ทางด้านของ...เจ้าทองหลังจากที่มนตรีเดินออกมาจากบ้าน วิญญาณของเด็กชายก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็งทันที
เขาลอยตัวขึ้นสูงเล็กน้อย ซ่อนกายโปร่งแสงของตนไว้ในเงาของต้นไม้และชายคาบ้าน กลายเป็นเงาไร้ตัวตนที่เคลื่อนที่ตามบุรุษผู้เป็นเป้าหมายไปอย่างเงียบกริบ
ค่ำคืนในซอยเล็ก ๆ นั้นเงียบสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ประสานเสียงกันเป็นจังหวะ และเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของมนตรีที่ดังกระทบพื้นดินเป็นระยะ
แสงจากตะเกียงในมือของชายหนุ่มสาดส่องไปเบื้องหน้าเพียงเล็กน้อย สร้างเงาตะคุ่มที่เต้นระริกไปมาตามการก้าวเดินชวนให้บรรยากาศดูว้าเหว่และอ้างว้างยิ่งนัก
มนตรีเดินไปได้ไม่ไกลนัก เขาก็หยุดลงที่หน้าเพิงไม้ขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งเปิดไฟสีเหลืองสลัวเอาไว้ ที่นี่คือร้านขายของชำกึ่งร้านเหล้าเถื่อนที่เปิดตลอดคืนสำหรับเหล่าผู้ใช้แรงงานกะดึก
"เจ๊...เหมือนเดิม" เขาเอ่ยขึ้นเสียงห้วน
"เอ้า...จะไปทำงานแล้วยังจะกินอีกเรอะอามนตรี" หญิงชราเจ้าของร้านเอ่ยทักอย่างคุ้นเคย
"เอาน่าเจ๊...ย้อมใจนิดหน่อย งานมันหนัก" เขาตอบกลับสั้น ๆ พร้อมกับยื่นเงินให้
มนตรีรับขวดเหล้าขาวขนาดแบนมา เขาเปิดฝาแล้วกระดกมันเข้าปากไปอึกใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วออกเดินต่อไปทันที เจ้าทองที่ลอยตัวสังเกตการณ์อยู่บนหลังคาได้แต่ทำจมูกฟุดฟิด...
'น้ำเหม็น ๆ แบบนั้นอร่อยตรงไหนกันนะ' กุมารน้อยคิดอย่างไม่เข้าใจพร้อมกับยกมือเกาหัวไปด้วย
ยิ่งกุมารทองตัวน้อยลอยตามร่างของมนตรีที่เดินลึกเข้าไปในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งมากเท่าไหร่ บรรยากาศสองข้างทางก็ยิ่งเปลี่ยนไป
เหล่าเสียงแมลงกลางคืนเริ่มเงียบลง ถูกแทนที่ด้วยเสียงฮึมฮัมของเครื่องจักรและเสียงร้องต่ำ ๆ ของสัตว์ที่ดังแว่วมาแต่ไกล และที่สำคัญคือกลิ่น...กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ปะปนมากับกลิ่นสาบและกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ราคาถูก
ในที่สุดมนตรีก็มาถึงจุดหมาย...โรงเชือดแห่งนี้ตั้งอยู่ท้ายตลาด...และทันทีที่เจ้าทองลอยตัวผ่านประตูใหญ่เข้ามาตามแผ่นหลังของเขา
วิญญาณของเด็กน้อยก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมลงไปในบึงที่เต็มไปด้วยโคลนตมทางจิตวิญญาณ...พลังงานแห่งความเจ็บปวดและความกลัวตายของสัตว์มากมายมหาศาลถาโถมเข้าใส่ร่างโปร่งแสงของเด็กน้อยจนหนักอึ้งและอึดอัดไปหมด เสียงกรีดร้องโหยหวนของเหล่าสุกรที่ดังระงมอยู่ในคอกนั้น ไม่ได้ทำให้เขากลัว...แต่มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปด้วย
กุมารน้อยต้องรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีเพื่อคงสภาพร่างของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะหลบไปนั่งขดตัวอยู่บนขื่อหลังคาที่สูงที่สุด และมองลงมายังภาพเบื้องล่างด้วยหัวใจที่หดหู่
ซึ่งในตอนนี้เขาได้เห็นป๊าของพี่สาวเดินเข้าไปสมทบกับคนงานคนอื่น ๆ ที่กำลังดื่มเหล้าและส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเอง
แล้วงานบาปก็ได้เริ่มต้นขึ้น...เจ้าทองได้แต่มองภาพนั้นนิ่งระคนชวนอดสู ภาพของความตายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องทำเรื่องที่น่าเศร้าเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ละสายตาไปไหน
เพราะนี่คือภารกิจที่พี่สาวมอบหมายมา ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเฝ้าดูการกระทำของป๊าต่อไป แม้ว่าภาพที่เห็นจะเต็มไปด้วยความโหดร้ายเกินที่เจ้าตัวจะรับได้ ซึ่งมีบ้างบางจังหวะที่เจ้าตัวได้ยกมือขึ้นมาปิดตา แต่ว่ากุมารทองตัวน้อยก็ยังคงเฝ้ารออย่างอดทน
จนในที่สุด...แสงแรกของวันก็มาถึงพร้อมกับเสียงร้องของสัตว์ผู้โชคร้ายมากมายก็ได้หยุดลง ซึ่งดูเหมือนว่าความเงียบที่เข้ามาแทนที่เสียงกรีดร้องนั้นจะน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม
เพราะมันเป็นความเงียบที่หนักอึ้งและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ยังคงคละคลุ้งอยู่ในอากาศ แสงไฟนีออนสีขาวซีดในโรงเชือดยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าของเหล่าคนงานที่เหนื่อยล้าดูขาวเผือดราวกับศพไร้วิญญาณ
บัดนี้งานบาปเหล่านี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ก่อนจะตามมาด้วยงานชำระล้างที่กำลังเริ่มต้นขึ้น เสียงฉีดน้ำแรงดันสูงดังกระหึ่มไปทั่วพื้นคอนกรีตเพื่อชะล้างคราบเลือดและสิ่งสกปรกให้ไหลลงสู่รางระบายน้ำ
ก่อนตามมาด้วยเสียงขูดโลหะดังขึ้นเป็นระยะจากการทำความสะอาดเครื่องมือและโต๊ะเหล็ก แรงงานชายทุกคนต่างทำงานกันอย่างเงียบเชียบและคล้ายจะเซื่องซึม
ความบ้าคลั่งเมื่อกลางดึกได้มอดไหม้ไปพร้อมกับฤทธิ์สุรา เหลือเพียงความว่างเปล่าและความเหนื่อยล้าที่กัดกินลึกลงไปถึงจิตใจและป๊ามนตรีเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากคนเหล่านี้เช่นกัน
เสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อนจนมองไม่เห็นสีเดิม เขาก้มหน้าก้มตาขัดล้างอุปกรณ์ของตนเองอย่างเงียบงัน ส่วนเจ้าทองที่นั่งขดตัวอยู่บนขื่อหลังคามาทั้งคืน วิญญาณของเด็กชายรู้สึกเหมือนมองเห็นแผ่นหลังที่กว้างใหญ่นั้นดูทรุดโทรมและห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด
"เฮ้อ... เสร็จซะทีโว้ย!" เสียงของไอ้เสือเพื่อนร่วมงานคนสนิทของมนตรีดังขึ้นทำลายความเงียบ "กูปวดหลังจวนจะหักเป็นสองท่อนอยู่แล้ว"
"เออ...นั่นดิ ช่วงตรุษจีนทีไรงานแม่งเยอะแบบนี้ทุกปี" อีกคนบ่นพึมพำ "กลับไปกูจะนอนให้ลืมบ้านลืมช่องไปเลย" ตามมาด้วยเสียงกล่าวเสริมของใครอีกคน
ซึ่งทุกคนที่เป็นมือเชือดทั้งหมดต่างก็เห็นด้วย และหลังจากที่พวกเขาช่วยกันทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เหล่าคนงานก็พากันไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องน้ำรวม
ก่อนจะเดินออกมาในชุดเสื้อผ้าปกติ บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อพวกเขาได้ก้าวออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้าภายนอกโรงเชือด
ในตอนนี้ตลาดเช้าที่อยู่ติดกันเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นแล้ว เสียงพ่อค้าแม่ค้าทักทายกันดังจอแจ กลิ่นน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ลอยมาตามลม ซึ่งเป็นโลกอีกใบที่แตกต่างจากนรกที่พวกเขาเพิ่งจากมาโดยสิ้นเชิง
"เฮ้ยพวกมึง!" ไอ้เสือตะโกนขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงคึกคัก "ก่อนกลับไปนอน ไปเสี่ยงโชคกันหน่อยดีกว่า! เผื่อเจ้าพ่อเสือจะให้พรรับตรุษจีนนี้ ได้เงินก้อนโตมาตั้งตัวโว้ย!"
คนงานบางคนส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง "ไม่มีเงินแล้วโว้ยไอ้เสือ เมื่อคืนก็ลงขวดไปหมดแล้ว"
แต่มนตรีที่กำลังจะแยกตัวกลับบ้านกลับหยุดชะงัก...คำว่าโชคและเงินก้อนโตมันช่างหอมหวานเหลือเกินสำหรับคนที่เหนื่อยล้าและสิ้นหวังอย่างเขา
"ไปไหมวะไอ้ตรี! ไปวัดดวงกับกูหน่อย!" ผู้พูดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้เสือที่กำลังเดินมากอดคอของเขา "ใบเดียว สิบบาทเองเผื่อฟลุ๊คขึ้นมาจะได้เลิกทำงานเหนื่อย ๆ แบบนี้ซะที!"
มนตรีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง...เงินสิบบาทสำหรับเขาไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย เพราะมันคือค่าข้าวของลูกได้เกือบทั้งวัน... แต่แล้วภาพความเหนื่อยยากของภรรยาและแววตาที่เปลี่ยนไปของลูกสาวก็ผุดขึ้นมาในหัว...(บางที...บางทีนี่อาจจะเป็นทางออก...)
"เออ...ก็ได้วะ" เขาตอบเสียงอ่อย
เมื่อเจ้าเสือได้ยินคำตอบรับของเพื่อนสนิท จากนั้นทั้งสองคนก็ได้เดินตรงไปยังแผงลอตเตอรี่ขนาดเล็กที่มีหญิงชราคนหนึ่งนั่งขายอยู่ มนตรีล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ควานหาเหรียญและธนบัตรใบย่อย ๆ ที่พอจะเหลืออยู่จนครบสิบบาทก่อนยื่นเงินนั้นให้แม่ค้า
"เอาใบไหนดีล่ะพ่อหนุ่ม"
มนตรีส่ายหน้า "ใบไหนก็ได้ม่า...แล้วแต่ดวง"
เมื่อแม่ค้าได้ยินแบบนี้ หญิงชราจึงได้หยิบลอตเตอรี่ใบหนึ่งยื่นส่งให้เขา มนตรีรับมันมาโดยไม่แม้แต่จะมองดูตัวเลข เขาพับมันครึ่งหนึ่งอย่างลวก ๆ แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านข้าง...ซึ่งเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยความเคยชินและความสิ้นหวังมากกว่าความตื่นเต้น
เจ้าทองที่ลอยตัวอยู่ไม่ไกลเบิกตากว้าง...ทั้งนี้เป็นเพราะภารกิจของเจ้าตัวน้อยได้สำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว!
และหลังจากชายหนุ่มแยกกับเพื่อน มนตรีก็เดินโซซัดโซเซกลับบ้านตามลำพัง แสงแดดยามเช้าส่องกระทบใบหน้าของเขา แต่แววตานั้นกลับมืดมนและว่างเปล่า...
'เอาละ... ได้เวลาไปรายงานพี่สาวแล้ว!' กุมารน้อยคิดในใจ ก่อนจะรีบรุดล่วงหน้ากลับไปยังบ้านไม้หลังเล็ก...ก่อนที่แผนการขั้นต่อไปจะเริ่มต้นขึ้น...