Masukบทที่1
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงยังตำหนักบูรพาตามฤกษ์มงคล คราวนี้ผู้คนมาก แขกผู้มีเกียรติมีฐานะล้วนมากล้นหลัวเฟยเมี่ยวย่อมต้องแสดงงิ้วบทน้องสาวรักใคร่กลมเกลียวผู้เป็นพี่สาวที่อายุมากกว่าตนเองเพียงสามเดือนขึ้นมาทันที
"ไท่จื่อเพคะ ขอเมี่ยวเอ๋อร์ไปรับพี่สาวมาเดินไปพร้อมกันนะเพคะ"
ดังนั้นเมื่อหลีเซี่ยงหลิ่วมาจับมือของนางที่หน้าเกี้ยวเจ้าสาวหลังโตเต็มพิธีการย่อมต้องเอ่ยปากให้อีกฝ่ายนั้นได้ไปรับเอาพี่สาวมาเดินเคียงข้างกันซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์ต้าเว่ยต้องกระทำเพื่อไม่ให้เจ้าสาวคนใดคนหนึ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้วต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้เป็นพี่น้องกันเช่นนางกับหลัวเฟยเฟิ่งก็ตาม แต่ความเป็นจริงแล้วหลัวเฟยเมี่ยวนั้นแค่ต้องการอยากให้ผู้เป็นพี่สาวมาเดินเคียงข้างเป็นข้อเปรียบเทียบให้ตนเองยิ่งโดดเด่นขึ้นในสายตาผู้คนกับบุรุษที่นางรักได้เห็นว่าที่เขาเลือกนั้นไม่ผิดคนด้วยใบหน้าหลังพัดงดงามนั้นหลัวเฟยเฟิ่งด้อยกว่านางอยู่หลายส่วน
"นางเป็นเพียงเหลียงตี้จะเดินเคียงข้างพวกเราไม่ได้นางต้องอยู่เบื้องหลังของพวกเราสามก้าวหรืออันที่จริงข้าก็ไม่ได้เต็มใจแต่งนางเข้ามาเป็นนางที่อยากแต่งเข้ามา ดังนั้นพิธีวันนี้นางไม่จำเป็นต้องร่วมก็ยังได้ ในใจของข้า หลีเซี่ยงหลิ่วมีเพียงเจ้า หลัวเฟยเมี่ยวเป็นภรรยาเท่านั้นสตรีอื่นล้วนไม่คิดจะนับ"
หลีเซี่ยงหลิ่วเอ่ยไม่ไว้หน้าตามนิสัยยอมหักไม่ยอมงอของเขาที่มีมาแต่เดิมแต่วันนี้ที่เขายอมถอยให้สตรีนามหลัวเฟยเฟิ่งล้วนเป็นเพราะเขาต้องการจะแต่งงานกับหลัวเฟยเมี่ยวโดยเร็วมากกว่า
"กล่าวอันใดเช่นนั้นเพคะ ผู้คนมากมายคิดสิ่งใดเก็บไว้ในใจก็พอแล้ว" หลัวเฟยเมี่ยวเร่งกล่าวเตือนสติคล้ายหวังดีแต่ผู้ใดจะรู้ดีไปกว่าตัวของนางเอง
"ก็ได้ข้าฟังเจ้า"
จากนั้นพิธีการแต่งๆ จึงได้เริ่มขึ้นสตรีสองนางที่งดงามกินกันไม่ลงเพียงแต่คนเป็นพี่สาวนั้นดูจะตัวเล็กกว่าน้องสาวอยู่มากและมีหลายจังหวะนางทำตามน้องสาวไม่ทันก็แน่ละตลอดชีวิตหลังจากหลัวเฟยเมี่ยวมั่นใจว่าตนเองจะต้องเป็นหงส์เคียงข้างมังกร นางก็เคร่งครัดกับตนเองมาตลอด ผิดกับหลัวเฟยเฟิ่ง นางมีใจคิดเป็นเพียงท่านหมอหญิงผู้หนึ่ง ใช้วิชาแพทย์รักษาคนรวยเอาเงินมาต่อยอดเอาไว้ช่วยคนยากจนอีกและการเรียนวิชาแพทย์นั้นต้องทุ่มเทจะมาสนใจศึกษาและฝึกฝนเป็นสตรีชั้นสูงอยู่ได้อย่างไร
เท้าของหลัวเฟยเมี่ยวเรียวเล็กงดงาม แต่การเดินไม่มั่นคง ต่างจากหลัวเฟยเฟิ่งที่ตั้งแต่จำความได้ก็สนใจแต่มีชีวิตรอด พอรู้ความอีกหน่อยนางก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ต่อไปในจวนอย่างไรไม่ให้ถูกบิดาทุบตี พอยิ่งโตนางก็ยิ่งเข้าใจว่าตนเองต้องพึ่งพาตนเองมัวแต่รักสวยรักงามไม่ได้ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ได้ด้วยรูปโฉมคนเราต้องมีเงินจึงสามารถกำจัดปัญหาตรงหน้าจากยากเป็นง่ายและจากง่ายให้หายไปเลยดังนั้นเท้าของนางจึงไม่เรียวเล็กเช่นคุณหนูที่ถูกดูแลอย่างดีจนเรียวเล็กราวกับดอกบัวย่อมนับได้ว่าไม่ใช่สตรีชั้นสูงเช่นผู้อื่นในสายตาของบุรุษทั่วไป
นิ้วมือที่ถือด้ามพัดหนึ่งข้างกับอีกข้างอุ้มแมวน้อยสีขาวสะอาดนั้นแปลกตายิ่งนัก แต่หลีเซี่ยงหลิ่วนั้นไม่ได้สนใจที่จะมองอีกฝ่ายแม้เพียงแต่ชายอาภรณ์ ฝ่ายของหลัวเฟยเฟิ่งเองนางก็ไม่สนใจผู้ใดเช่นกัน นางคิดเพียงทำหน้าที่ของตนในวันนี้ให้จบสิ้นก็เพียงพอ ยิ่งอีกฝ่ายไม่สนใจนาง หลัวเฟยเฟิ่งยิ่งยินดีเพราะนางเอกก็ไม่อยากเขามาใส่ใจนางเช่นกัน
ในขณะทุกคนกำลังวุ่นวายกับพิธีการ หลัวเฟยเฟิ่งนั้นก็เริ่มคิดหาทางออกให้ตนเองสายตาเหลือบไปมององค์ไท่จื่อหลีเซี่ยงหลิ่วเป็นระยะภายในใจของนางคิดว่าคงไม่ยากกับสายตาของอีกฝ่ายที่ดูรักใคร่น้องสาวของนางอย่างลึกซึ้งไม่เหลือบแลมองผู้ใด คงไม่ยากหากราตรีนี้เขาแวะมาดื่มเหล้ามงคลกับนางตามหน้าที่แล้วตนเองเอ่ยปากขอเขาจากไป
นางจะไปแคว้นไห่โจวที่นั่นมีท่าเรือ คนมาก นางวิชาแพทย์อยู่กับตัวย่อมไม่อดตาย ยามใดที่ตนเองสร้างฐานะได้มั่นคงแล้วจึงค่อยส่งจดหมายให้พี่ชายส่งมารดาเลี้ยงกับน้องเล็กของนางมาอยู่ด้วยกัน หรือหากอีกฝ่ายไม่มาคืนนี้นางก็จะหลบหนีออกไปเช่นไรนางก็จะไม่ยอมถูกขังจนตายแห้งเหี่ยวอยู่วังหลวงเป็นแน่
ที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับนางอย่างยิ่ง นางไม่ใช่นางหงส์ หากแต่เป็นเพียงนกนางแอ่นตัวน้อยแค่นั้นนางไม่อยากอยู่สูงกว่าสตรีทั้งใต้หล้า นางแค่ต้องการอิสระท่องไปในยุทธภพ มีเงินมีทอง มีฐานะมั่นคงชีวิตก็จะไร้กังวล นางไม่ชอบแย่งชิงกับผู้ใด ยิ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของบุรุษจะหันซ้ายเหลียวขวาหรือจะลุกจะนั่ง จะยืน หรือเดินล้วนต้องให้สามีกำหนดนางคิดว่าตนเองรับไม่ไหว
“พระชายารองหลัวเชิญตามกระหม่อมไปยังตำหนักหิมะขาวเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
โอ้โห เพียงนามของตำหนักที่จัดให้นางพักอาศัยก็ยังฟังแล้วหนาวจับใจ คาดว่าอีกฝ่ายจะต้องยอมปล่อยตนเองไปให้พ้นหูพ้นตาเป็นแน่ สตรีมือเท้าใหญ่ แถมผิวพรรณนั้นก็ไม่บอบบางขาวใสเช่นสตรีที่เขารักปักใจ หากให้นางไปเป็นนางกำนัลคอยรับใช้ยังพอเป็นไปได้แต่คิดจะให้นางไปเป็นสตรีอุ่นเตียงของเขาคาดว่าจะเกินจริงไปแล้ว
ตำหนักหิมะขาวนี้ไม่ได้อยู่ห่างไกลอย่างที่หลัวเฟยเฟิ่งคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่อยู่ตรงกันข้ามกับตำหนัก หงส์ทองที่จะเป็นที่พักขององค์ไท่จื่อเฟยผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของนางนี่เอง
"ตำหนักจัดตามฐานะของผู้เป็นเจ้าของพ่ะย่ะค่ะ"
ขันทีรูปร่างบอบบางวัยคงใกล้เคียงกับนางตอบไขข้อสงสัย หลัวเฟยเฟิ่งร้อง'อ๋อ'รับออกมาหนึ่งคำ แล้วจึงเดินตามนางกำนัลอีกสามนางไปนางกำนัลประจำกายของเหลียงตี้มีสามคน ขันทีอีกหนึ่งคน ตำหนักนับว่าใหญ่โต กับนางกำนัลและขันทีดูแลตำหนักอีกราวยี่สิบคนถือว่าดีกว่าชีวิตในจวนแม่ทัพอยู่มาก
หากแต่ก็เหมือนดังกรงทองที่มีเอาไว้กักขังนกน้อยที่รักอิสระเช่นนางเท่านั้น ไม่อาจทำให้นางอยากทิ้งทั้งชีวิตเอาไว้ภายในตำหนักบูรพาแห่งนี้ไปได้ มีทุกสิ่งแต่กลับจบสิ้นอิสระนางไม่ต้องการและที่หลัวเฟยเฟิ่งนั้นไม่รู้อีกสิ่งก็คือขันทีข้างกายนางผู้นี้เป็นคนของไท่จื่อหลีเซี่ยงส่งมาตามติดนางเพื่อจับตามองด้วยความระมัดระวังด้วยกวาดกลัวว่าสตรีเช่นหลัวเฟยเฟิ่งนั้นอาจคิดร้ายกับน้องสาวเช่นหลัวเฟยเมี่ยวได้นั่นเอง
"พระชายารอง แมวน้อยตัวนี้คงต้องนำไปนอนอีกห้องพ่ะย่ะค่ะ องค์ไท่จื่อไม่ชอบสิ่งมีชีวิตเหล่านี้"
เมื่อเข้ามาในห้องหอแล้วขันที่ซึ่งแนะนำตนเองกับนางเมื่อครู่ว่าเขามีนามว่า'ฉงหลิน'ก็เอ่ยกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง หลัวเฟยเฟิ่งที่ไม่ยอมให้ผู้ใดอุ้ม'ไป๋ลู่'ของตนเองนอกจากตอนพิธีกราบไว้ฟ้าดินและยกน้ำชาให้กับฮ่องเต้กับเหวินกุ้ยเฟยเท่านั้นถึงกับคิ้วขมวด
"นับจากน้องสาวของข้ามอบเสี่ยวลู่ให้ข้าดูแลมันก็ไม่เคยนอนแยกห้องกับข้ามาก่อน แล้วที่นี่ยังแปลกใหม่ต่อมันมาก ข้าขออยู่กับมันจนกว่าองค์ไท่จื่อจะเสด็จมาทำพิธีเข้าหอให้เสร็จได้หรือไม่ เช่นไรราตรีนี้องค์ไท่จื่อก็คงไม่มีทางอยู่กับข้าทั้งคืนเป็นแน่ รบกวนฉงหลินกงกงเห็นใจข้ากับเสี่ยวลู่ด้วย"
ฉงหลินนั้นปกติเขาก็ชอบสัตว์ตัวน้อยขนนุ่มฟูอยู่แล้วถึงเจ้าแมวตัวน้อยนี้จะดูยิ่งยโสอยู่มาก ทว่าเพราะเอ็นดูสัตว์มาทั้งชีวิตจึงเข้าใจ เขาอนุญาตตามที่พระชายารองร้องขอ ก่อนจะตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องหออีกครู่จึงได้ออกไปด้านนอกเพื่อรอองค์ไท่จื่อนั้นมาร่วมพิธีมงคลกับพระชายารองต่อไป
"เจ้านอนมาทั้งวันแล้ว จะเก็บอ้อมแรงเอาไว้เดินทางในค่ำคืนนี้หรือเสี่ยวลู่"
หลังจากได้นั่งสบายเพราะอยู่เพียงลำพัง หลัวเฟยเฟิ่งจึงปล่อยไป๋ลู่ลงจากอ้อมแขนแล้วเหยียดแข่งเหยียดขาของตนเองออกไปดังใจปรารถนาที่มีมาตลอดทั้งวัน ถึงร่างกายของนางนั้นแข็งแรงมากแต่ยืนและเดินตลอดทั้งวันเป็นเวลาหลายชั่วยามนางก็ย่อมอ่อนล้าปวดไปหมดทั้งร่างเช่นกัน ยิ่งเครื่องประดับบนศีรษะนี้หนักไม่หลายสิบชั่ง ยิ่งปวดไปหมดทั้งลำคอจะหัวไหล่
"เจ้าก็ปวดเหมื่อยหรือ เฮอะ! นอนจะเส้นเอ็นยึดนะสิเจ้าน่ะ"
พอเห็นว่าเจ้าแมวน้อยตัวกลมของหลัวเฟยลี่เดินไปยืดเหยียดไปนางก็กล่าวแดกดันมันไปเล็กน้อยแต่ดูเจ้าตัวแสบคงจะฟังเข้าใจจึงหันมามองค้อนนางหนึ่งครั้งแล้วสะบัดหน้ากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอาหารคาดว่ามันคงหิวแล้วเป็นแน่
"ดียิ่งนอนจนเต็มตื่นก็หิวทันที ไหนดูสิว่า อาหารของตำหนักไท่จื่อนี้มีสิ่งใดพิเศษบ้าง"
หลัวเฟยเฟิ่งไม่สนใจที่จะรอกินพร้อมกับหลีเซี่ยงหลิ่วผู้นั้น เพราะแน่ใจว่าอีกฝ่ายหากแวะมาก็คงมาเพียงเป็นพิธีเท่านั้นหลังจบพิธีการตามธรรมเนียมแล้วอีกฝ่ายก็คงเร่งตรงกลับไปหาสตรีที่เขารักอยู่แล้ว นางจึงคิดว่าควรกินให้อิ่มท้องเอาไว้ก่อนคนเราอิ่มท้องจึงมีเรี่ยวแรง นางยังมีจุดหมายให้ต้องจากไป
"ขาหมูตุ๋น เป็ดอบสมุนไพร ผัดแปดเซียน ของดีทั้งนั้น มาเร็วเข้าเสี่ยวลู่ มื้อนี้พวกเราก็กินให้เต็มท้องกันเถอะ"
หนึ่งคนกับหนึ่งแมวกินอาหารหรูหรานี้ราวกับเป็นมื้อสุดท้ายเพราะว่ากันตามจริงแผนการของนางก็คือหลบหนีไปจากวังหลวงอยู่แล้วต่อให้หลีเซี่ยงหลิ่วจะไม่ยินยอมนางก็จะหาหนทางไปจนสำเร็จ นางมีเงินและทองติดตัวมาอยู่พอมากพอสมควร และสองสิ่งนี้นี่แหละจะพานางหนีออกไปจนได้
อิ่มหนำแล้วทั้งคนและแมวจึงย้ายไปนอนเอาแรงบนเตียง สุราหลัวเฟยเฟิ่งไม่แตะแม้เพียงหยดเดียว เสียดายที่นางนั้นใจไม่กล้าพอจะพกยาพิษหรือยานอนหลับติดกายเข้ามาในวังเพราะคิดว่าหากถูกจับได้คงไม่มีผู้ใดจะช่วยนางให้รอดออกไปได้ ถึงเงินทองจะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่นางก็ยังมีเงินทองไม่มากพอจะแก้ปัญหาใหญ่หลวงเช่นพกยาต้องห้ามเข้าวังหลวงได้
หลับเอาแรงไปได้ครู่ใหญ่ขันทีนามฉงหลินก็เข้ามาปลุกนางแล้วแจ้งให้รู้ว่าไท่จื่อกำลังตรงมาทางนี้แล้วยังไม่ทันได้เตรียมตัวเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่ผู้เป็นใหญ่ในตำหนักบูรพาก็ผลักประตูเข้ามาแล้ว ฉงหลินรีบคว้าเอาไป๋ลู่ไปจากอ้อมแขนของพระชายารองด้วยกิริยารีบร้อนอยู่หลายส่วน
"!!!"
ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นไม่รับแขกอย่างยิ่ง หลัวเฟยเฟิ่งเห็นเข้าย่อมเสียขวัญอยู่บ้างแต่ก็เพียงครู่เดียว นางคิดว่าหากไม่ถือโอกาสนี้รีบเจรจาสิ่งที่นางต้องการก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อจบสิ้นพิธีการดื่มสุรามงคลกับผูกผมแล้วเมื่อเรือนกายสูงใหญ่เตรียมจะก้าวขาจากไปนางจึงตรงไปขวางหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ทันที
"เจ้าอยากตายหรือ?"
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยกับนางก็ช่างชวนเสียขวัญอย่างยิ่ง แต่หลัวเฟยเฟิ่งเคยเจอมาหนักหนากว่านี้ย่อมไม่ตื่นตกใจ นางยังคงแน่วแน่ เตรียมจะเปิดปากเจรจาว่านางจะขอจากไป แต่มิคาดหลีเซี่ยงหลิ่วนั้นกลับอำมหิตอย่างยิ่งจับร่างเล็กเหวี่ยงโครมไปตกลงบนเตียงหลังใหญ่อย่างที่หลัวเฟยเฟิ่งนั้นยังไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ!
โครม!
"อื้อ!"
หญิงสาวจุกแน่นจนขยับไม่ไหว ดังนั้นย่อมมิอาจเอ่ยปากบอกสิ่งที่นางต้องการได้ว่าที่อีกฝ่ายเข้าใจนั้นผิดไปไกลแล้วจริงๆ นางไม่ได้ต้องการเจรจากับเขาบนเตียงนี้ นางเพียงต้องการจะขออิสระแล้วจากไปเงียบๆ เท่านั้น
"อยากเข้าหอกับข้ารึ? ช่างไม่เจียมเงาหัวตนเองจริงๆ"
'หลงตนเอง ไอ้คนชั่วผู้ใดอยากร่วมหอกับเจ้ากัน รอชาติหน้าข้าเกิดใหม่ก็ไม่แน่ว่าจะยอมให้เจ้านั้นได้เห็นหน้าแข่งของข้า!'
แต่หลัวเฟยเฟิ่งนั้นก็ได้แค่คิดในใจเท่านั้นเพราะขณะนี้ หลีเซี่ยงหลิ่วนั้นก้าวขึ้นมาบนเตียงและลงมือบีบคอของนางจนตนเองจะได้ไปเกิดใหม่แล้วจริงๆ!
"!!!"
"อยากร่วมเตียงกับข้าย่อมได้ แต่ชีวิตของเจ้าคงต้องจบลงให้วันนี้แล้วสตรีไร้ยางอาย!"
หลัวเฟยเฟิ่งหูอื้อตายลอยคว้างไปหมดลมหายใจของนางเริ่มขาดห้วง นางผิดอันใด หญิงสาวนึกถามไปถึงสวรรค์ นางก็เพียงอยากจากไปไม่ใช่หรือไร? แต่เจ้าคนโง่หลีเซี่ยงหลิ่วหนึ่งคำกลับไม่สนใจจะฟัง นางเอ่ยปากแม้แต่น้อยก็ตัดสินว่านางไร้ยางอาย สตรีทั้งใต้หล้าอาจอยากได้เขาก็จริง แต่นางไม่ใช่สตรีส่วนมากเหล่านั้น บุรุษผู้นี้เป็นยาพิษสำหรับนางแต่ถูกอีกฝ่ายสัมผัสก็ผื่นคันจะกำเริบเสียให้ได้แล้ว
หญิงสาวพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด มือเล็กทั้งหยิกทั้งข่วน เท้าพยายามถีบร่างแกร่งแต่ หลีเซี่ยงหลิ่วกลับรู้ทันเขาจึงหลบหลีกได้ จนเห็นว่าหลัวเฟยเฟิ่งใกล้สิ้นใจไปจริงๆ เขาจึงยอมปล่อยมือ
"เห็นแก่วันนี้คือวันมงคลของเปิ่นไท่จื่อกับเมี่ยวเอ๋อร์ ชีวิตเจ้าจึงจะเว้นเอาไว้ก่อนแต่...พรุ่งนี้อาจไม่แน่ หึ!"
กล่าวจบบุรุษสารเลวผู้นั้นก็สะบัดชายอาภรณ์จากไปทันทีทิ้งเอาไว้เพียงร่างเล็กของหลัวเฟยเฟิ่งที่เร่งกอบโกยเอาลมหายใจเข้าท้องอย่างมูมมามราวกับคนตายอดตายอยากและหิวโหย นางสำลักไอจนหน้าแดงหน้าดำ สองมือกุมที่ลำคอเอาไว้
"อยู่ไม่ได้แล้ว คนชั่วนั่นไม่เหมาะจะเจรจา!"
พอได้สติกลับมามั่นคงหลัวเฟยเฟิ่งก็ตัดสินใจไม่เจรจาทันที นางต้องหนี และต้องหนีไปในค่ำคืนนี้แล้วด้วย แต่ก่อนอื่นนางจะต้องนำไป๋ลู่กลับมาก่อน จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนอาภรณ์แล้วปลอมเป็นแขกสตรีสักนางปะปนหลบหนีออกไปพอนางคิดตกได้เช่นนั้น หญิงสาวก็ลงมือทันที ซึ่งไม่นานหลัวเฟยเฟิ่งก็หลบออกมาพร้อมกับไป๋ลู่เจ้าแมวขี้เกียจจากตำหนักหิมะขาวได้สำเร็จ
มีเงินมีทองปัญหาใหญ่ก็เล็กลงไปภายในพริบตา พิสูจน์แล้วว่านางคิดถูก เพราะนางซื้อป้ายผ่านทางปลอมมาจากนอกเมืองเตรียมเอาไว้นานหลายวันแล้ว วันนี้นางในชุดนางกำนัลจึงใช้มันจนผ่านออกมาจากตำหนักส่วนตัวของพระชายารองได้ไม่ยากนัก คราวนี้ก็มีเพียงออกไปจากตำหนักบูรพาให้จงได้ก่อนท้องฟ้าสว่าง กับหาทางปะปนออกนอกเมืองหลวงมุ่งหน้าลงไปทางใต้ก็พอจะปลอดภัยแล้วแต่ก่อนจะออกไปจากเมืองหลวงนางต้องไปเอาข้าวของที่ตนเองเอาไปฝากเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมรับฝากของเสียก่อน
"อย่าส่งเสียงนะเสี่ยวลู่ หาไม่ชีวิตของข้าก็คงทิ้งเอาไว้ภายในตำหนักบูรพาไม่อาจไปพบหน้าเสี่ยวลี่ได้แล้วจริงๆ"
หญิงสาวบอกกับเจ้าแมวตัวกลมก่อนจะจับมัดใส่ลงไปในห่อผ้าแล้วใช้ความมืดปิดบังการหลบหนีด้วยความระมัดระวัง และช่างง่ายดายจนน่าแปลกใจเพราะบริเวณตำหนักหิมะขาวกับตำหนักหงส์ทองของคู่บ่าวสาวนั้นไม่มีทหารเดินเวรยามแม้แต่คนเดียว!
บทที่16พอตกบ่ายจางเยี่ยนจื่อก็ตื่นขึ้นมาในสภาพหัวยุ่งหน้าตาบวมปูด จมูกแดงปากจิ้มลิ้มก็เจ่อจนดูตลก คราวนี้ท่านหมอจางคนเกิดก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว คราวแรกนางเกือบก้าวเท้าออกจากห้องแล้วยังดีพี่ฉางเอ๋อร์คนงามของนางนั้นร้องทักพร้อมส่งคันฉ่องมาให้ดู จางเยี่ยนจื่อจึงม้วนตัวกลับเข้าห้องมาอย่างว่องไว สภาพตลกเล่นนี้แม้แต่เจอสุนัขล่าเนื้อของชาวบ้านมันยังเห่าดังนั้นอย่าได้คาดหวังเลยว่าผู้คนพบเข้าจะไม่ขบขันนาง"ข้าชิงชังเขายิ่งนัก!"โมโหเดือดขึ้นมาท่านหมอจางคนเก่งจึงระเบิดคำพูดออกมาโดยลืมยั้งคิด พอตั้งสติได้จึงค่อยเหลียวซ้ายแลขวาราวกับหนูกลัวแมว ก็คนบ้าผู้นั้นน่ากลัวเกินไปประเดี๋ยวก็ดีประเดี๋ยวก็ร้ายทำตัวราวกับสตรีวัยใกล้หมดรอบเดือนทั้งที่เขาก็เพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบสองเท่านั้น หรือว่า? ..."นี่พี่ฉางเอ๋อร์ข้ามีเรื่องอยากหารือ"จางเยี่ยนจื่อนั้นกระโดดลงจากเตียงลงไปนั่งบนเก้าอี้ข้างฉางเฉี่ยนจนขันทีคนงามต้องผวาถอยห่างออกไปราวกับอีกฝ่ายคือยาพิษ ทำเอาหญิงสาวถึงกับชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่พึงใจนักที่อีกฝ่ายดูรังเกียจตนเองแปลกๆ"ข้าไม่ใช่หนอนบุ้งสักหน่อยพอเข้าใกล้จะได้คัน"ฉางเฉี่ยนไม่อยากจะกล่าว
บทที่15"คนชั่ว! ท่านอย่าเข้ามาอีกนะ!"คนตัวน้อยไม่มีหนทางจะถอยหนีแล้ว แต่เจ้าคนถูก'ผีบ้า'เข้าสิงสู่นั้นกลับยังคงรุกรานคืบคลานไล่ต้อนนางเข้ามาไม่หยุดสองมือเล็กยกขึ้นกำด้ามกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น แต่คงเกร็งมากไปมือน้อยนั้นกลับสั่นไหวไม่หยุด"ก็บอกว่าอย่าเข้ามาเช่นไรเล่า! หากเข้ามาอีกข้าจะจะแทงท่านที่หัวใจ!"มุมปากแกร่งกระตุกด้านขวาของเซียวอู๋เกอค่อยๆ ยกโค้งขึ้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจราคะนั้นยิ่งทำให้จางเยี่ยนจื่อนั้นย่อมหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าขณะนี้แปลกไปมากจริงๆ นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายโกรธนางด้วยเรื่องอันใดกันแน่ และยิ่งไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอันใดไปจึงดูคล้ายถูกปีศาจราคะสิงสู่เช่นนี้ ซึ่งนางก็เป็นสตรีย่อมหวาดกลัวอยู่มาก"เช่นนั้นก็แทงสิ เจ้าเป็นหมอและยังรู้จุดตายของข้าดีกว่าผู้ใด แทงลงมาเลย แทงตรงนี้"มือแกร่งของเซียวอู๋เกอจับที่กระบี่ของตนเองแล้วลากลงมาจากลำคอตรงมายังตำแหน่งของหัวใจที่ต่างจากผู้อื่นของตน ดวงตาของเขานั้นจับจ้องมองมาที่นางแน่วแน่ เรียวปากแกร่งนั้นแย้มยิ้มแต่รอยยิ้มดังกล่าวกลับไปไม่ถึงดวงตาหงส์คู่นั้นเลยแม้แต่น้อย เขาออกแรงกดมันแทงเข้าเนื้อจนจางเยี่ยนจื่อตาโต นางเป็นท่านหมอในชีว
บทที่14ดังนั้นหลายวันมานี้จางเยี่ยนจื่อจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดไป คิดทบทวนจนแน่ใจหญิงสาวก็กระจ่างว่าที่หายไปก็คือ'เจ้ากรรมนายเวร'เช่นเซียวอู๋เกอนี่เอง ถึงจะอยู่เรือนเดียวกันนอนห้องเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้นอกจากเวลาทำแผลใส่ยาเขาก็หายหน้าไปตลอดวันและถึงจะนอนห้องเดียวกันพอนางล้มตัวลงนอนอีกฝ่ายก็ลุกไปกลับมายามใดนางเอกก็ไม่รู้เช่นกัน พอนางตื่นขึ้นมาเขาก็หายไปแล้วกรี๊ด! 'ในที่สุดข้าก็หมดเวรสิ้นกรรมกับเจ้าคนหน้าหนาหน้าทนแล้ว'จางเยี่ยนจื่อไม่สนใจหรอกว่าเกิดอันใดขึ้นกับอีกฝ่าย นางสนใจแต่อีกฝ่ายไม่เป็นดังเงาตามติดก็เพียงพอแล้วเพราะหากมีโอกาสนางจะได้หนีไปสักครา แค่คิดถึงอิสระจางเยี่ยนจื่อก็มีความสุขจนเดินผ่านสุนัขนางก็ยิ้มให้มัน เดินผ่านไก่แจ้ แมวเหมียว แม้แต่วัวหรือกระบือนางก็สามารถยิ้มพร้อมโบกมือทักทายพวกมันอย่างสนิทสนมจน ฉางเฉี่ยนกับหลุนเปียวนั้นชักจะกลุ้มใจแล้วจริงๆอีกคนก็เคร่งขรึมจนน่าหวาดหวั่นอีกคนก็ดูร่าเริงอารมณ์ดียิ้มได้ทั้งวันราวกับไปกินสมุนไพรผิดชนิดจนเมามายแล้วมีอาการตาหวานเยิ้มหนักข้อขึ้นทุกวันจนใกล้วันจะเดินทางไปจากหมู่บ้านถงซานแห่งนี้เข้าไปทุกทีอาการประหลาดของผู้เป็นนายทั้งสองก็ท
บทที่13ฝ่ายคนที่ทำให้'ฉางเอ๋อร์เจี่ยเจีย'นั้นเสียกิริยาและฟุ้งซ่านนั้นกลับยังสบายใจตรงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดแล้วจึงค่อยไปทำแผลใส่ยาให้กับ'หนี้รักหนี้แค้น'ของตนเองอย่าง'ใส่ใจ'จนค่ำคืนนั้นเสียงร้องโอดโอยดังลอยออกมาจากห้องของสองสามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียวแต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวไปยุ่งด้วยแม้แต่ฉางเฉี่ยนหรือสององครักษ์เกาเหิงและหลุนเปียว"เจ้ามันก็ดีแต่รังแกข้า กับท่านหัวหน้าหมู่บ้านผู้นั้นเจ้าไม่เห็นไปเอาความกับเขาบ้างเล่า?"หลังจากถูกท่านหมอจางผู้อำมหิตลงมือทำแผลอย่างไม่ปรานีเสร็จแล้วเซียวอู๋เกอจึงอดจะกล่าวออกมาด้วยความแค้นเคืองเสียมิได้เพราะกับเขานางตามเก็บไม่มีพัก เถียงได้ถึงแอบหลอกด่าได้นางทำ แม้แต่รังแกเขาด้วยการทำแผลหนักมือจางเยี่ยนจื่อนั้นก็ไม่เคยไว้หน้าฐานะ'ฮ่องเต้'ของตนเลยสักครั้งช่างสมควรตายเสียจริง!"คนเช่นเฝิงคุนผู้นั้นไม่ต้องถึงมือของข้าหรอกแค่ฮูหยินเอกของเขาเพียงผู้เดียวช่วงนี้พวกเราก็จะไม่เจอหน้าเขาไปอีกหลายสิบวันเชียวละ ท่านเชื่อข้าเถอะ"กล่าวไปจางเยี่ยนจื่อก็เช็ดทำความสะอาดเครื่องไม้เครื่องมือไป เซียวอู๋เกอรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ปกติแล้วจริงๆ เพราะเห็นจา
บทที่12หลังจากผ่านด่านดังกล่าวมาอย่างราบรื่นทุกคนก็ต่างหายใจสะดวกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เซียวอู๋เกอก็มอบให้หลุนเปียวหาทางส่งข่าวไปหาจงเจิ้งและหย่งเซิ่งเสียก่อน เพราะกังวลว่าทั้งสองอาจขึ้นเขาแล้วไปพบกับทหารชุดดังกล่าวเข้าอาจจะลำบากมิสู้แจ้งข่าวให้อีกฝ่ายทราบแล้วตามไปพบกันยังหมู่บ้านถงซานย่อมดีกว่า หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยทั้งเจ็ดชีวิตก็ตรงไปยังบ้านของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยทันทีกว่าจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านถงซานก็ดวงอาทิตย์ใกล้ชิงพลบเสียแล้ว ซึ่งทั้งหมดก็เดินตามกลุ่มนายพรานและชาวบ้านที่ออกไปเก็บข้าวสาลีผ่านซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้านไปได้ด้วยดี มีหลายคนที่ทักทายสองผู้เฒ่า แต่พอเห็นหน้าของจางเยี่ยนจื่อพวกเขาก็ไม่ตามต่อ เพราะทราบดีว่าท่านหมอจางนั้นเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยจึงเคารพอีกฝ่ายราวกับเทพธิดา เนื่องจากจางเยี่ยนจื่อเมื่อสามหนาวก่อนนางได้ช่วยชีวิตของบุตรชายคนเดียวของท่านลุงและท่านป้าเพ่ยที่ไปสอบเป็นเสมียนอำเภอหนิงเสวียนจากพิษของงูแมวเซาต่อมาเมื่อหนึ่งหนาวก่อนฮูหยินของบุตรชายของสกุลเพ่ยนั้นคลอดลูกยากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็เป็นท่านหมอจางอีกที่ไปช่วยทำคล
บทที่11เซียวอู๋เกอนั้นมองการกระทำของจางเยี่ยนจื่อที่สาดผงบางสิ่งลงไปตามรอยเท้าแล้วจากนั้นนางก็ใช้เข็มเงินแทงลงไปที่รอยเท้าดังกล่าว ก็แปลกใจนักไม่เข้าใจว่านางแยกแยะได้เช่นไรว่ารอยเท้าใดเป็นของสองผู้เฒ่ากับสององครักษ์ของเขา เพราะชายหนุ่มแน่ใจอย่างยิ่งว่าบนเขาแห่งนี้ไม่ใช่มีเพียงพวกเขากับสองผู้เฒ่าเท่านั้น แต่ต้องมีนายพรานและชาวบ้านอีกมากที่ขึ้นเขามาในแต่ละวัน วันนี้ก็คงไม่ต่างกัน ทว่าเซียวอู๋เกอนั้นก็ไร้โอกาสที่จะสอบถามเดินอยู่หนึ่งชั่วยามโดยอาศัยหูที่ดีเป็นพิเศษของฉางเฉี่ยนกับสายตาและจมูกที่ว่องไวของเขาจึงหลบหลีกนายพรานกับชาวบ้านได้โดยตลอด ต่อมาอีกครึ่งชั่วยามก็พบกับทั้งสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยกับสององครักษ์หลุนเปียวและเกาเหิงได้อย่างน่าประหลาดใจสำหรับเซียวอู๋เกอยิ่งนักเพราะถึงเขาจะผ่านการฝึกฝนมีทุกแขนงทุกศาสตร์ทั้งต่อสู้ กลศึกไปจนถึงการเขียนพู่กันและเดินหมากชงชาเขาล้วนถูกเข้มงวดมาตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว แต่วิชาสะกดรอยตามบนภูเขานี้สำหรับเขานั้นไม่ง่ายและแปลกใหม่เหลือเกินและคาดว่าในเมืองหลวงสาวน้อยที่ทำได้อาจมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเป็นแน่"นายท่าน นายหญิง เกิดอันใดขึ้น?"เป็นเกาเหิงที่ตรงเข้ามาทำค







