LOGIN“หรือว่าจะลืมมารับเรา…เฮ้อ”
เธอพ่นลมหายใจผ่านจมูกสวยโด่ง เพราะคิดว่าสามีหน้ามึนฝีปากกล้า ต้องลืมมารับเป็นแน่ หรือไม่ก็จงใจไม่มารับ แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงนั่งรอ เพราะคิดว่าเขาคงไม่ใจร้ายขนาดนั้น จนเจ้าหล่อนทนรอไม่ไหว ตัดสินใจจะเดินกลับมาที่บ้านเอง ช้องนางพยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินตรงกลับบ้าน เท้าบางรีบจ้ำอ้าว เพราะยิ่งเดินออกมาไกลจากฟาร์มเท่าไร ทางก็ยิ่งมืด ไร้ซึ่งแสงไฟ แถมมีแต่หมอกลง จนแทบมองไม่เห็นเส้นทาง
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ช้องนางรับรู้ถึงความผิดปกติ ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังเดินตาม ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะทำใจกล้าหันกลับไปมอง ก็พบกลุ่มชายสามคน กำลังเดินตามมาด้วยอาการเมามาย เจ้าหล่อนรีบเร่งฝีเท้าทันที รับรู้ได้ถึงภัยที่จะเกิดขึ้น ซึ่งกลุ่มชายพวกนั้นก็รีบวิ่งมาขวางหน้าเอาไว้
“คุยกันก่อนสิครับนางฟ้า ตกมาจากสรรค์ชั้นไหนหรือครับ” เสียงเมามายเอ่ยถาม พลางมองสำรวจไปทั่วร่างนวล แล้วคว้าข้อมือเล็กพร้อมกับดึงให้เข้ามาใกล้
“ฮ่าฮ่า กูว่าสวรรค์คงประทานนางฟ้ามาให้เรา” ชายอีกคนพูดเสริม
“ประทานมาให้เราปู้ยี่ปู้ยำใช่ไหมวะ” ชายคนแรกพูดอีกครั้ง ก่อนที่เสียงหัวเราะของทั้งสามคนจะดังขึ้น
ช้องนางพยายามสะบัดข้อมือหนาให้หลุด
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ ฉันมีสามีแล้ว” เธอร้องบอกปากคอสั่น หวังว่าชายสามคนนั้นจะเปลี่ยนใจเมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นมีสามีแล้ว แต่ทว่ามันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะชายหนึ่งในนั้นเอ่ยกลับว่ามาอย่างขบขัน
“มีแล้วสิดี มันจะได้เจนจัด พวกพี่จะได้ไม่ต้องสอน”
“ปล่อยนะ อย่ามาจับฉันนะ” ดวงตาคมสั่นระริกพยายามดิ้นรนสุดความสามารถ
“ปล่อยนะ อย่านะ”
“อย่าร้องสิ เก็บเสียงไว้ร้องกับพวกพี่ดีกว่า”
“ฉันขอร้อง ปล่อยฉันไปเถอะ” เธออ้อนวอนทั้งน้ำตา มือทั้งสองยังคงออกแรงสะบัดเพื่อให้พ้นจากพันธนการ ดวงตาเล็กเต็มไปด้วยความกลัว แข้งขาสั่นเทา เจ้าหล่อนพยายามมองหาทางรอด แต่จะถอยหลังก็ไปติดกับชายอีกคน เดินหน้าก็ไปติดกับชายอีกคน เรียวปากสั่นเม้มแน่น ในใจได้แต่ภาวนาให้มีคนมาช่วย หรือไม่ก็ขอให้สามีใจร้ายมาช่วย โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาลืมไปด้วยซ้ำว่า ต้องมารับเธอ
มือน้อยทุบตีสะเปะสะปะ พยายามต่อสู้กับชายทั้งสามสุดกำลัง แต่เพียงไม่นานใบหน้าเล็กก็ต้องเหยเก แล้วปล่อยให้ชายคนหนึ่งอุ้มตัวไป เจ้าหล่อนถูกชกเข้าที่ท้องอย่างแรง น้ำตาใสไหลพราก สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
“ถ้าไม่ดิ้นก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้วอีคนสวย” หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเหี้ยม พร้อมกับแบกร่างน้อยที่หมดฤทธิ์แล้วไปยังกระท่อมร้าง ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก
“เอามันไปที่กระท่อมร้างละกัน ให้พ้นจากเขตของมันไปก่อน กูไม่อยากจะมีปัญหากับมันสักเท่าไร”
“เออ เอาแบบนั้น กูก็ไม่อยากมีปัญหากับมันเหมือนกัน” ทั้งสามไม่ยอมเอ่ยว่าใครคนนั้นที่กำลังพูดถึงคือใคร เพราะชื่อนี้มันทำให้พวกเขาทั้งขยาดทั้งกลัว
คนหมดหนทางสู้ภาวนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สามีผู้ที่ชิงชังในตัวเธอมาช่วย หรือไม่ก็เป็นใครก็ได้ที่สามารถช่วยเธอจากขุมนรกตรงนี้ได้ พลางตัดพ้อกับโชคชะตา ทำไมกันหนอหล่อนจะต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ด้วย
ทันทีที่ถึงกระท่อมร้าง ช้องนางก็ถูกโยนลงไปกลางกระท่อม ใบหน้าเล็กนั้นเหยเกมากขึ้นเพราะแรงกระแทก ก่อนที่จะพยายามยันตัวลุกขึ้นเพื่อจะหนี แต่ด้วยความเจ็บ ทำให้ไม่สามารถพยุงตัวลุกขึ้นได้ ดวงตาคมนั้นต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าชายทั้งสามกำลังถอดเสื้อผ้าออกจากตัว
“ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้อง”
เธอวิงวอนด้วยหยาดน้ำตา น้ำเสียงสั่นพร่า ความกลัวเริ่มกัดกินในหัวใจมากยิ่งขึ้น ได้แต่ภาวนาอีกครั้งให้มีคนมาช่วย แต่ความหวังมันคงริบหรี่ เพราะป่านนี้ทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้ว คงไม่มีใครคิดจะออกมาที่ฟาร์ม และสามีใจร้ายก็คงลืมไปแล้วว่าต้องมารับ หรือไม่เขาก็จงใจจะไม่มารับ
แล้วเสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นเมื่อชายทั้งสามพยายามกระชากเสื้อผ้าตัวสวย
“กรี๊ด!! อย่า ฉันขอร้อง อย่าทำฉัน” หญิงสาวพยายามปัดมือหนาออก แต่ทว่ากลับโดนตบเข้าอย่างจังที่ใบหน้า
“ฮือ พ่อขา นางเหนื่อยแล้วค่ะ นางไม่อยากจะสู้แล้ว เขาไม่เคยมองนางในแง่ดีเลย มีแต่กล่าวหานาง เขาคงเกลียดนางมาก เขาคงไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีนางเป็นเมีย ฮือ...นางผิดหรือคะ ที่ทำเพื่อช่วยครอบครัว” น้ำตายังคงไหลริน หัวใจดวงน้อยมีแต่รอยแผล และมันคงยากที่จะเยียวยารามันไม่ได้ใส่ใจคนที่วิ่งร้องไห้ไป เขาเดินตรงไปสะสางงานต่อ พอได้เวลาอาหารค่ำก็กลับมา ก่อนจะยกคิ้วขึ้นสูงเมื่อไม่เห็นเมียตีทะเบียน ไหล่หนายกขึ้นสูงอย่างไม่ใส่ใจ คิดว่าหญิงสาวคงเรียกร้องความสนใจ อยากให้ง้อ แต่คนอย่างเขาไม่คิดที่จะง้อใคร ยิ่งเป็นเมียคนนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางป้าน้อยอยากจะเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ช้องนางไม่ยอมมากินข้าว แถมพอหล่อนไปตามก็ต้องตกใจ เพราะดวงตาสวยบวมช้ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามเพราะมันเป็นเรื่องของเจ้านาย“มีอะไรหรือเปล่าครับป้าน้อย” เมื่อเห็นว่าป้าน้อยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา เสียงเข้มจึงต้องเอ่ยถาม“ทะเลาะอะไรกันคะ ทำไมหนูนางร้องไห้ไม่ยอมมากินข้าว”“ป้าอย่าไปสนใจเลยครับ นิสัยเด็กแบบนั
“ฮือ พ่อขา นางเหนื่อยแล้วค่ะ นางไม่อยากจะสู้แล้ว เขาไม่เคยมองนางในแง่ดีเลย มีแต่กล่าวหานาง เขาคงเกลียดนางมาก เขาคงไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีนางเป็นเมีย ฮือ...นางผิดหรือคะ ที่ทำเพื่อช่วยครอบครัว” น้ำตายังคงไหลริน หัวใจดวงน้อยมีแต่รอยแผล และมันคงยากที่จะเยียวยารามันไม่ได้ใส่ใจคนที่วิ่งร้องไห้ไป เขาเดินตรงไปสะสางงานต่อ พอได้เวลาอาหารค่ำก็กลับมา ก่อนจะยกคิ้วขึ้นสูงเมื่อไม่เห็นเมียตีทะเบียน ไหล่หนายกขึ้นสูงอย่างไม่ใส่ใจ คิดว่าหญิงสาวคงเรียกร้องความสนใจ อยากให้ง้อ แต่คนอย่างเขาไม่คิดที่จะง้อใคร ยิ่งเป็นเมียคนนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางป้าน้อยอยากจะเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ช้องนางไม่ยอมมากินข้าว แถมพอหล่อนไปตามก็ต้องตกใจ เพราะดวงตาสวยบวมช้ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามเพราะมันเป็นเรื่องของเจ้านาย“มีอะไรหรือเปล่าครับป้าน้อย” เมื่อเห็นว่าป้าน้อยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา เสียงเข้มจึงต้องเอ่ยถาม“ทะเลาะอะไรกันคะ ทำไมหนูนางร้องไห้ไม่ยอมมากินข้าว”“ป้าอย่าไปสนใจเลยครับ นิสัยเด็กแบบนั
ช้องนางสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ความคิด เหล่ไปมองเล็กน้อย เมื่อเจอสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตานั้นช่างดูถูก เหยียดหยาม เจ้าหล่อนก็หันกลับมาทำกับข้าวต่อ ไม่อยากจะสบสายตาคู่คม ทำไมกันเขาถึงไม่ยอมมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนบ้าง ทำไมต้องมองด้วยสายตาเหยียดหยามตลอด“เฮ้อ”“มัวแต่ถอนหายใจกับข้าวมันจะเสร็จไหม”“นางจะรีบทำค่ะ” เธอรีบตอบไม่อยากจะมีปัญหากับอสูรตนนี้ เดี๋ยวตอบช้าก็จะพาลมาหาเรื่องกันอีกจัดการลงมือทำกับข้าวต่อ ไม่ถึงสิบนาทีกับข้าวทุกอย่างก็พร้อมเสิร์ฟ คนนั่งรอก็ตีหน้านิ่ง จนช้องนางแอบหมั่นไส้ บางวันก็นิ่ง บางวันก็ดุอย่างกับยักษ์ คนอะไรช่างมีหลายอารมณ์เสียจริง“แล้วจะยืนหาพระแสงอะไร นั่งลงมากินข้าวสิ พิรี้พิไรอยู่ได้”“ค่ะ” ตอบรับแล้วลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเอาชนะใจอสูรไร้หัวใจได้สักที หรือว่าชาตินี้จะไม่มีหนทาง คิดแล้วก็กลุ้มใจ ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองหาวิธีเอาชนะใจชายคนนี้ได้เสียทีกาลเวลาค่อยๆ เปลี่ยนผัน จากชั่วโมงเป็นวัน วันเป็นเดือน ช้องนางมาอยู่ที่นี่ในสถานะเมียกึ
ตั้งแต่วันที่ปะทะคารมกับช้องนางอย่างดุเดือด กระชากเจ้าหล่อนเข้ามาจูบอย่างเร่าร้อน รามันก็พยายามเลี่ยงไม่เข้าใกล้ ทำใบหน้าเรียบตึงใส่ บางครั้งก็เสแสร้งทำเป็นไม่เห็น ทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนยืนอยู่ตรงหน้า เหตุผลก็เพราะหัวใจแกร่งมันดันเต้นผิดจังหวะเวลาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกอยากจะครอบครองริมฝีปากบางนั้นอีกครั้ง จนต้องข่มใจไม่ให้เข้าใกล้กระทั่งวันนี้วันที่โรสนั้นโทรมา อยากจะคุยกับลูกสะใภ้คนโปรด ทำให้เขาต้องเข้าใกล้ โดยเจ้าหล่อนกำลังวุ่นกับการทำครัว“แม่ฉันอยากจะคุยด้วย” ยื่นโทรศัพท์ไปให้ แต่เมื่อเห็นว่าช้องนางยื่นมือมารับ ก็ชักโทรศัพท์กลับแล้วก้มลงกระซิบบอกวาจาร้ายกาจข้างหูขาว“ตอบคำถามให้มันดีๆ ละ คงรู้นะที่ฉันพูดหมายความว่ายังไง รู้ใช่ไหมหากตอบไม่ดีจะเจออะไร” ขู่เสียงเหี้ยมช้องนางพยักหน้าหงึกหงักรับ ใครจะกล้าพูดขัดใจอสูรเช่นเขา ขืนทำมีหวังอสูรผู้โหดเหี้ยมได้กลับมาอีก ขอให้มันเงียบสงบแบบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่าน เพราะหล่อนจะได้ไม่ต้องเจ็บช้ำใจ ไม่ต้องฟังวาจาเหยียดหยาม“สวัสดีค่ะคุณหญิง”“เดี๋ยวจะตีให้ตายเลย ต้องเรียกว่า
“ผมไม่ห้ามคุณหรอกครับ ผมเองก็ต้องขอโทษคุณด้วยซ้ำ นี่ถ้าวันนั้นกล้องวงจรของผับผมไม่พัง ป่านนี้คุณคงรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ยังไงผมก็ขอให้คุณเจอเธอเร็วๆ นะครับ ผมเอาใจช่วย" เขาตบบ่าเบาๆ แล้วจากไปหัวใจแกร่งกระตุกวูบทุกครั้งเมื่อก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ภาพเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อนแวบเข้ามาในหัว ยังคงจำเสียงร้องเจ็บปวดของผู้หญิงคนนั้นได้ดี เขารู้ดีว่าตัวเองเลวแค่ไหน พอเหล้าเข้าปากจนเมามาย ทำให้เขาพร่าพรหมจรรย์ของผู้หญิงคนหนึ่ง แถมพอตื่นขึ้นมาก็จำอะไรแทบไม่ได้ กระทั่งหน้าตาของเจ้าหล่อน เขาก็ยังคงจำไม่ได้“มาคนเดียวหรือคะ ให้หนิงนั่งเป็นเพื่อนไหม”หลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อได้ยินเสียงหวาน ก่อนจะหันไปมอง แล้วพบว่าผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอยู่ในอาการเมามาย ส่งยิ้มหวานฉ่ำมาให้ แถมยังลูบไล้ไปตามร่างกาย“ไม่เป็นไรครับ ผมขอนั่งคนเดียวดีกว่า”“ทำไมล่ะคะ ก็หนิงอยากจะนั่งด้วยนี่คะ ยิ่งนั่งที่ตักด้วยยิ่งดี” พลันขยับมานั่งข้างๆ“งั้นก็ตามใจครับ” ในเมื่อปฏิเสธแล้ว อีกฝ่ายก็ยังคงตื๊อ เขาก็ไม่อยากจะปฏิเสธให้เสียหน้า ริมฝีปากหนาต้องเม้มแน่น ตั้งแต่มานั่งตรงนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจับจ้อง จนรู้สึ
“แกไปหาหนูรีมาเหรอ”รามันพยักหน้าตอบและพ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา“แล้วหนูรีเป็นไงบ้าง?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าเด็กน้อยคนนี้มีความสำคัญกับเพื่อนรักมากแค่ไหน เรียกว่าตอนนี้ที่หัวใจดวงแกร่งยังเต้นอยู่บ้าง ไม่ได้ด้านตายไปซะหมด ก็เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้“ยังเหมือนเดิม” รามันตอบเสียงเศร้า พลางนึกถึงความน่ารักของลูกสาวสุดรัก“พ่อรามันขา อุ้มหนูรีหน่อยนะคะ หนูรีคิดถึงพ่อรามัน พ่อรามันเหนื่อยไหมคะ เดี๋ยวหนูรีจะนวดให้”เมื่อนึกถึงเสียงออดอ้อน ใบหน้าเล็กที่ฉีกยิ้มทีไรก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคมได้ทุกครั้ง แต่ก็ต้องกำมือแน่นด้วยความโกรธแค้นเมื่อนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เสียงออดอ้อนนี้หายไป เหลือไว้แต่ความเศร้าและร่างที่เกือบไร้วิญญาณ สามปีเต็มแล้วสิที่ลูกสาวของเขาต้องนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา สามปีแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงออดอ้อน ไม่ได้เห็นความน่ารักของเด็กคนนี้แววตาที่เศร้าลงถนัดตาของเพื่อนรัก ทำให้กิจเดินไปตบบ่าเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ“แกเชื่อฉันนะ อีกไม่นานหนูรีก็ฟื้นมา หนูรีเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี ฟ้าต้องเห็นใจ” พลางยกนาฬิกาขึ้นมาดู เพราะตนต้องไปเข้าเวรตรวจคนไข้“ฉันไปก่อนนะเพื่อน มีตรวจคนไข้ ส่วนแกไปรับเ







