูดเขาทันที ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักกลับกลายเป็นเย็นชาและเกลียดชัง“อย่าเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นอีก ตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” เธอกล่าวชัดถ้อยชัดคำ เธอหันหลังกลับ เดินเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองแม้เพียงเสี้ยววินาที ทิ้งเขาไว้กับกองเอกสารบนพื้น และแก้มที่ยังแสบร้อนจากรอยตบประตูบ้านปิดลง เหมือนตอกย้ำความจริงว่าเขาได้สูญเสียเธอไปตลอดกาลแล้วเขายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านราวกับถูกถอนวิญญาณออกไปทั้งร่าง สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูซึ่งไม่มีทางเปิดออกมาให้เขาได้เห็นใบหน้าของเธออีกคนขับรถที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ มองนายหนุ่มด้วยความลังเล ก่อ
เสียงรถที่แล่นผ่านหน้าบ้านสวนออกไปทำให้ภาณุชะงัก เขาจำได้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นของครอบครัวสินีรัตน์ หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น เขารีบรุดเข้าไปในบ้าน เห็นบิดาและมารดานั่งอยู่ในห้องรับแขก บรรยากาศเงียบกดดันจนเขาไม่กล้าเอ่ยทัก สองสามีภรรยามองตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะปรายตาใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับถึงบ้าน“สินีล่ะครับ อยู่ข้างบนหรือเปล่า” เขาถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบ ก่อนจะรีบก้าวขึ้นบันไดเมื่อรู้ว่าคงไม่ได้รับคำตอบง่ายๆเมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ภาพที่เห็นทำให้เลือดในกายเย็นวาบ ห้องโล่งผิดปกติ ตู้เสื้อผ้าแทบว่างเปล่า เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัวไม่มีเหลือแม้ชิ้นเดียว ราวกับเจ้าของห้องไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน“ไม่จริง” เขาพึมพำ ก่อนหันหลังวิ่งลงมา หยุดยืนตรงหน้ามารดาที่นั่งเงียบอยู่ “แม่ ของของสินีหายไปหมด แม่รู้ใช่ไหมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น”นงนาถถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “เมื่อกี้พ่อแม่ของหนูสินีเพิ่งมาเก็บของส่วนที่เหลือไป”“ส่วนที่เหลือ… หมายความว่าอะไรครับแม่” ภาณุถามเสียงแผ่วเหมือนไม่อยากได้คำตอบ“ก็หมายความว่าก่อนหน้านี้หนูสินีเก็บของกลับไปเกือบหมดแล้ว วันนี้เขาเพิ่งมาเอาที่เหลือให้เ
ทันทีที่รถตู้แล่นเข้าสู่กรุงเทพฯ และแวะพักที่บ้านเพียงไม่นาน ดาริกาก็จะออกไปตรวจดูสถานที่จัดงานฉลองแต่งงานในวันพรุ่งนี้ทันที“แม่จะไปดูห้องจัดเลี้ยง แม่อยากให้แน่ใจว่างานทุกอย่างพร้อม” ดาริกาพูดขณะก้าวลงจากรถ สีหน้ามีร่องรอยความกังวลชัดเจนภีมวัชเดินเคียงข้างภรรยา เอื้อมมือกุมมืออิงลดาเบาๆ พลางเหลือบตามองมารดา“นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับ แม่ก็อย่ากังวลเกินไปเลยครับ ออแกไนเซอร์มืออาชีพทั้งนั้น เขาคงไม่พลาดเรื่องใหญ่แบบนี้หรอก”“แม่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอกลูก” ดาริกาส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด งานที่เชียงใหม่จัดอลังการเกินคาด งานที่กรุงเทพเธอจะไม่ให้ลูกสะใภ้น้อยหน้า“งานใหญ่ทั้งที แขกผู้ใหญ่ในวงสังคมจะมาร่วมเยอะมาก ถ้ามีอะไรผิดพลาดนิดเดียว คนเขาก็จะเอาไปพูดต่อกัน อีกอย่างแม่อยากให้อิงมีความสุขที่สุด”“เพิ่งมาถึง พักก่อนเถอะครับ” พิทักษ์กล่าวด้วยความกังวล อารีย์เองก็มองด้วยแววตาที่ร้องขอ แต่ดาริกาก็กังวลใจ เพราะเธอเป็นแม่งานในครั้งนี้“ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจ งั้นเราก็ไปดูด้วยกันเถอะค่ะ” อิงลดาหันมามองสามีแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปบอกบุพการีของตน“คุณพ่อคุณแม่ก็พักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอิงกับพี่ภีมไปดูห้องจัดง
อิงลดานั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมยาวสยายลงมาปรกบ่า ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง เธอเอนตัวพิงหมอนกอดหมอนข้างเอาไว้เหมือนจะกันตัวเองจากใครบางคนที่กำลังยืนกอดอกจ้องอยู่“พี่ภีมจะยืนมองอีกนานไหมคะ” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่แววตาหวานที่เหลือบมองทำให้ภีมวัชยิ่งรู้สึกใจเต้นแรง“พี่รอเวลานี้มาทั้งวันแล้วนะอิง อยากกอดเมียจะแย่” เขาเดินเข้ามาใกล้ เตียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เมื่อเขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ“อิงรู้นะคะว่าพี่ไม่ได้แค่อยากกอดหรอก”เขาหัวเราะชอบใจก้มลงมองตาเธอใกล้ๆ “พี่สัญญาว่าจะดูแลอิง และดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด ถึงจะห้ามใจไม่อยู่แต่พี่ก็จะพยายามหักห้ามใจไม่ให้เป็นอันตรายกับลูก” เขาพูดซึ้งแต่แฝงไปด้วยการพูดทีเล่นทีจริงอิงลดายิ้ม ดวงตาคลอด้วยน้ำใสๆ เพราะความซาบซึ้ง เธอเอียงหัวพิงไหล่สามีเบาๆ ภีมวัชกอดเธอแน่นขึ้น ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา แทนคำสัญญาที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นถ้อยคำใดๆ“พักเถอะ วันนี้เราเหนื่อยกันมามากแล้วพี่ไม่แกล้งแล้ว” เขากระซิบ พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเธอ “อิงรู้ว่าพี่ภีมไม่ได้แกล้งหรอก พี่น่ะหื่นจริง แต่ช่วงนี้อิงขอนะคะอิงเหนื่อยมากจริงๆ” “รู้