ใช้เวลาสองชั่วยามกว่าจะกลับถึงบ้านของเสี่ยวเหอ เพราะดึกแล้ว น้องๆ หลับกันหมด จึงเหลือแต่ท่านพ่อท่านแม่และพี่หลันเหมย พี่สาวเป็นคนตื่นมาเรียกลุงเจาให้ไปเปิดประตู เพราะได้ยินเสียงเคาะหลายครั้ง
“ต้าจื่อ!! เสี่ยวเหอ! นี่พวกเจ้าสองคน..พวกเจ้า..ไปทำอะไรมา” ท่านพ่อแทบจะล้มทั้งยืน เมื่อเห็นว่าชิงถิงพาเสี่ยวเหอกลับมาบ้านดึกดื่น พวกเขากลัวว่าเด็กสองคนอาจก่อเรื่องทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกไปแล้ว
“เลือด!!” แม่เลี้ยงมองเห็นคราบเลือดที่เสื้อของชิงถิง และตกใจมากกว่าเดิม
“เอ่อ..ท่านอา ใจเย็นๆ ก่อนขอรับ” ชิงถิงพูด ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมด โดยข้ามตอนที่ตัวเองจูบปลอบเสี่ยวเหอไป เหมือนว่าเสี่ยวเหอเองก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน และมันทำให้ชิงถิงน้อยใจมาก
ท่านพ่อท่านแม่และพี่หลันเหมยรู้ทุกอย่างแล้วก็โกรธมาก แม่เลี้ยงเอาแต่ขอโทษเสี่ยวเหอและรู้สึกผิดอย่างมากที่ส่งนางไปเรียนที่สำนักศึกษาหญิง พี่สาวกอดน้องสาวไว้แน่นพร้อมปลอบใจตลอดเวลาที่ชิงถิงเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น
ท่านพ่อของเสี่ยวเหอถึงกับจะคุกเข่าขอบคุณชิงถิง ยังดีที่เขารั้งไว้ทัน
“ท่านอา อย่าทำเช่นนี้เลย ข้าเพียงผ่านทางไปเท่านั้น อย่าทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ไปเลยขอรับ อีกอย่างข้าคิดว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพราะจะเป็นเรื่องที่ทำให้เสี่ยวเหอเสื่อมเสียได้ ตัวข้าเองจะไม่พูดแน่ ท่านสบายใจได้
ข้าคิดว่าท่านควรใช้ข้ออ้างว่าเสี่ยวเหอนางไม่สบายหนัก จึงได้ให้คนที่บ้านไปรับตัวนางกลับมาตั้งแต่เมื่อวาน พอกลับมาถึงก็ลืมไปว่ายังเหลือข้าวของของเสี่ยวเหอ จึงได้ให้จื่อรั่วกลับไปเอา โชคร้ายที่นางเจอโจรปล้นระหว่างทาง” ชิงถิงวางแผนให้เสร็จสรรพ
“ขอบใจเจ้ามาก ต้าจื่อ หากไม่มีเจ้า ตาแก่อย่างข้าก็ไม่รู้เลยว่าลูกสาวของข้าจะเป็นเช่นไร ขอบใจเจ้ามากจริงๆ” พ่อของเสี่ยวเหอน้ำตาคลอเบ้า ทั้งที่ปกติเป็นคนเคร่งขรึมและเจ้าระเบียบเสมอ
“ข้าเต็มใจขอรับ เรื่องเล็กเพียงนี้ สองบ้านของเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน ท่านอาก็ช่วยบ้านข้าไว้หลายครั้ง เป็นสิ่งที่ข้าควรทำขอรับ” ชิงถิงถ่อมตัว พยายามปลอบใจผู้อาวุโส
“แล้วงานรวมตัวท่องบทกลอนครั้งหน้าเล่าเจ้าคะ ท่านพี่รับปากบัณฑิตเซี่ยหยางว่าจะส่งลูกสาวไปร่วมด้วยแล้วนะเจ้าคะ” แม่เลี้ยงถามสามีด้วยความกังวล
“งานรวมตัวเพื่อท่องบทกลอนของสำนักศึกษาหรือ มีงานเช่นนี้ด้วย..เอ่อ ข้าคิดว่าให้พี่หลันเหมยไปแทนเถิดเจ้าค่ะ นางมีความสามารถด้านนี้มากต่างจากข้า แม้พี่หลันเหมยไม่ได้เรียนก็ยังทำได้ดี นางคอยอ่านตำราเสมอเวลาว่างจากงานที่ทำเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหอรีบแนะนำ แม้จะไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย
“เจ้าท่องบทกลอนเป็นด้วยหรือ” ท่านพ่อถามลูกสาวคนโต
“พี่หลันเหมยถือว่าเป็นยอดในด้านนี้แน่นอนขอรับ รองนายกองมักให้ข้ามาขอพี่หลันเหมยเขียนให้บ่อยๆ” ชิงถิงให้คำรับรอง
ท่านพ่อจึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วตัวเองตัดสินใจผิดที่ส่งน้องสาวไปเรียน ที่จริงควรจะส่งเสริมพี่สาวมากกว่า แต่เพราะเห็นว่าพี่สาวเริ่มอายุมากแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ
ทั้งยังคิดว่าเป็นพี่สาวคนโต มีภาระในบ้านมากมาย จึงไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน ทำร้ายบุตรสาวคนโตโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เป็นไรถึงจะอายุยี่สิบแล้ว แต่หากมีความสามารถก็ไม่กลัวว่าจะขายหน้า” ท่านพ่อบอก
ทุกคนขอบคุณในคำแนะนำของชิงถิง แม้เขาจะตอบอย่างถ่อมตนว่าไม่เป็นไร แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาเพียงต้องการจะบอกว่า อย่าส่งเสี่ยวเหอของข้าไปที่ใดอีก
เมื่อเรื่องทั้งหมดจบลง ชิงถิงกลับค่ายกองทัพ เสี่ยวเหอได้กลับมานอนที่เตียงตัวเองอีกครั้ง
รุ่งขึ้นเสี่ยวเหอตื่นมาถามคนอื่นๆ แล้วพบรู้ว่าวันนั้นนางอายุสิบสี่ย่างสิบห้า วันนี้ท่านแม่ขอให้นางไปเก็บผักป่ากับสาวใช้อีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่จื่อรั่ว ในจวนของเสี่ยวเหอมีสาวใช้อยู่สองสามคน
ถือเป็นบ้านคนรวยในบ้านนอกแถบนี้ แต่ท่านพ่อไม่อยากให้ลูกๆ เป็นคนขี้เกียจ ไม่รู้จักเจียมตัว จึงบอกให้แม่เลี้ยง เลี้ยงดูลูกๆ ให้เหมือนลูกชาวบ้านคนอื่น ให้ลูกๆ ได้ทำงานหนักด้วย
เมื่อออกมานอกหมู่บ้านก็พบกับชิงถิงบนทางขึ้นเขา เขาเองก็กำลังจะขึ้นไปดูว่ากับดักที่ทำไว้บนเขามีสัตว์อะไรติดบ้าง เสี่ยวเหอดีใจมาก ในใจอยากเข้าไปกอดเขาเหมือนเมื่อวาน[1]
แต่ตอนนี้ชิงถิงยังเด็กอยู่มาก จึงได้แต่เดินตามและชวนคนปากหนักพูดคุย ถามคำก็ตอบคำ แม้สาวใช้จะรู้สึกว่าคุณหนูรองทำตัวไม่เหมาะสม แต่อีกใจก็คิดว่าเด็กๆ คงพูดคุยกันตามประสาคนที่โตมาด้วยกัน จึงไม่ได้ปรามอะไร
เสี่ยวเหอพูดไปสักพัก ก็วนกลับมาถึงเรื่อง ข้าวมื้อเที่ยง
“วันนี้ข้ามีเนื้อนะ” นางบอกเขา
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสี่ขวบอยู่หรือ ตอนนี้ข้าสามารถล่าสัตว์เองได้แล้ว เลิกเอาเนื้อมาให้ข้าสักที!” แต่ชิงถิงกลับหันกลับมามองนางด้วยสายตาดุ
“เข้าใจแล้ว” เสี่ยวเหอได้แต่หัวเราะแห้งๆ
หลังจากถูกเขาบ่น นางก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงเดินตามเงียบๆ สักพักเขาหันมามองหน้านาง สายตาอธิบายไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เสี่ยวเหอถาม
“เจ้าตามข้ามาทำไม” เขาดุนางอีกครั้ง
“เจ้าต้องไปเก็บผักป่าไม่ใช่หรือไรกัน” ชิงถิงทวนความจำของเสี่ยวเหอ
“เอ่อ พี่สุ่ย พี่ไปเก็บผักป่าด้านโน้นคนเดียวได้หรือไม่ ส่วนตัวข้าจะตามต้าจื่อขึ้นเขา” เสี่ยวเหอนึกขึ้นได้ จึงบอกให้สาวใช้แยกตัวไปเก็บผักป่า พร้อมกับหันไปส่งตายิ้มจ้องเด็กหนุ่มจนเขาหวั่นไหว
“ไม่ได้” เขาตอบเด็ดขาด
“ปกติข้าไม่ค่อยได้ออกมาเก็บผักป่ามากนัก ไม่ชำนาญ กลัวตกเขา แต่หากไปกับเจ้า ข้ารู้สึกมั่นใจและปลอดภัยมาก” เด็กสาวตอบหน้าซื่อตาใส
ชิงถิงยิ่งขมวดคิ้ว ทำหน้าบึ้งไม่พอใจ แต่ถึงจะหน้าบึ้งเสี่ยวเหอก็เห็นว่าเริ่มหูแดงเรื่อ นางรู้ดีว่าเขาเป็นบุรุษปากหนักจอมเขินอาย ทำเป็นหน้านิ่งไปเช่นนั้นเอง
“คุณหนูรอง ไปลำพังกับบุรุษ ไม่งามเจ้าค่ะ” พี่สุ่ยสั่งสอน
“ไม่งามอย่างไร ท่านพ่อข้ารู้จักต้าจื่อมานาน เขาไว้ใจให้ต้าจื่อดูแลพวกเราพี่น้องที่สุดแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าต้าจื่อของพวกเราเป็นคนดี เขาไม่ทำอะไรข้าอยู่แล้ว อีกอย่างเขาเก่งมาก หากข้าตกเขา ต้าจื่อต้องช่วยได้แน่ ข้าซุ่มซ่ามเช่นนี้ หากเป็นตกเขาไป พี่สุ่ยจะตามลงไปช่วยข้าได้หรือ” นางจึงพูดคำหวานเอาใจเขา
“..เอ่อ พี่สุ่ยวางใจ เดี๋ยวจะดูแลเสี่ยวเหอให้ จะช่วยนางเก็บผักป่าอีกแรง นางซุ่มซ่าม ทำงานก็ไม่ค่อยเป็น” เขาหันหลังและบอกสาวใช้ว่าจะช่วยดูแล คล้ายไม่ได้ใส่ใจ แต่หลังคอแดงก่ำ
“อ้อ เช่นนั้นขอบคุณเจ้ามากนะต้าจื่อ” สำหรับสาวใช้สุ่ยนั้น นางคิดว่ามีคนช่วยอีกแรงก็ดีกว่าทำงานกับคุณหนูรองที่ไม่ค่อยเป็นงาน ทั้งเด็กหนุ่มก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ดังที่คุณหนูรองว่าจริงๆ นางจึงขอบคุณชิงถิงและแยกตัวไป
[1] เมื่อวานของเสี่ยวเหอนะคะ ไม่ใช่เมื่อวานของชิงถิง เพราะนางเอกย้อนเวลาไปในอดีตที่พระเอกยังเด็กอยู่เลยค่ะ
“เรื่องคืนนี้อย่าให้ท่านพ่อเจ้ารู้เลย เดี๋ยวแม่จะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมเขาให้ เจ้าอย่าร้อนใจไป อย่างไรแม่ก็ไม่บังคับเจ้าให้แต่งกับคนที่เจ้าไม่พึงใจ” แม่เลี้ยงบอกเสียงอ่อนโยน“ท่านแม่..” เสี่ยวเหอรู้ดีว่าในใจแม่เลี้ยงไม่ได้รักตัวเองขนาดนั้น แต่แม่เลี้ยงก็เป็นแม่ที่มีเมตตาที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นแม่เลี้ยงของคนอื่นๆ นางร้องไห้วิ่งไปกอดท่านแม่ที่กำลังจะออกจากห้อง“ขอบคุณท่านมาก..ท่านแม่ ขอบคุณที่เลี้ยงดูข้ามาอย่างดี ..ชิงชิง..คือ..ต้าจื่อจะหาทางออกเรื่องนี้เจ้าค่ะ เขาบอกว่าจะไม่ยอมให้บ้านข้าต้องน้อยหน้าเสื่อมเสียศักดิ์ศรี ท่านไม่ต้องกังวล” เสี่ยวเหอพูดแม่เลี้ยงเองก็รู้ดีว่าต้าจื่อเป็นเด็กหนุ่มมีความสามารถ แม้บ้านจะยากจนไปสักหน่อย แต่จะต้องเป็นคนที่มีอนาคตไกล จึงปลอบใจเสี่ยวเหอ“ไม่ต้องคิดมาก ท่านพ่อของเจ้าเป็นคนมีเหตุผล ไม่ได้รังเกียจคนยากจน เด็กดีเช่นต้าจื่อทั้งยังเข้ากองทัพตั้งแต่อายุน้อย ท่านพ่อจะต้องเห็นอนาคตที่ดีของเขาและยอมให้เจ้าแต่งงานแน่”แล้วแม่เลี้ยงก็กลับไป คืนนั้นกว่าเสี่ยวเหอจะนอนหลับได้ก็เกือบเช้า ทั้งที่เหน็ดเหนื่อยกับการกระทำของชิงถิงมากแท้ๆ แต่นางก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากเต็มไป
เขาต้องการหาเสื้อตัวที่ดีที่สุดให้เสี่ยวเหอใส่ จึงค้นดูเสื้อผ้าทั้งหมด และเขาก็พบจดหมายน้อยของนางในที่สุด เขาไล่สายตาผ่านตัวอักษรที่เขียนว่าคิดถึง ก่อนจะมองไปทางตัวคนเขียนที่ยังคงนอนสั่นระริก‘ข้ารักนางมาก รักมากเหลือเกิน เสี่ยวเหอของข้า’เขามองคนรักแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ ก่อนจะวางจดหมายไว้ที่เดิม เตรียมเสื้อผ้าให้เสี่ยวเหอใส่ ตัวเขาลงไปจุดกองไฟข้างล่างห้าง เพราะกลัวว่ายิ่งดึกอากาศจะยิ่งหนาว หญิงสาวอาจจะไม่สบายได้เมื่อจุดกองไฟได้แล้ว ชิงถิงก็ไปช่วยเสี่ยวเหอใส่เสื้อผ้า อุ้มนางลงมานั่งผิงไฟด้วยกัน เพียงแต่..เขาไม่ยอมให้นางนั่งพื้น เขาเป็นคนอุ้มนางไว้บนตัก ราวกับนางเป็นเด็กน้อยเสี่ยวเหอไม่ทักท้วงเบียดซุกตัวเองกับอกกว้างของเขาอย่างสบายใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเป็นห่วงเกินไปของเขา“เจ้าหลับได้เลย ข้าจะดูแลเจ้าเอง หากใกล้เช้า ข้าจะปลุก..หรือเจ้าจะให้ข้าอุ้มไปส่งที่บ้านก็ได้” ชิงชิงของเสี่ยวเหอพูดเบาๆ คล้ายอยากจะเอาใจนาง หลังจากที่กระทำรุนแรงกับนางจนพอใจ น้ำเสียงผ่อนคลายและรักใคร่เสี่ยวเหอเงยหน้าขึ้น มองหน้าเขา เห็นว่าชิงถิงอารมณ์ดีมาก จึงตัดสินใจว่าตอนนี้เขาคงจะยอมรับฟังสิ่งที่นางพูดแล้ว“ข้ามี
แรงขยับของเสี่ยวเหอนั้นไม่อาจทำให้ถึงใจของเขา ชิงชิงจึงใช้มือดึงขา สองข้างของนางมากอดไว้ที่เอวตัวเอง กอดเอวบางอุ้มนางขึ้นไปนั่งบนหีบไม้ที่ใส่เสื้อผ้า“โอ๊ย..” นางรู้ว่าเขาเริ่มอ่อนโยนขึ้น อารมณ์ก็ดีขึ้นแล้ว จึงได้แกล้งร้องแผ่วเบาชายบ้าคลั่งรีบกอดนางขึ้นมา นึกว่ามีเสี้ยนตามหีบไม้ที่ยังเอาออกไม่หมด เขาอุ้มนางค้างคาไว้เช่นนั้นไม่ยอมให้แท่งหยกลำใหญ่หลุดออกจากถ้ำดอกไม้ เดินไปหยิบกางเกงที่อยู่ใกล้ที่สุดมาปูบนหีบไม้ เพื่อให้นางนั่งสบายขึ้น และตัวเขาเองจะได้ขยับแรงๆ ได้เท่าที่ใจต้องการเสี่ยวเหอได้แต่อมยิ้มมองความน่ารักของเขา หรือที่แท้แล้ว ชิงถิงรู้จักการรักหยกถนอมบุปผาเป็นอย่างดี เพียงแต่เขาไม่ชอบเช่นนั้น เมื่อชิงถิงเริ่มขยับสะโพก นางจึงฉวยโอกาสรีบกัดริมฝีปากของเขาเอาไว้“อื้ออ” เขาส่งเสียงครางเสี่ยวเหอพึงพอใจ หากเขาไม่ชอบการรักหยกถนอมบุปผา เสี่ยวเหอก็จะทำตามที่เขาต้องการ นางจึงกัดไปอีกหลายครั้ง“โอ๊ย..ซี๊ด” เขาร้องเสียงสุขสม“ข้ารักเจ้า เจ้าช่วยพูดว่ารักข้าบ้างได้หรือไม่ พูดให้ดังๆ ข้าอยากจะฟัง” หญิงสาวออดอ้อนชิงถิงมองตานาง นัยน์ตาสั่นระริกดีใจ ต่อให้นางจะโกหกหรือไม่ เขาก็ยินดีตกนรกขุมน
ชายหนุ่มซุกหน้าลงไปที่หลังคอ พรมจูบไปทั่วบริเวณนั้น เลื่อนไปกัดที่ปลายหู เสี่ยวเหอรู้สึกยากจะควบคุมเขาได้แล้ว จึงเริ่มด่าเขา“เจ้าคนบ้าคลั่ง” นางด่าเสียงดัง ไม่กลัวใครได้ยิน“หยุดนะชิงชิง ข้า..ข้ากลัว โอ๊ย..ข้าเจ็บ สารเลว เจ้าหยุดสิ..อื้อออ”“เจ้าเป็นของข้า ของข้าผู้เดียว ข้าไม่ยอมให้เจ้าไป ทำ กับใครทั้งสิ้น” เขาพร่ำพูดแต่คำซ้ำๆเสื้อที่มัดอยู่รอบตัวเสี่ยวเหอ ทำให้นางขยับแขนไม่ได้ อยากจะทุบตีเขาก็ทำไม่ได้ รู้ตัวอีกทีเขาก็จับสะโพกของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย และเริ่มสอดใส่เอ็นมังกรเข้าไปในตัวนางทันที“อึก..โอ๊ย..อื้อ” เสี่ยวเหอร้อง เพราะความคับแน่น แม้ว่าจะเจ็บน้อยกว่าครั้งแรกแล้วก็ตามเมื่อชิงถิงผู้บ้าคลั่งได้เริ่มสอดใส่ก็ขยับสะโพกรัว กระแทกกระทั้นรุนแรง จากที่เสี่ยวเหอด่าเขาอยู่ก็เริ่มส่งเสียงไม่เป็นคำ ได้แต่พูดอื้อๆ อาๆชิงถิงหยุดพักหายใจสักครู่ เสี่ยวเหอยังไม่ทันหายใจทั่วท้องก็ถูกอุ้มขึ้นเหมือนเด็กเล็ก เขาตัวทั้งใหญ่ทั้งสูง อุ้มนางในท่าแปลกประหลาด ทั้งสองคนหันหน้าไปทางเดียวกันเขาจับสองขาของนางยกและแยกออก เขาไม่ยอมให้มังกรตัวเขื่องหลุดออกจากกลีบดอกไม้ของนาง กระแทกกระทุ้งทั้งที่อุ้มนางอยู
เขารักนางอย่างบ้าคลั่ง ตรรกะเหตุผลคล้ายไม่มีความหมาย ต้องยั่วยุให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ก่อน เมื่อเขาปลดปล่อยจนใจเย็นลง นางจะค่อยๆ พูดค่อยๆ กล่อมเขา แล้วค่อยเล่าความจริงให้เขาฟังจะดีกว่าเมื่อตัดสินใจเช่นนั้น เสี่ยวเหอจึงพยายามผลักเขา แสดงให้เขารับรู้ว่านางไม่ยินยอม แต่เขาก็ไม่ยินยอม ต่างฝ่ายผลักไปผลักมาจนเล็บของเสี่ยวเหอเผลอไปขูดใส่ต้นคอของชิงถิง มีเลือดซึมออกมาเสี่ยวเหอได้กลิ่นเลือดจางๆ นางก็ตกใจอย่างมาก รีบดึงมือกลับและมองนิ้วตัวเองซึ่งมีคราบเลือดของเขาติดมาด้วย หญิงสาวหน้าซีด“ข้า..ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” นางออดอ้อนแต่เขาไม่สนใจ ชิงถิงจับมือของนางมาเลียตรงรอยเลือด เสร็จแล้วก็ก้มลงไปจุมพิตนางใหม่อีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก เสี่ยวเหอได้แต่พยายามผลักเขาออก“ต้องรีบดูแผล ข้าไม่ได้ตั้งใจ” นางกลัวว่าเขาจะเจ็บแต่เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บที่แผล ในใจของเขาเจ็บปวดมากกว่ารอยข่วนร้อยเท่าพันเท่า ชิงถิงจับมือนางทั้งสองข้างชูขึ้นไปบนหัวและเริ่มกอดจูบนางอีกครั้ง มือหนึ่งรวบมือทั้งสองข้างของนางเอาไว้ราวกับกรงขัง อีกมือคลึงบีบอกอิ่มของนางอย่างต้องการครอบครองชิงถิงจูบปากเสร็จก็เลื่อนลงมาจู
เสี่ยวเหอเองก็โมโหมาก ทันทีที่เขาปล่อยนางลง นางจึงวิ่งหนี แต่เขาก็รีบจับนางกลับมา ผลักนางติดกับต้นไม้กลางห้างและใช้สองแขนขังนางเอาไว้ เขากักนางเอาไว้เพียงหลวมๆ กลัวว่าเสี่ยวเหอจะเจ็บ แต่เสี่ยวเหอกลับตะโกนโวยวาย“ปล่อยข้า ข้าจะไปแต่งงานกับต้าหลี่ หรือไม่ก็จะเดินทางไปคืนนี้เลย ไปบอกตระกูลหยวนว่าจะแต่งงานด้วย” เสี่ยวเหอไม่ชอบใจเลย เวลาที่ชิงถิงไม่ฟังคำพูดของนางคำว่านางจะแต่งงานให้กับผู้อื่นคล้ายกับน้ำมันที่ราดบนกองไฟแห่งความหึงหวงของเขา ไหน้ำส้มแตกเต็มหัวใจล้นออกมาจนควบคุมไม่ได้ ไฟรักไฟแค้นก็ยิ่งโชติช่วง เขาจูบปิดปากเสี่ยวเหอเพื่อให้นางหยุดพูดเรื่องพวกนี้เสียทีเสี่ยวเหอรู้สึกโมโห ไม่ยินยอม เหตุใดเวลาเขาด่าทอว่านาง นางทำได้เพียงรับฟังและเสียใจ แต่เวลานางด่าทอว่าเขาบ้าง เขากลับทั้งจูบปิดปาก ทั้งยังมาโมโหใส่นางอยากจะพูดความจริงออกไปทั้งหมดแต่เขากลับไม่ยอมฟัง นางผลักเขาเต็มแรง พยายามหนีออกจากอ้อมกอดแกร่ง ชิงถิงที่เลือดขึ้นหน้าจะยอมได้อย่างไรเขากอดนางไว้ ซุกเข้าที่คอของนาง ขบเม้มอย่างจงใจ เบียดนางจนหลังของนางที่ติดกับต้นไม้เริ่มเจ็บ เขาใช้มือหนึ่งดึงเชือกผูกกางเกงของนาง ดึงถอดกางเกงของนาง