LOGIN"เฮ้ย วันนี้มีตลาดคลองถม!" เสียงใสของฝนเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ราวกับได้เจอขุมทรัพย์ล้ำค่าที่รอคอย "จอดเลยลุง ตรงนั้นแหละ!"
เอกพยักหน้าเงียบ ๆ เลี้ยวรถเข้าจอดท่ามกลางผู้คนและร้านค้ามากมาย สายตาคมมองแผ่นหลังเล็ก ๆ ของหญิงสาวที่ดูสดใสมีชีวิตชีวา เขาอมยิ้มบาง ๆ อย่างเงียบงัน ไม่พูดอะไร แต่ใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด "โห! วันนี้ตลาดใหญ่จังเลย ของกินเพียบ! อันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็น่ากิน" ฝนหันมาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เธอหยุดยืนอยู่ที่ร้านข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เพิ่งปิ้งเสร็จใหม่ ๆ กลิ่นหอมฟุ้ง "ป้าคะ ฝนเอา 10 ไม้ค่ะ" "เอาข้าวเหนียวด้วยไหมลูก?" ป้าแม่ค้าถาม "ไม่เอาค่ะ เอาแค่หมูปิ้งก่อน เดี๋ยวเดินหาอะไรกินต่อ เดี๋ยวกินข้าวแล้วมันจะอิ่ม" ฝนตอบพลางหัวเราะร่า เอกได้แต่ทำหน้างง แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร ระหว่างที่รอหมูปิ้ง ฝนหันมาคุยกับเอก "จะบอกให้นะลุง ร้านนี้อร่อยมาก! ฝนเคยกินมาตั้งนานแล้ว เวลามาแถวนี้จะซื้อป้าแกตลอดเลย คุณต้องลองนะเดี๋ยวจะติดใจ" เอกพยักหน้ายิ้ม ๆ เมื่อป้าใส่หมูปิ้งในถุงเรียบร้อย ฝนก็ยื่นถุงมาโชว์เอก "จ่ายตังค์สิ" เอกทำหน้าเหวอ หันไปถามแม่ค้า "ป้าครับ สแกนได้ไหมครับ?" "ได้เลยจ้า มีคิวอาร์โค้ดตรงเสานั่นแหละ" ป้าตอบ เอกกำลังจะสแกนจ่ายเงิน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นฝนทรุดตัวนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นใกล้ ๆ ขาของเขา และได้ยินเสียงเธอพูดว่า... "อร่อยไหม? เดี๋ยวพี่แบ่งให้ กินเยอะ ๆ นะ" ฝนใช้มือข้างหนึ่งแตะ ๆ ไปที่หัวของหมาจรจัดที่เข้ามาคลอเคลีย "เอาข้าวเหนียวด้วยไหมล่ะ? แต่เราคงไม่ชอบใช่ไหม งั้นกินแค่หมูแล้วกัน" เอกที่กำลังสแกนจ่ายเงินหน้าเหวอไปอีกรอบ เขาพยายามหันไปมองแต่ก็ยังไม่ทันได้เห็นทั้งหมด ฝนยังคงพูดต่อ "ดีเหมือนกันนะเด็กคนนี้... วันหลังชวนเพื่อนมาเยอะ ๆ นะ ถ้าเห็นพี่กับลุงคนนี้ เดี๋ยวลุงเขาจะเลี้ยง ลุงใจดี" เธอมองมาที่เอกพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ "ลุงเข้าใจดีที่พี่บอกใช่ไหมคะ" หลังจากเอกจ่ายเงินเสร็จ เขาก็หันกลับมาเห็นภาพของฝนที่กำลังพูดคุยและป้อนหมูปิ้งให้กับหมาจรจัด หน้าเขาถึงกับเหวอไป "นี่อย่าบอกนะว่าที่คุยเมื่อกี้ คุยกับหมา?" "ก็คุยกับหมาไง คิดว่าคุยกับใคร?" ฝนตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สา เอกทำหน้าเซ็ง "แล้วหมูปิ้งที่บอกจะให้พี่กินล่ะ?" ฝนมองถุงหมูปิ้งที่ว่างเปล่า "หมดแล้ว คุณก็ซื้อใหม่แล้วกัน อันนี้ให้น้องหมากินหมดแล้ว" เอกส่ายหน้า เดินหนีไปอย่างเงียบ ๆ "อะไร! แค่นี้ก็ไม่พอใจหรอ! ทำเป็นขี้งกไปได้ ก็แค่ให้น้องหมากินแค่นี้เองไม่เห็นเป็นอะไรเลย" ฝนวิ่งตามมา "มันก็ไม่ได้เป็นไรหรอก แต่มันไม่ควรไง เราจะไปนั่งป้อนอาหารหมาอยู่หน้าร้านเขาได้ยังไง ถ้าเป็นแบบนี้เวลาคนมาซื้อของ หมาก็จะมาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้าน มันก็สร้างความรำคาญให้เจ้าของร้านเขา" "เขาไม่รำคาญหรอก ถ้ามีคนใจดีเขาซื้อ เขาก็ซื้อให้หมากิน คนขายเขาก็ได้ขาย คุณอย่าเว่อร์หน่อย! แก่แล้วเป็นแบบนี้แหละ หัดมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมโลกซะบ้าง" ฝนเดินนำหน้าไปอย่างงอน ๆ เอกได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าเบา ๆ กับตรรกะของเด็กน้อยคนนี้ "จะรีบไปไหน? ไหนบอกของกินเยอะแยะ ไม่ซื้อแล้วหรอ?" "ไม่เอาแล้ว อารมณ์เสีย! กลับเลย ไม่อยากกินแล้ว" ฝนขึ้นรถไปอย่างหงุดหงิด เอกได้แต่ถอนหายใจ เดินตามไปขึ้นรถ ไม่เข้าใจเด็กวัยรุ่นยุคใหม่จริง ๆ ขณะรถติด เอกพูดขึ้นมาอีกว่า "พี่ไม่ได้ห่วงไม่ได้ว่าอะไรเราเลย ก็แค่บอกดี ๆ ... จังหวะ... แต่ก็แค่ได้วย ฝนจ่ายเองก็ได้ไม่เห็นเป็นไรเลย" "มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก ก็เหมือนที่บอก บางทีเราไปทำตรงหน้าร้านเขามันก็เกะกะคนขายของ" "โอ้ย! ช่างเถอะ ฝนไม่สนใจ ฝนไม่พูดแล้ว ไม่อยากคุยด้วยแล้ว คนใจดำแบบนี้" ฝนกอดอก หันหน้าไปทางหน้าต่าง แกล้งทำเป็นหลับไป รถกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง สักพักเอกจึงถามขึ้นมา "ชอบหมาหรอ เห็นคุยเป็นตุเป็นต่ะเหมือนมันรู้เรื่องเลย" ฝนยังคงเงียบ "หลับแล้วหรอ ทำไมไม่ตอบ" ก็ยังคงเงียบ เอกจึงไม่ถามต่อ ปล่อยให้เธอแกล้งหลับต่อไป รถมาจอดที่ปั๊มน้ำมัน เอกหันไปถาม "จะเข้าห้องน้ำไหม ถ้าไม่เข้าก็ล็อกรถด้วย" ฝนก็ยังคงเงียบ เอกได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินลงจากรถไป ทันทีที่เอกเดินออกจากรถ ฝนก็ลืมตาขึ้น ทำปากบ่นตามหลังเบา ๆ เมื่อเอกทำธุระเสร็จและเดินกลับมา ภาพที่เห็นคือฝนกำลังนั่งเล่นอยู่กับหมาจใกล้ ๆ ที่จอดรถ เขายืนมองอยู่พักหนึ่งอย่างงงงัน "เด็กคนนี้ถ้าจะชอบจริง ๆ เล่นซะมีความสุขเลย" ภาพที่เห็นคือฝนกำลังใช้นิ้วจิ้มไปที่จมูก และเอวของสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งดูสะอาดสะอ้าน ไม่น่าใช่หมาจรจัดเท่าไหร่ เขาจึงไม่อยากเข้าไปกวนเพราะเมื่อกี้เธอยังอารมณ์เสียอยู่เลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีแล้ว เอกจึงเดินไปซื้อกาแฟฆ่าเวลา ปล่อยให้ฝนเล่นอยู่กับหมา เมื่อเอกเดินกลับมา เขาก็เห็นฝนกำลังใช้น้ำดื่มล้างบริเวณใกล้ ๆ เท้า เขายิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและแอบคิดในใจ "สงสัยน่าจะเหยียบขี้หมาแหละ" เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย "อ้าว เป็นไรอ่ะ? อย่าบอกนะว่าเหยียบขี้หมา? ล้างให้สะอาดด้วยนะเดี๋ยวเหม็น" ฝนพยักหน้า "รู้แล้ว" เอกทำหน้างง สงสัยว่าทำไมวันนี้ฝนพูดน้อย ไม่ต่อปากต่อคำเหมือนทุกครั้ง ในขณะที่เธอกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แม่ค้าที่ขายของบริเวณนั้นก็ตะโกนขึ้นมา "คุณ ๆ คุณเสื้อดำนั่นแหละ! พาหลานไปโรงพยาบาลหน่อยนะ!" เอกหันซ้ายหันขวา และชี้หน้าตัวเอง "คุณนั่นแหละ! เมื่อกี้หลานคุณโดนหมากัด รีบพาไปฉีดยานะ ไอ้ตัวที่กัดก็เป็นหมาจรจัดด้วย ไม่รู้ว่ามันฉีดวัคซีนมาหรือเปล่า นู่นไง มันวิ่งไปนู่นแล้ว ไอ้หมาตัวสีดำ ๆ โน่น!" เอกหันไปมองตามที่แม่ค้าบอก เห็นหมาตัวสีดำที่ดูมอมแมมและดูเหมือนจะเป็นหมาจรจัดจริง ๆ ความกลัวที่มาพร้อมกับการรักษา ฝนเดินกลับมาจากห้องน้ำกำลังจะเปิดประตูรถ เอกจึงผลักประตูรถไว้ แล้วก้มลงดูบริเวณข้อเท้าของเธอ เห็นรอยเขี้ยวแดง ๆ อยู่จริง ๆ เขาจึงถามอย่างเป็นห่วง "ฝน...ไปโดนหมากัดมาใช่ไหม? บอกแล้ว สัตว์หน้าขนนะ จะไปให้มันเชื่องมันเป็นไปไม่ได้หรอก" "มันไม่ได้ตั้งใจ ฝนเล่นกับเจ้าตัวเล็กที่เป็นลูกหมาของป้า แต่ฝนไม่ระวังเอง ไปถอยหลังเหยียบเจ้าตัวดำที่มันนอนอยู่ มันแค่ตกใจก็เลยหันมางับขาเบา ๆ เอง ไม่ต้องไปว่ามันหรอก คนเรายังรู้จักปกป้องตัวเอง หมาก็เหมือนกันแหละ" ฝนยังคงพยายามปกป้องสุนัขตัวนั้น ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บ ฝนเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง เอกรีบสตาร์ทรถออกไปทันที "จะไปไหนคะ?" ฝนถาม "จะไปโรงพยาบาล" "ไม่ต้องไปก็ได้ แค่นี้เอง ฝนล้างแผลแล้วเมื่อกี้ ใช้น้ำเปล่าล้างไปแล้ว" "จะไม่ไปได้ยังไง! ไม่กลัวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือไง หมาตัวนั้นก็ไม่รู้ว่ามีเจ้าของไหมหรือฉีดวัคซีนแล้วหรือยัง" เอกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "มันไม่ได้กัดลึกขนาดนั้นค่ะ มันแค่เป็นรอยเขี้ยวนิดเดียวเอง ไม่ไปก็ได้..." เอกไม่สนใจคำพูดของฝน ทำหน้าจริงจังแล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ในขณะที่นั่งอยู่บนรถ เอกก็สังเกตอาการของฝน หน้าเธอเริ่มซีดเผือด ตัวเกร็ง และใช้มือบีบกันแน่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนกำลังไม่สบายตัวหรือกังวลอะไรบางอย่าง "ไม่สบายหรือเปล่า เป็นอะไรไหม?" เอกเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเธอ ฝนสะดุ้ง ถอยหน้าผากออก แล้วขยับไปติดหน้าต่างรถ "ไม่ได้เป็นไรค่ะ ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาล..." เอกคิดในใจอย่างเป็นกังวล "ทำไมโรคพิษสุนัขบ้ามันออกฤทธิ์เร็วจัง? เพิ่งโดนกัดไปเมื่อกี้เอง เด็กคนนี้จะเป็นบ้าแล้วหรือไงนพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







