เข้าสู่ระบบโต๊ะอาหารเช้าในบ้านของนพพล
นพพล: (กินข้าวไปพลาง พูดไปพลาง) "เมื่อคืนหนูถามใช่ไหมว่าพ่อคุยอะไรกับเอกเขา? พ่อจะให้หนูไปทำงานกับเขานะ เตรียมตัวไว้เลย" ฝน: (หน้าเหวอ) "อะไรกันคะพ่อ! หนูไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ไม่ได้อยากทำงานในบริษัทสักหน่อย! ทำไมต้องให้หนูไปทำด้วย!" นพพล: "ก็อยากให้หนูมีประสบการณ์ไงลูก ไม่ได้ให้เป็นลูกจ้างเขาไปตลอดสักหน่อย" แวว (แม่เลี้ยง) : (ยิ้มเสริม) "แม่ก็คิดเหมือนพ่อ ลองไปทำดูเถอะ เผื่อจะได้เจอคนใหม่ๆ" ฝน: "ไม่เอาค่ะ! หนูไม่ชอบทำงานในบริษัท ไม่ชอบสังคมแบบนั้น อยากอยู่บ้านเฉยๆ!" นพพล: "คนเรามันต้องรู้จักโลกภายนอกบ้างสิ อยู่แต่ในไร่เนี่ย รู้จักแต่คนงานกับคนในพื้นที่ อนาคตจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไงถ้าไม่มีประสบการณ์เลย เชื่อพ่อเถอะ ถ้าไม่อยากเข้าบริษัทก็ไปช่วยพี่เอกเขาไปก่อน" ฝน: (เริ่มสงสัย) "เดี๋ยวนะคะ! เมื่อกี้พ่อเรียกเขาว่า 'พี่เอก' เหรอ! สนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ?" นพพล: "ก็ประมาณนึงแหละ! รู้จักกันตั้งนานแล้ว เมื่อคืนพ่อก็เลยตกลงให้เขาเรียกพ่อว่า 'อา' แล้วฟังดูดีกว่า" ฝน: "พ่อไปนับญาติกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ! ทำไมต้องไปนับญาติกับคนแบบนั้นด้วย!" นพพล: "ก็เขาเป็นคนดีออก เมื่อวานยังใจดีมาส่งฝนเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่ารถเราน้ำมันหมด" ฝน: "ใจดีอะไรกันคะพ่อ! มันก็แค่สิ่งที่เขาควรจะทำอยู่แล้ว! รถหนูน้ำมันหมดก็เพราะพาเขาไปร้านชำนั่นแหละ! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา รถหนูไม่เป็นแบบนั้นหรอก!" ทันใดนั้นฝนก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองยังจอดอยู่ที่บ้านพักของเอก ฝน: "พ่อ! ถ้าอย่างนั้นหนูไปเอารถก่อนนะ! ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเอาไปขายทอดตลาดหรือยัง หนูจะรีบไป!" นพพล: (หัวเราะเอ็นดู) "ใครเขาจะไปทำอะไรรถคันนั้นได้ ไม่มีใครเขาขโมยหรอก" ฝน: "พ่อพูดแบบนั้นได้ไง!" พูดจบก็รีบยัดข้าวเข้าปากแล้ววิ่งพรวดออกไป นพพล: (ตะโกนตามหลัง) "จะไปยังไงน่ะ! จะวิ่งไปเหรอ! ให้เด็กที่บ้านไปส่งก็ได้!" ฝน: "ไม่เป็นไรค่ะ! หนูไปเอง!" แวว: (ยิ้มและหันไปหาสามี) "ปล่อยเขาเถอะ เขาชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว"กลางถนนที่ฝนกำลังเดินไป
ฝนเดินไปตามถนนอย่างเซ็งๆ ในมือถือไม้เขี่ยไปเขี่ยมา เกว่งไปเกว่งมา จู่ๆ ก็เจอวัยรุ่นท้องถิ่นที่นั่งบนรถมอเตอร์ไซค์ ด้วง ขาใหญ่ประจำถิ่นพร้อมลูกน้องชื่อ วัด ด้วง: (ทำเสียงหล่อ) "น้องฝนจ๋า จะไปไหนให้พี่ด้วงไปส่งไหมจ๊ะ?" ฝน: (ทำหน้าเบื่อโลก) "ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน! ฉันมีขา ฉันเดินเองได้!" ด้วง: (ลงจากรถมาปัดเบาะ) "มาเถอะน่า ไปกับพี่ดีกว่าจะได้ไม่เหนื่อย" ฝน: (ไม่สนใจ เดินหนี) ด้วง: (ขับมอเตอร์ไซค์ตามช้าๆ) "ขึ้นรถเถอะน้องฝน" ฝน: (หันมาตะคอก) "นี่ไอ้ด้วงดักแด้! เลิกตามฉันสักทีได้ไหม! ไม่มีงานทำหรือไง! น่ารำคาญ!" ด้วง: "ไม่มีงานหรอกน้องฝน พอดีพ่อพี่รวย! พี่ไม่ต้องทำงานก็ได้ เดี๋ยวพี่ด้วงคนนี้จะดูแลน้องฝนเอง!" ขณะที่ด้วงกำลังโม้ รถยนต์คันหรูก็ขับมาจอดขวางหน้าฝนไว้ ด้วง (พูดภาษาอีสาน) : "รถไผวะ? ขับกวนตี...น แท้! มันบ่เบิ่งคนติ ว่าคนเขาย่างอยู่! มาจอดขวางเฮ็ดหยัง! (รถใครวะ! ขับรถกวนตี...น จัง! ไม่ดูคนบ้างเหรอว่าเขาเดินอยู่! มาจอดขวางทำไม!) " ด้วง (พูดภาษาอีสาน) : "มึงไปเบิ่งดู๊! มันเป็นไผวะ! (มึงไปดูสิ! มันเป็นใครวะ!) "ด้วงบอกวัดให้ไปดู ทันใดนั้น เอกก็ก้าวลงมาจากรถ เอก: "อ้าว ฝน จะไปเอารถเหรอ? ไปกับพี่สิ พี่เพิ่งไปซื้อน้ำมันมา กำลังจะเอาไปเติมรถให้พอดีเลย" ฝนที่อยากสลัดด้วงให้พ้นๆ รีบวิ่งขึ้นรถเอกไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา ทำให้เอกงง แต่ก็หันมายิ้มให้ด้วงกับวัดก่อนจะขับรถออกไป ด้วง (พูดภาษาอีสาน) : "บักอันนี้มันเป็นไผวะ! แม่มันนี่! มันคือมาเอิ้นผู้สาวกูขึ้นรถไปจั่งซั่น! มึงเคยเห็นมันบ่? (ไอ้นี่มันเป็นใครวะ! มันกล้าเรียกสาวขกูขึ้นรถไปได้ไง! มึงเคยเห็นมันไหม?) " วัด (พูดภาษาอีสาน) : "บ่เคยเลยลูกพี่! มันมาแต่ทางใดวะ! หรือว่ามันมาถ่ายละคร หล่อปานดาราว่ะ? (ไม่เคยเลยพี่! มันมาจากไหนวะ! หรือว่ามันมาถ่ายละคร หล่อเหมือนดาราเลย?) " ด้วง (พูดภาษาอีสาน) : "อ้าว! บักห่านี่แหม! มึงคือว่าจังซี่! (อ้าว! ไอ้หน้าห่านี่! ทำไมมึงถึงพูดแบบนี้!) " วัดถูกด้วงตบหัวไปทีหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะยืนมองรถเอกที่ขับออกไปอย่างหงุดหงิดด้วง (พูดภาษาอีสาน) : "แม่ครับ! บักหล่าอยากได้รถยนต์! แม่ซื้อให้บักหล่าแหน่! เบิ่งบักหล่าผิวดำเบิดแล้ว! บักหล่าตากแดดตากฝนหลาย! (แม่ครับ! ผมอยากได้รถยนต์! แม่ซื้อให้ผมหน่อย! ดูผมสิผิวดำหมดแล้ว! ผมตากแดดตากฝนเยอะเลย!) "แม่ (ในโทรศัพท์) : "สิเอาไปหยังล่ะลูก? หล่าขับเป็นอยู่บ่? (จะเอาไปทำไมลูก? ลูกขับเป็นเหรอ?) "ด้วง (พูดภาษาอีสาน) : "ขับบ่เป็นบักหล่าก็ไปหัดกะได้! แม่ขอพ่อให้แหน่เด้อ! (ขับไม่เป็นผมก็ไปหัดได้! แม่ขอพ่อให้หน่อยนะครับ!) " ด้วงพูดพร้อมกับร้องและกระทืบเท้าไปมาแม่ (ในโทรศัพท์) : "โอ๋ๆ บักหล่า ได้ๆ เดี๋ยวแม่สิขอพ่อให้! (โอ๋ๆ ลูก ได้ๆ เดี๋ยวแม่จะขอพ่อให้!) "
บักหล่า=สำหรับคนที่เรียก มักใช้เรียกลูกชายคนสุดท้องหรือเรียกเด็กผู้ชายด้วยความเอ็นดูบักหล่าหรือหล่า=สำหรับคนที่ใช้แทนตัวเอง จะสื่อความหมาย เช่นผู้ชายจะเป็น เป็น ฉัน ผม ลูกแต่ถ้าเป็นผู้หญิงมักจะใช้คำว่าอีหล่าก็กะสื่อถึงคำว่า ฉัน หนู ลูก...บทสนทนาในรถ
คนเมื่อกี้แฟนเหรอ” เอกทำหน้านิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงนุ้มนวลๆ “บ้า!” ฝนร้องเสียงหลงพร้อมส่ายหน้าแรงๆ ราวกับจะสะบัดคำถามนั้นทิ้งไปให้ไกล “อย่าถามแบบนี้อีกนะ ขนลุก! นั่นมัน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของลุงไกรสรคนมีอันจะกินในชุมชนแถวนี้แหละ วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากขอเงินพ่อแม่ เฮ้อ…ถ้าไม่มีพ่อแม่คอยหาเลี้ยงมันจะอยู่ยังไง สิ้นคิดจริงๆ!” เอกหัวเราะขำพรืดออกมา ก่อนจะรีบหุบปากฉับเมื่อฝนหันมามองขวาง “หัวเราะอะไร!” “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” “เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่ว่าขำ!” ฝนทำหน้ามุ่ย ก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “อื้อออ…คุณคิดว่าฉันไม่ทำการทำงานเกาะพ่อกินเหรอ? มันไม่เหมือนกันซะหน่อย อย่าเอามาเปรียบเทียบเลยนะ!”เมื่อมาถึงบ้านเช่าของเอก ฝนรีบเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งไปหารถมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่จอดอยู่ด้วยความดีใจปนเป็นห่วง เอกที่ยืนมองอยู่ได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วคิดในใจ ‘มันจะหายไปได้ยังไง เอาไปจอดทิ้งไว้ที่ไหน ยังไม่มีใครขโมยไปเลย’ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่หยิบขวดน้ำมันที่เตรียมไว้กำลังจะเอาไปเติมให้
“แล้วคุณรู้ด้วยเหรอว่าไปซื้อน้ำมันที่ไหน?” ฝนถามอย่างแปลกใจ “ก็เมื่อวานที่ไปซื้อของไงครับ พี่เห็นว่าป้าที่ร้านเขามีขาย ก็เลยตั้งใจตื่นแต่เช้าไปซื้อมาให้” “ก็โอเคนะ ถือว่ายังไม่แก่เท่าไหร่ รู้จักสังเกต” ฝนพยักหน้าอย่างชื่นชม เอกยิ้มแล้วส่ายหน้าในใจ ‘คนระดับนี้ การงานมั่นคง มีฐานะขนาดนี้จะไม่ให้รู้จักสังเกตได้ยังไง’ แต่แล้วเสียงโวยวายของฝนก็ดังขึ้น “เฮ้ยๆๆๆ จะทำอะไรนั่นน่ะ!?” “ก็เติมน้ำมันไง” “โธ่เอ๊ย! ใครเขาให้ทำแบบนั้น” ฝนพูดพร้อมกับแย่งขวดน้ำมันไปจากมือเอก “มา เดี๋ยวฝนจะทำให้ดู ทำแบบนั้นก็หกหมดสิ!” สิ่งที่เอกเห็นคือฝนยกขวดน้ำมันขึ้นเปิดฝาอย่างชำนาญ ก่อนจะเทน้ำมันลงในถังน้ำมันได้อย่างแม่นยำ ในใจเขาได้แต่รำพึงว่า “ทำไมเวลาอยู่กับเด็กคนนี้ถึงรู้สึกไร้ค่าตลอดเลยนะ? ปกติเราเป็นคนมีภาวะความเป็นผู้นำสูงมาก แต่พออยู่กับเด็กคนนี้ทีไรเหมือนเป็นคนไม่มีประโยชน์ทุกที” “ว่าแต่พ่อของฝนบอกหรือยังว่าจะมาช่วยงานพี่” เอกถามขึ้น“บอกแล้ว แต่ฝนยังไม่อยากทำหรอก ทำไมต้องให้มาทำด้วย เรียนจบมาไม่เห็นจะ
เกี่ยวอะไรกันเลย” ฝนบ่น “แล้วถ้าจะให้ทำ ต้องให้ทำหน้าที่อะไร มีเงินเดือนให้ไหม”
“แล้วฝนอยากเข้ามาทำในบริษัทหรือเปล่าล่ะ ถ้าเข้ามาทำก็มีเงินเดือนให้ ก็แค่ส่งเรซูเม่มาฝ่ายบุคคล” “โอ๊ย! ฝนยังไม่อยากทำหรอก พ่อนั่นแหละขยั้นขยอให้ทำ ฝนยังไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร อยากอยู่แบบนี้” “แล้วในช่วงนี้ ฝนมาเป็นผู้ช่วยพี่ก่อนได้ไหมล่ะ” “ผู้ช่วยอะไร” “ก็ช่วยทุกอย่างที่พี่ยังไม่คุ้นชินกับสถานที่ กับผู้คน กับการเดินทางไง งานง่ายๆ แค่ไปทำงานกับพี่ กลับกับพี่” “แล้วมีเงินเดือนให้ฝนไหมล่ะ” “ก็ต้องมีค่าเสียเวลาให้อยู่แล้ว พี่ไม่ใช้งานฝนฟรีๆ หรอก” “งั้นก็ได้ ก็น่าสนใจดี จะลองทำดู ถือว่าทำตามใจพ่อแล้วก็หาประสบการณ์” ฝนคิด “แล้วจะให้ฝนเริ่มงานวันไหน” “ฝนสะดวกวันไหนล่ะ” “เริ่มวันนี้เลยได้ไหม” “ก็ได้ แต่คุณจะให้ฝนใส่เสื้อผ้าแบบนี้เหรอ” “ก็แล้วแต่ฝนไง พี่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องการแต่งตัว เพราะงานของพี่ก็ไม่ได้ต้องเข้าออฟฟิศตลอดอยู่แล้ว” “แล้ววันนี้มีงานอะไรให้ฝนทำไหม” “จะว่ามีก็มีนะ ที่บริษัทที่มาเปิดใหม่ พี่ยังไม่มีที่จอดรถสำหรับพนักงาน ตอนนี้อยากได้ที่ดินแปลงหนึ่งไว้ทำเป็นที่จอดรถให้เป็นสัดส่วน เพราะบริษัทต้องเปิดใหม่มันยังไม่เข้าที่เข้าทาง จะให้จอดตามข้างถนนก็คงไม่ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ส่วนงานของพี่ซะทีเดียวหรอก แต่ในฐานะที่มาประจำการที่นี่ก็คงต้องทำ ในฐานะที่ฝนเป็นเจ้าถิ่น พอจะรู้ไหมว่าที่ดินแปลงไหนเป็นของใครบ้างรอบๆ บริษัทที่มาเปิดใหม่”นพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







