เสียงน้ำจากฝักบัวตกกระทบกับกระเบื้องอย่างสม่ำเสมอ นายแพทย์ภีมวัชยืนใต้สายน้ำโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากปาก เขาแค่หลับตา ปล่อยให้น้ำไหลผ่านตัวเหมือนพยายามล้างความอึดอัดที่เพิ่งฝังลึกในอกเมื่อชั่วโมงก่อน
มารดา คู่หมั้น การแต่งงาน... มันทำให้เขาหงุดหงิด
หมอหนุ่มปิดฝักบัว ดึงผ้าขนหนูมาเช็ดตัวด้วยท่าทางเงียบขรึม แล้วเดินกลับเข้าห้องนอนในชุดนอนสีเทาเรียบที่ไม่มีลวดลาย
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียง แล้วเอนหลังนอนโดยที่ยังไม่หลับตา
เพดานสีขาวตรงหน้าเบลอไปช้าๆ และภาพในหัวเขาก็ชัดขึ้นทีละนิด
ความทรงจำเมื่อสิบปีกก่อนผุดขึ้นมา
เด็กสาวในชุดนักศึกษาวิ่งผ่านหน้าเขาไปด้วยท่าทางร้อนรน มืออุ้มลูกสุนัขตัวเล็กที่เปื้อนเลือด เสื้อนักศึกษาของเธอเองก็เปื้อนเลือดด้วยเช่นกันแต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจ
“ขอโทษค่ะ ขอทางด้วย” เธอร้องตะโกนเสียงดัง ขณะวิ่งฝ่าไปทางตึกคณะสัตวแพทย์ที่อยู่อีกฝั่งถนนในมหาวิทยาลัย
เธอเรียกความสนใจของเขาได้ดี เขาเดินตามเธอไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ถามชื่อ ไม่รู้ว่าเธอเรียนคณะอะไร รู้แค่ว่าเธอเป็นที่มีจิตใจดี
ไม่สนใจเลือดที่เปื้อนเสื้อ ขอแค่ช่วยชีวิตลูกสุนัชตัวนั้นได้
ภีมวัชเห็นเธอนั่งหน้าเคาน์เตอร์สัตวแพทย์อยู่เกือบชั่วโมง สีหน้ากังวลค้างอยู่แบบนั้น ตอนที่หมอเดินออกมาบอกว่ามันน่าจะรอด
เธอยิ้มทั้งน้ำตาแล้วโค้งขอบคุณจนสุดตัวและหลังจากนั้น เขาเริ่มเจอเธอบ่อยขึ้น ที่ห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย เธอชอบนั่งโต๊ะมุมเดิม ใต้แสงไฟนวลตาใกล้ชั้นวรรณกรรมต่างประเทศ อ่านหนังสือเล่มหนาอย่างจริงจัง บางวันก็จดเลกเชอร์ บางวันก็นั่งเงียบๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง
เขาไม่ได้ทัก ไม่เคยกล้าเข้าไปพูดด้วย แค่เฝ้ามองด้วยความสนใจ
ทุกครั้งที่เจอเธอ ใจเขาจะสงบแปลกๆ เหมือนช่วงเวลานั้นทั้งโลกเบาลง แต่ช่วงเวลานั้นก็ไม่ยาวนานนัก
การเรียนแพทย์คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ไม่มีวันว่าง ตารางฝึกภาคปฏิบัติยาวเหยียด และการย้ายเข้าโรงพยาบาลฝึกงานทำให้เขาไม่ได้เหยียบห้องสมุดกลางอีกเลย
เขาไม่ได้เห็นเธออีก ไม่ได้แม้แต่รู้จักชื่อ หรือคณะที่เธอเรียน เธอหลุดหายจากชีวิตเขา แต่สิบปีผ่านไป ภาพของเธอกลับยังไม่เคยจางหายไปจากหัว
เธอไม่ใช่คนสวยที่สุด ไม่ใช่คนที่โดดเด่นที่สุด แต่เป็นเพียงคนเดียวที่เขาเฝ้ารอโดยไม่รู้ตัว และจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังรออยู่
แม้จะรู้ดีว่า โอกาสเจอเธออีกครั้งนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม
ภีมวัชพลิกตัวหันหน้าเข้ากำแพง เปลือกตาหนักลงทีละน้อย ขณะความทรงจำสุดท้ายยังวนเวียนไม่ห่าง
ใบหน้าของเธอในวันที่เขาเห็นเป็นครั้งสุดท้าย นั่งคนเดียวข้างหน้าต่าง ยิ้มบางๆ ขณะพลิกหน้าหนังสือ ใบหน้านั้นเขาไม่สามารถลืมเธอได้ลงเลยสักวินาที
************************
ในตอนสายวันเสาร์ ภีมวัชลืมตาขึ้นช้าๆ มองเพดานอย่างเหม่อลอย ก่อนที่เสียงพูดคุยเบาๆ จากชั้นล่างลอยมาแตะหู
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา เก้าโมงกว่าแล้ว ซึ่งนับว่าสายสำหรับเขาที่มักตื่นตั้งแต่หกโมงในวันธรรมดาที่ต้องไปทำงาน
เสียงพูดคุยนั้นชัดขึ้น จังหวะหนักเบา ฟังคล้ายคนหลายคนกำลังนั่งประชุมในห้องรับแขก เสียงผู้หญิง เสียงผู้ชาย เสียงมารดาของเขาดังอยู่เป็นระยะ
เขานิ่งไปเพียงชั่วครู่ ก่อนลุกขึ้นจากเตียง เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบายๆ แล้วลงไปต้อนรับแขกเพื่อไม่ให้มารดาต้องเสียหน้า แม้รู้คำตอบอยู่แล้วว่าแขกที่ว่าคือใคร แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจจะสนใจนัก
จนกระทั่งเขาเปิดประตูห้องลงมาชั้นล่าง สายตาแรกที่เห็นเธอ เขาหยุดก้าวลงตรงขั้นบันไดขั้นที่สี่
หญิงสาวในชุดเดรสเรียบสีอ่อนนั่งอยู่บนโซฟายาว ดวงตาเรียวยาวของเธอกำลังมองตรงไปข้างหน้า แต่ไม่ใช่สายตาของคนที่กระตือรือร้นที่อยากมองหาเขา
สีหน้าของเธอเรียบเฉยแต่แฝงความกังวล ทว่าเขาจำมันได้ชัด
เธอคือผู้หญิงคนนั้น นักศึกษาปีหนึ่งในวันนั้น คนที่วิ่งอุ้มลูกหมาตัวเปื้อนเลือดด้วยสีหน้าเป็นห่วง คนที่เขาเฝ้ามองจากโต๊ะไกลๆ ในห้องสมุด คนที่เขาเฝ้ารอมาเป็นสิบปีโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร
มือข้างหนึ่งของเขากำราวบันไดแน่น ความเย็นในใจที่เคยมั่นคงเริ่มเปลี่ยน
“ภีม ลงมาพอดีเลยลูก” เสียงของดาริกาเรียกเรียกอย่างเบิกบาน
“ลงมาทักทายคุณลุงคุณป้าก่อนสิลูก”
เขาค่อยๆ ก้าวลงต่อ ดวงตายังคงจับจ้องผู้หญิงคนนั้น ถ้าจำไม่ผิดเมื่อคืนนี้มารดาของเขาเรียกเธอว่าอิง
“ครับ” เขาพยักหน้าช้าๆ เสียงเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้สึก ตรงกันข้าม มันเพราะเขารู้สึกมากจนต้องซ่อนมัน
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขาในที่สุด สีหน้าไม่ได้แสดงความดีใจ ไม่ได้มีแววตาวิบวับแบบคนที่มาตามหาคู่หมั้นในฝัน
ตรงกันข้ามเธอดูเหมือนไม่ได้จะคาดหวังจากเขา เขายกมือไหว้ทักทายพ่อแม่ของเอ และไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าพวกท่านพูดว่าอะไร เพราะตอนนี้เขาจับจ้องเพียงแค่เธอเท่านั้น
เธอยกมือไหว้เขาอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะ คุณภีม” น้ำเสียงเรียบเฉย ไม่อ่อนหวาน เขาสบตาเธอ แล้วพยักหน้ารับแทนคำทักทาย ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เจอเธออีกครั้งในสถานการณ์นี้
************************
เช้าวันใหม่ อิงลดาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธออยู่ในอ้อมกอดอุ่นของสามีที่ยังคงหลับสนิท แขนแข็งแรงของเขาโอบรอบเอวเธอไว้แน่น ราวกับกลัวว่าจะสูญเสียเธอไปอิงลดายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พลางมองใบหน้าหล่อเหลาในระยะใกล้ ใต้แววตาปิดสนิทนั้นคือความอ่อนล้า เธอรู้ดีว่าเมื่อคืนเขาอดกลั้นเพียงใด เพื่อให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่“น่าเอ็นดูจัง” เธอพึมพำเบาๆ ราวกับบ่น แต่แฝงไว้ด้วยความรักเธอไม่อยากให้เขาทรมานอีกต่อไป จึงขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น ปลายจมูกแตะเบาๆ ที่แก้มเขา ก่อนจะกดจูบอุ่นไล้ไปตามกรอบหน้า จากนั้นริมฝีปากอ่อนหวานก็จรดลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบาภีมวัชขยับตัวเล็กน้อย ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ เปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและร้อนแรง“ลักหลับพี่เหรอ” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยออกมา พลางยกมือมาประคองใบหน้าเธอไว้ อิงลดายิ้มเขิน ใบหน้าขึ้นสีจัดแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เธอก้มลงจูบเขาอีกครั้ง คราวนี้ยาวนานกว่าเดิม คล้ายเป็นการยอมรับอย่างเงียบๆภีมวัชถอนหายใจแผ่วๆ ดวงตาทอแววปรารถนา แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจว่าภรรยาจะเป้นอันตราย“หมอไม่ได้บอกว่าห้ามนี่คะ อีกอย่างพี่ภีมก็เป็นหมอ
เมื่อแขกผู้ใหญ่ทยอยกลับ เหลือเพียงบรรดาเพื่อนฝูง ญาติสนิท และเพื่อนร่วมงานใกล้ชิด บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนจากความเป็นทางการมาเป็นความครึกครื้นสนุกสนาน ดนตรีถูกปรับให้เร้าใจขึ้น แสงไฟหลากสีสาดไปทั่วฟลอร์ราวกับเปลี่ยนเป็นคลับหรูอิงลดาเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้สั้นระยิบระยับ โชว์เรียวขาสวยพอประมาณ ข้างกายคือภีมวัชที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนพับกับกางเกงเข้ารูป ดูหนุ่มเท่แต่ก็ยังคงความสุขุม“ชุดนี้พี่ไม่โอเค โป๊ไป”“ครั้งเดียวในชีวิต ไม่สวยเหรอคะ”“สวยสิ เจ้าสาวสวยเกินไปแล้วคืนนี้” ภีมวัชก้มกระซิบที่ข้างหู ทำเอาอิงลดาหน้าแดงจัด ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วกระซิบข้างหูของศัลยแพทย์หนุ่ม“ชุดนี้ ฉีกง่ายนะคะ ข้างในเป็นตาข่าย อิงกะจะให้พี่ภีมได้ฉีกมันคืนนี้”เขายิ้มกว้าง แววตาเต็มไปด้วยความพอใจ รู้ว่าภรรยาตั้งใจยั่ว แต่เธอท้องอยู่เขาจะกล้าลงมือหรือหมอหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย ดึงเธอขึ้นไปกลางฟลอร์เต้นรำ จังหวะดนตรีสนุกๆ ดังขึ้น เพื่อนๆ ก็ตบมือเชียร์กันสนั่น“วู้! หมอภีม เต้นเป็นด้วยเหรอนั่น” เพื่อนหมอชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา หมอนุ่นยืนหัวเราะพลางยกแก้วไวน์ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่เราเห็นในห้องผ่าต
สินีรัตน์ไม่พูดอะไรทันที แต่หยิบซองสีน้ำตาลจากมือ เดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะโยนใส่หน้าเขาเต็มแรงจนเอกสารข้างในกระจายเกลื่อนพื้น“นี่คือสิ่งที่คุณอยากได้ไม่ใช่เหรอ เอกสารฟ้องหย่า” น้ำเสียงเธอเย็นชา จ้องมองเขาอย่างไม่เหลือเศษเสี้ยวความรักในแววตา “แล้วคุณเคยบอกเองว่าไม่อยากมีลูก ไล่ให้ฉันไปทำแท้ง วันนี้คุณคงสมใจแล้ว เด็กไม่อยู่แล้ว ชีวิตคู่ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป”ภาณุยกมือสั่นๆ จะเอื้อมไปหาเธอ “สินี ผม…”เขายังพูดไม่จบ สายตาเย็นเฉียบของเธอตัดคำพูดเขาทันที ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักกลับกลายเป็นเย็นชาและเกลียดชัง“อย่าเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นอีก ตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” เธอกล่าวชัดถ้อยชัดคำ เธอหันหลังกลับ เดินเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองแม้เพียงเสี้ยววินาที ทิ้งเขาไว้กับกองเอกสารบนพื้น และแก้มที่ยังแสบร้อนจากรอยตบประตูบ้านปิดลง เหมือนตอกย้ำความจริงว่าเขาได้สูญเสียเธอไปตลอดกาลแล้วเขายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านราวกับถูกถอนวิญญาณออกไปทั้งร่าง สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูซึ่งไม่มีทางเปิดออกมาให้เขาได้เห็นใบหน้าของเธออีกคนขับรถที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ มองนายหนุ่มด้วยความลังเล ก่อ
เสียงรถที่แล่นผ่านหน้าบ้านสวนออกไปทำให้ภาณุชะงัก เขาจำได้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นของครอบครัวสินีรัตน์ หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น เขารีบรุดเข้าไปในบ้าน เห็นบิดาและมารดานั่งอยู่ในห้องรับแขก บรรยากาศเงียบกดดันจนเขาไม่กล้าเอ่ยทัก สองสามีภรรยามองตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะปรายตาใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับถึงบ้าน“สินีล่ะครับ อยู่ข้างบนหรือเปล่า” เขาถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบ ก่อนจะรีบก้าวขึ้นบันไดเมื่อรู้ว่าคงไม่ได้รับคำตอบง่ายๆเมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ภาพที่เห็นทำให้เลือดในกายเย็นวาบ ห้องโล่งผิดปกติ ตู้เสื้อผ้าแทบว่างเปล่า เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัวไม่มีเหลือแม้ชิ้นเดียว ราวกับเจ้าของห้องไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน“ไม่จริง” เขาพึมพำ ก่อนหันหลังวิ่งลงมา หยุดยืนตรงหน้ามารดาที่นั่งเงียบอยู่ “แม่ ของของสินีหายไปหมด แม่รู้ใช่ไหมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น”นงนาถถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “เมื่อกี้พ่อแม่ของหนูสินีเพิ่งมาเก็บของส่วนที่เหลือไป”“ส่วนที่เหลือ… หมายความว่าอะไรครับแม่” ภาณุถามเสียงแผ่วเหมือนไม่อยากได้คำตอบ“ก็หมายความว่าก่อนหน้านี้หนูสินีเก็บของกลับไปเกือบหมดแล้ว วันนี้เขาเพิ่งมาเอาที่เหลือให้เ
ทันทีที่รถตู้แล่นเข้าสู่กรุงเทพฯ และแวะพักที่บ้านเพียงไม่นาน ดาริกาก็จะออกไปตรวจดูสถานที่จัดงานฉลองแต่งงานในวันพรุ่งนี้ทันที“แม่จะไปดูห้องจัดเลี้ยง แม่อยากให้แน่ใจว่างานทุกอย่างพร้อม” ดาริกาพูดขณะก้าวลงจากรถ สีหน้ามีร่องรอยความกังวลชัดเจนภีมวัชเดินเคียงข้างภรรยา เอื้อมมือกุมมืออิงลดาเบาๆ พลางเหลือบตามองมารดา“นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับ แม่ก็อย่ากังวลเกินไปเลยครับ ออแกไนเซอร์มืออาชีพทั้งนั้น เขาคงไม่พลาดเรื่องใหญ่แบบนี้หรอก”“แม่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอกลูก” ดาริกาส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด งานที่เชียงใหม่จัดอลังการเกินคาด งานที่กรุงเทพเธอจะไม่ให้ลูกสะใภ้น้อยหน้า“งานใหญ่ทั้งที แขกผู้ใหญ่ในวงสังคมจะมาร่วมเยอะมาก ถ้ามีอะไรผิดพลาดนิดเดียว คนเขาก็จะเอาไปพูดต่อกัน อีกอย่างแม่อยากให้อิงมีความสุขที่สุด”“เพิ่งมาถึง พักก่อนเถอะครับ” พิทักษ์กล่าวด้วยความกังวล อารีย์เองก็มองด้วยแววตาที่ร้องขอ แต่ดาริกาก็กังวลใจ เพราะเธอเป็นแม่งานในครั้งนี้“ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจ งั้นเราก็ไปดูด้วยกันเถอะค่ะ” อิงลดาหันมามองสามีแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปบอกบุพการีของตน“คุณพ่อคุณแม่ก็พักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอิงกับพี่ภีมไปดูห้องจัดง
อิงลดานั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมยาวสยายลงมาปรกบ่า ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง เธอเอนตัวพิงหมอนกอดหมอนข้างเอาไว้เหมือนจะกันตัวเองจากใครบางคนที่กำลังยืนกอดอกจ้องอยู่“พี่ภีมจะยืนมองอีกนานไหมคะ” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่แววตาหวานที่เหลือบมองทำให้ภีมวัชยิ่งรู้สึกใจเต้นแรง“พี่รอเวลานี้มาทั้งวันแล้วนะอิง อยากกอดเมียจะแย่” เขาเดินเข้ามาใกล้ เตียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เมื่อเขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ“อิงรู้นะคะว่าพี่ไม่ได้แค่อยากกอดหรอก”เขาหัวเราะชอบใจก้มลงมองตาเธอใกล้ๆ “พี่สัญญาว่าจะดูแลอิง และดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด ถึงจะห้ามใจไม่อยู่แต่พี่ก็จะพยายามหักห้ามใจไม่ให้เป็นอันตรายกับลูก” เขาพูดซึ้งแต่แฝงไปด้วยการพูดทีเล่นทีจริงอิงลดายิ้ม ดวงตาคลอด้วยน้ำใสๆ เพราะความซาบซึ้ง เธอเอียงหัวพิงไหล่สามีเบาๆ ภีมวัชกอดเธอแน่นขึ้น ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา แทนคำสัญญาที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นถ้อยคำใดๆ“พักเถอะ วันนี้เราเหนื่อยกันมามากแล้วพี่ไม่แกล้งแล้ว” เขากระซิบ พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเธอ “อิงรู้ว่าพี่ภีมไม่ได้แกล้งหรอก พี่น่ะหื่นจริง แต่ช่วงนี้อิงขอนะคะอิงเหนื่อยมากจริงๆ” “รู้