Mag-log inมีคนกว้างขวางมาช่วยงานแบบนี้ก็ดีหน่อยจะได้เร็วขึ้น
โอ๊ย! ฝนไม่ได้กว้างขวางขนาดนั้นหรอกคุณก็พูดไป" ฝนพูดพลางเขินกับคำชมของเอก "แต่พอจะรู้จักอยู่บ้างนะ จะให้ฝนพาไปเลยไหมล่ะ?" "ก็ดีนะ ถ้าฝนสะดวก วันนี้เราก็ไปกันเลย" "งั้นก็ได้" ฝนตอบตกลงง่าย ๆ ระหว่างทาง ฝนชวนคุย "ทำไมงานคุณไม่ต้องนั่งอยู่ที่บริษัทตลอดเลยอะ? ได้เงินเดือนเยอะไหม? ทำไมดูชิล ๆ ทำหน้าที่อะไร?" "ตำแหน่ง Director of Special Projects (ผู้อำนวยการโครงการพิเศษ) " เอกตอบสั้น ๆ "แล้วทำไมคุณไม่ใช้ลูกน้องทำล่ะ ทำไมต้องลงพื้นที่เองให้ลำบาก แทนที่จะนั่งตากแอร์เย็น ๆ ในบริษัท?" ฝนถามอย่างสงสัย เอกยิ้มมุมปาก "นี่ไง...ลูกน้องอยู่ข้าง ๆ ผมนี่ไง" เขาตอบเขาตอบหน้าตาเฉยพร้อมกับพูดต่อว่า "ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทตลอดนี่ ขอแค่ทำงานได้ มีแผนงานนำเสนอได้ บริหารจัดการได้ ก็โอเคแล้ว" "แล้วส่วนใหญ่คุณก็ทำงานในที่แบบนี้ด้วยเหรอ?" "ใช่สิ ฝนเองก็ไม่ชอบทำงานในบริษัท ในออฟฟิศใช่ไหมล่ะ ฝนก็หาเลือกงานที่เหมาะกับตัวเองได้เลย ไม่เห็นจะยากเลย" ฝนถอนหายใจ "แต่ฝนรู้แล้วว่าฝนจะทำอะไร ฝนจะทำไร่ทำสวนนี่แหละ ฝนไม่อยากไปที่ไกล ๆ จากบ้าน ขนาดฝนไปเรียนแค่ 4 ปีกลับมา พ่อยังปล่อยบ้านให้คนเช่า แล้วถ้าฝนจะทำงานที่อื่นไกล ๆ นาน ๆ พ่อไม่ทุบบ้านฝนออกเป็นที่ปลูกมันเลยเหรอ?" เอกหัวเราะเบา ๆ "แล้วกระท่อมน้อยของฝนที่เดินเลยบ้านพักไปน่ะ พ่อก็ทำไว้ให้เหรอ?" "ใช่แล้ว! แต่คุณอย่าแม้แต่จะคิดเดินเข้าไปอีกนะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช่ใครที่ไหนก็จะเดินเข้าไปได้ในพื้นที่ของฝน" เธอพูดอย่างจริงจัง เอกพยักหน้า ฝนที่นึกขึ้นได้ "พูดถึงน่าจะเอามอเตอร์ไซค์ฝนมานะ มันเดินทางง่ายกว่ารถยนต์ เส้นทางแถวนี้มันแคบ เอารถยนต์มาทีถ้าเลี้ยวผิดกว่าจะกลับรถได้ก็ลำบาก หรือไม่คุณก็ลองซื้อมอเตอร์ไซค์ไว้สักคันสิ เผื่อไว้ 'แว้น' ไปทำงาน" "แว้นเลยเหรอ!" เอกทวนคำอย่างขบขัน "ใช่! แถวนี้เขาก็พูดกันแบบนี้แหละ 'แว้น แว้นๆๆๆ'" ฝนทำท่าทางบิดมอเตอร์ไซค์อย่างเมามัน "แล้วฝนขับเป็นตั้งแต่เด็กเลยไหม?" "ก็ไม่หรอก สักประมาณ 13-14 ปี ถ้าจำไม่ผิดนะ...พ่อเราสอน" เธอพูดแล้วก็ยิ้ม "ไม่ใช่สิ! พี่ชายเป็นคนสอน" "ไม่ยักรู้ว่ามีพี่ชายด้วย" "มีสิ! มีทั้งพี่ชายพี่สาวแหละ" "แล้วตอนนี้อยู่ไหนกันหมด?" "เขาก็ไปทำงานสิ เขาจะมาอยู่กันทำไม ใคร ๆ เขาก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์กันทั้งนั้นแหละ" เอกเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ กับคำว่า "ใคร ๆ ก็ต้องทำงาน" ของฝน "หัวเราะอะไรอีกแล้ว! หัวเราะเยอะแบบนี้อีกแล้วใช่ไหม?" ฝนทำเสียงขุ่นเคือง "เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก" เอกตอบพร้อมกับยิ้มบาง ๆ "ทางข้างหน้ามีปั๊มไหม น้ำมันรถจะหมดแล้ว" เอกเปลี่ยนเรื่อง "มีนะ ขับไปอีกนิดนึงเดี๋ยวก็มีอยู่ทางซ้ายมือ" ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็มาถึงปั๊มน้ำมัน เอกแวะเติมน้ำมัน "เดี๋ยวพี่ไปซื้อกาแฟ ฝนเอาอะไรไหม?" "กินชานมได้ไหม เขาขายไหมอะ? ไม่น่ามีหรอก งั้นเป็นนมสดก็ได้ นมสดเย็นนะ ฝนรออยู่ที่รถ ขี้เกียจเดิน" "ครับ" เอกตอบรับสั้น ๆ แล้วเดินลงจากรถไป ความอับอายของผู้บริหาร สักพักเอกก็เดินกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่ม 2 แก้วในมือ เขาเข้ามาในรถ วางเครื่องดื่มไว้ที่ช่องวางแก้วข้างเบาะ แล้วเอื้อมมือไปปิดประตูรถ ทันใดนั้นด้วยความหวังดี เอกพยายามจะหยิบแก้วนมสดให้ฝน แต่ด้วยความไม่ถนัด เขาเผลอไปจับที่ฝาแล้วยกขึ้น ทำให้ฝาเปิดออก นมสดหกเลอะเทอะไปทั้งเบาะ โชคดีที่ส่วนใหญ่ไหลลงไปในช่องวางแก้วพอดี จึงไม่เลอะมาก เอกตกใจ! ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเสียฟอร์มและเซ็งมาก แต่ฝนกลับไม่มีอาการตกใจใด ๆ เธอหันไปมองหาทิชชู เอกบอกว่าอยู่หลังรถ แล้วเอื้อมไปหยิบมาดึงออกเป็นฟ่อนๆ แล้วเริ่มเช็ดตรงขาที่เปื้อน และซับตรงพื้นอย่างเมามัน แต่ถึงอย่างไร นมสดที่ขังอยู่ในช่องวางแก้วก็ไม่สามารถซับออกได้หมด ด้วยความเฉลียวฉลาดของฝน เธอไม่รอช้า ใช้หลอดดูดนมสดขึ้นมา แล้วพ่นกลับเข้าไปในแก้ว เธอทำอย่างนั้นซ้ำ ๆ จนช่องวางแก้วแห้ง เหลือแต่น้ำแข็ง เธอก็ใช้มือโกยใส่มืออย่างรวดเร็ว เอกรู้สึกทึ่งในความฉลาดของฝนที่ตัวเขาเองคิดไม่ถึง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าขึ้นมาอีกครั้งเมื่ออยู่กับเด็กสาวคนนี้ แต่แล้วภาพที่ฝนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูดน้ำออกจากช่องวางแก้ว ก็ถูกคนที่อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อในปั๊มเห็นเข้า "เฮ้ย!!!ดูนั่นสิ! น่าจะหลอกเด็กมา...กลางวันแสกๆเลยนะ" เสียงซุบซิบจากนอกรถดังขึ้น "ถ้าอยากขนาดนั้นทำไมไม่ไปเปิดโรงแรม ทำอะไรกันที่นี่ในที่สาธารณะ น่าเกลียด! ดูหน้าตาก็ดี สงสารเด็กเนาะ ไม่รู้ว่าโดนบังคับมาหรือเปล่า?" เอกหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เขารู้ดีว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นเข้าใจมันผิดเพี้ยนไปไกล ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่คนพวกนั้นพูดกันจากภายนอกรถ แต่เขาก็พอจะรู้ได้ จากภาพที่คนภายนอกมองมา เอกทำอะไรไม่ถูก ได้แต่บอกฝนว่า "พอแล้ว! พอแล้ว!" แต่ฝนไม่หยุด หลังจากฝนจัดการพื้นที่ในรถเรียบร้อย เธอก็ถือกระดาษทิชชูที่เปียกชุ่ม และใช้หัวเข่าปิดประตูรถอย่างช้า ๆ คนที่เห็นภาพก่อนหน้าที่ฝนก้ม ๆ เงย ๆ ต่างก็ยิ้มแหย ๆ แต่มองด้วยความรังเกียจ แต่ฝนกลับไม่รู้เรื่อง เธอยิ้มตอบคนเหล่านั้น แล้วหอบกระดาษทิชชูในมือพร้อมกับแก้วเปล่าไปทิ้ง เอกที่นั่งอยู่ในรถตอนนั้นรู้ดีว่าภาพที่ออกมามันช่างสื่อนัยให้คนคิดถึงเรื่องลามกอนาจารได้เป็นอย่างดี เขารู้สึกอายและเสียหน้ามาก "ทำไมคนที่ดูสุขุมนุ่มลึกอย่างเรา ต้องมากลายเป็นคนหื่นกามโรคจิตแบบนี้? หรือว่านี่คือเหตุผลที่เด็กคนนี้เคยเรียกเราว่า 'ลุงหื่นกาม'?" เขาพูดกับตัวเองในใจ ฝนเดินกลับมาเปิดประตูรถเข้าที่นั่ง "เรียบร้อยแล้วค่ะ" เธอบอกด้วยรอยยิ้ม เอกสะดุ้ง "เรียบร้อยเป็นอะไร? ทำไมหน้าแดง ๆ? ไม่สบายหรือเปล่าคะ?" "ปะ...เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร น่าจะอากาศร้อน" เอกตอบเสียงตะกุกตะกัก ในตอนนั้นเขารู้สึกไร้ค่า ไร้ประโยชน์ และอับอายจากสายตาที่ผู้คนมองมา เขาถอนหายใจแล้วรีบขับรถออกจากปั๊มไปทันที เมื่อขับรถออกมาจากปั๊มได้สำเร็จ เอกถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจที่เคยนิ่งสงบดุจน้ำในบ่อกลับเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขามองกระจกหลัง เห็นตัวเองที่ดูเหมือนคนกำลังร้อนรน หน้าแดงก่ำราวกับโดนไฟลวก ผู้บริหารหนุ่มที่เคยสุขุม นุ่มลึก และมีมาดเข้ม ต้องกลับกลายเป็น 'คุณลุงหื่นกาม' ในสายตาคนอื่นอีกครั้ง ในใจเอกตอนนั้นพังทลายอย่างสิ้นเชิง ภาพลักษณ์ที่สร้างสมมาตลอดหลายปีไม่มีชิ้นดี เขาพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น "ทำไม! ทำไมต้องเป็นแบบนี้! ทำไมต้องเป็นเรา!" เขาได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ นึกถึงคำพูดของฝนที่ว่า "ใคร ๆ ก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ" คำพูดนั้นเคยทำให้เขายิ้มได้ แต่ตอนนี้กลับสะท้อนความไร้ประโยชน์ของเขาเอง ที่ไม่สามารถแม้แต่จะแก้ปัญหานมสดหกได้โดยไม่ทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้า เอกมองไปที่ฝนที่กำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ ใบหน้าเธอเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่เขากลับรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังหัวเราะเยาะในความพยายามอันไร้ค่าของเขาอยู่ และยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นไปอีกเมื่อตระหนักว่า คนที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพนี้ ก็คือเด็กสาวตรงหน้า ที่เพิ่งแสดงความฉลาดเฉลียวในการแก้ปัญหาอย่างไม่น่าเชื่อ "วันนี้พอแค่นี้แหละ เดี๋ยวพี่ไปส่งบ้านนะ"เสียงเอกพูดขี้นมาเพื่อตัดความว้าวุ่นในใจตัวเอง "ไม่ต้องๆ ลืมไปแล้วเหรอ?"รถคู่ใจฝนจอดอยู่บ้านพักคุณ เดี๋ยวฝนไปเอารถแล้วกลับเอง "โอเคครับ"เอกตอบสั้นๆ ฝนมองเห็นสีหน้าเอกพรางคิดในใจ'สงสัยอากาศร้อน' หน้าเขาถึงได้แดงก่ำขนาดนั้น เธอก็ไม่สนใจก้มหน้าลงเล่นมือถือต่อด้วยความสบายใจและไร้เดียงสาของเธอต่อไปนพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







