Share

บทที่9

last update Last Updated: 2025-11-06 19:34:39

บทที่9

ผ่านไปอีกสองวันอาการของคุณชายเซียวก็ดีขึ้นเป็นลำดับจน หย่งเซิ่ง หยุนเปียว กวนเหิง จงเจิ้ง และฉางเฉี่ยนนั้นอดจะยอมรับจากใจเสียมิได้ว่า จางฮองเฮามีฝีมือแพทย์ไม่ธรรมดาจริงๆ ส่วนสองผู้เฒ่าเจ้าสองกระท่อมนั้นรู้แจ้งมาสักพักแล้ว จึงไม่แปลกใจ พอห้าวันคุณชายเซียวของทุกคนก็ลุกออกมาเดินรอบข้างกระท่อมเป็นการออกกำลังกายได้แล้ว

"คนของท่านมีตั้งมากหากเอาตามากองรวมกันก็ได้เป็นกอบได้แล้วกระมัง เหตุใดท่านจึงไม่เรียกใช้ เอาแต่เรียกให้ข้าไม่หยุดเช่นนี้"

อดรนทนไม่ไหว ที่ถูก'คุณชายเซียว'เรียกใช้และให้นางตามติดเขาราวกับเป็นเนื้องอกส่วนหนึ่งในร่างกายมาหลายวัน จางเยี่ยนจื่อจึงกล่าวออกมาหลังจากพาอีกฝ่ายกลับมาส่งจนถึงเตียงนอนเรียบร้อยแล้ว เพราะหญิงสาวแทบไม่มีเวลาเป็นของตนเองคล้ายกับนางและเขาใช้จมูกอันเดียวกัน ปากอันเดียวกัน จะกิน หายใจ นอนนั่ง ยืนและเดินก็ต้องทำร่วมกันนางทนไม่ไหวแล้วนะ!

"พวกนั้นเป็นภรรยาของข้าหรือ?"

เซียวอู๋เกอถามออกมาด้วยใบหน้าสงบน้ำเสียงเข้มแข็ง ฉางเฉี่ยนเห็น เช่นนั้นก็หันไปสะกิดสีข้างของจงเจิ้งและหย่งเซิ่ง ส่วนหลุนเปียวกับกวนเหิงนั้นไปล่าสัตว์และหาเสบียงมาเพิ่มกับสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยไม่ได้อยู่ร่วมดูชมฉากสามีภรรยา'ถกเถียง'เช่นพวกตนซึ่งนับว่าโชคดียิ่งนักไม่เหมือนพวกเขาทั้งสามที่โชคร้ายหูอยู่ทุกวันและวันละหลายเวลาเช่นนี้

"ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว แต่ข้าก็ไม่ใช่ภรรยาของท่านเช่นกันท่านสมควรคิดได้สิคุณชายเซียว!"

หลังจากเห็นแล้วว่าสองสามีภรรยาหนุ่มสาววัยเลือดร้อนกำลังตั้งอกตั้งใจ'ถกเถียง'กันอย่างจริงจังเช่นนั้นฉางเฉี่ยนและหย่งเซิ่งหันมาพยักหน้าให้แก่กัน จากนั้นก็ต่างก้าวเท้าออกจากภายในกระท่อมอย่างฝีเท้าบางเบาย่องกริบ แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีท่อนไม้หนึ่งต้นยืนไม่สนฟ้าสูงแผ่นดินต่ำรั้งอยู่อีก สองบุรุษหนึ่งกล้าแกร่งและอีกหนึ่งอ่อนหวานโฉมงามล่มแคว้นจึงต้องหันกลับมา'หิ้ว'เจ้าขอนไม้ไม่รู้ความจงเจิ้งติดมือออกไปด้วยทันทีพร้อมปิดประตูกระท่อมอย่างระมัดระวังปล่อยให้สามีและภรรยาค่อยๆ เจรจากันไปเพียงสองคน

"เจ้าบ้าเอ๊ย อยากตายหรือไร สองคนนั้นก็ถกเถียงกันพวกเราไม่ควรไปเสนอหน้าร่วมฟังด้วยนะ"

หย่งเซิ่งที่นับเป็นผู้อาวุโสที่สุดในคณะสี่องครักษ์กับหนึ่งขันทีกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบาราวกระซิบแต่เป็นการกระซิบที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่องครักษ์รุ่นน้องเอาแต่ทึ่มทื่อเช่นนี้ ซึ่งฉางเฉี่ยนที่นับว่าเป็นคนอายุน้อยที่สุดในกลุ่มห้าคนก็ยังพยักหน้าว่าเห็นจริงด้วยกับท่านหัวหน้าหย่งจากใจจริง ฝ่ายจงเจิ้งเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะมองหน้าทั้งสองสลับกันไปมาแล้วถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจสหายต่างวัยทั้งสองนัก

"สุดท้ายพวกเจ้าทั้งสองคนก็จะชวนข้าไปแอบฟังพวกเขาถกเถียงกันต่อที่ข้างฝากระท่อมฝั่งนั้นอยู่ดีไม่ใช่หรือไร ในเมื่ออยากรู้อยากเห็นถึงเพียงนั้นเหตุใดยังต้องเสแสร้งให้ตนเองลำบากด้วยเล่า อยากรู้อยากเห็นก็เพียงอยู่ร่วมฟังตั้งแต่ต้นจนจบก็เท่านั้น เช่นไรในยามพวกเขาสองคนทะเลาะกันก็ไม่เคยสนใจคนนอกอยู่แล้วมิใช่หรือ?"

"..." ฉางเฉี่ยน

"..."หย่งเซิ่ง

ทั้งสองร่างหนึ่งขันทีโฉมงามล่มแคว้นกับองครักษ์เดนตายเรือนกายแกร่ง ต่างยืนนิ่งค้างเพราะมิคาดว่า'เจ้าทึ่มจูอิง'นั้นเวลาไม่พูดประดุจก้อนศิลาหนึ่งก้อนไร้ความรู้สึกทั้งทึ่มทั้งโง่ ทว่าพอขยับแย้มเรียวปากสดสีสวยแดงฉ่ำแวววาวราวกับผลอิงเถานั้นกลับจับพวกเขาทั้งสองแช่ลงในธารน้ำแข็งของทะเลสาบไป๋ซ่างแค่ไม่กี่ประโยคเช่นนี้ได้

"ตกลงพวกเจ้าจะย้อนไปกลับเข้าไปร่วมฟังเป็นพยานให้พวกเขาทั้งสองภายในกระท่อม หรือจะเดินอ้อมค้อมไปฟังที่ฝั่งนั้นกันแน่ประเดี๋ยวจะฟังไม่ครบถ้วนนะหากเอาไปเล่าให้กวนเหิงหลุนเปียวฟังไม่หมดจะไม่นับว่าเป็นสหายที่จริงใจนะ"

มิคาดทั้งสองยังไม่ทันปีนขึ้นมาจากธารน้ำแข็งไป๋ซ่างกลับถูก'เจ้าทึ่ม'จงเจิ้งนั้นถีบตกลงไปใหม่เสียได้ นี่หรือไม่จึงกล่าวว่าอย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคนเจ้าทึ่มทื่อ!

"ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดจึงกล้าเอ่ยปากว่าข้ากับเจ้าไม่ใช่สามีภรรยากันน่ะ หลัวเฟยเฟิ่ง"

ฝ่ายคนในกระท่อมนั้นก็เป็นเช่นที่จงเจิ้งกล่าว เพราะต่อให้คนสามคนที่ตัวโตราวกับหมีควายหายไปจากภายในกระท่อมได้ครู่หนึ่งแล้ว พวกเขาก็หาได้ใส่ใจไม่ต่างยังคงถกเถียงต่อปากต่อคำกันหน้าแดงหน้าดำไม่พัก

"บัดนี้ข้าคือท่านหมอจาง จางเยี่ยนจื่อ ส่วนท่านคือคุณชายเซียว เซียวอู๋เกอท่านอย่าได้ลืมสิ้นไปสิ"

"แต่ความจริงเจ้าคือหลัวเฟยเฟิ่ง ที่แต่งงานกับข้า หลีเซี่ยงหลิ่วไปแล้ว จนตายเจ้าก็ยังเป็นผีของราชวงศ์หลีนี้ยากจะเปลี่ยนไปได้"

"ท่าน!"

"พูดไม่ออกเลยหรือ? หึ! ถึงวันนั้นกราบไหว้ฟ้าดินและบรรพชนเจ้าและข้าล้วนไม่เต็มใจ แต่ทุกพิธีการก็ทำขึ้นต่อหน้าอดีตฮ่องเต้ ต่อหน้าป้ายบรรพชนสกุลหลี หากจะเถียงว่าเจ้าไม่ใช่ภรรยาของข้าก็ไม่ใช่เพ้อฝันเกินไปหรอกหรือหลัวเฟยเฟิ่ง อ๋อไม่สิ จางฮองเฮา ต่อให้เจ้าเปลี่ยนชื่อแซ่อีกหมื่นอีกพันครั้งนั้นย่อมได้ แต่เจ้าเปลี่ยนความจริงที่เรากราบไหว้ฟ้าดิน ดื่มสุรามงคลและร่วมผูกผมในค่ำคืนเข้าหอไปไม่ได้จงจำไว้!"

ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องมาที่นางอย่างแน่วแน่ แน่วแน่เสียจนจางเยี่ยนจื่อหายใจลำบาก แต่ถึงเช่นนั้นภายในใจของนางก็ไม่อยากจะยอมรับอันใดทั้งสิ้น จางฮองเฮาอันใดกัน หลัวเฟยเฟิ่งผู้นั้นไม่อยู่แล้ว ฐานะบ้าบอนั้นนางอยากได้ที่ใดกันเล่าลือเขาเองก็ใช่ว่าจะพึงใจต่อนางเช่นกันมิใช่หรือ?

"ฝ่าบาท ไม่สิคุณชายเซียว ไหนๆ บัดนี้เราก็เปิดใจคุยกันแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อม ชีวิตข้านับจากจำความได้ก็รู้มาตลาดว่าตนเองเป็นโลหิตต่างสีของคนสกุลหลัว เป็นเพียงบุตรที่อาจเกิดจากคนเลี้ยงม้าหรือทาสสักคนในสกุลหลัวที่มารดาของข้ามีสัมพันธ์ด้วยในขณะที่แม่ทัพหลัวไปออกรบอยู่ชายแดนที่ห่างไกลเป็นพันลี้ ข่าวลือนี้ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะไม่เคยรับรู้รับฟังมาก่อนน่ะ"

จางเยี่ยนจื่อตัดสินใจเปิดเผยความจริงที่นางเองก็เพิ่งรู้เมื่อคนเองอายุได้เก้าหนาวเริ่มศึกษาวิชาการแพทย์อย่างจริงจังและรู้สึกไม่เป็นธรรมที่ตนเองถูกบิดากล่าวหาว่าเป็น'ลูกชายชู้'ซึ่งด้วยเพราะนางยังอายุน้อยจึงวู่วามแอบลักลอบเอาโลหิตของตนเองและบิดาไปให้ท่านอาจารย์ตรวจสอบแล้วความจริงก็ประจักษ์ก็คราวนั้นว่านางกับหลัวเหยียนฟ่านไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ!

ในวันนั้นเมื่อทราบนางจึงวิ่งไปร้องไห้ไป ตรงไปหา'ท่านย่า'หรือเหล่าฮูหยินหลัวเพื่อต้องการรู้ความจริงว่าคือสิ่งใดกันแน่ จึงได้รู้ความจริงว่าในอดีตนั้นฮูหยินรองเผิงเผยจินนั้นร้ายกาจนักคิดกำจัดมารดาของนางที่เป็นฮูหยินเอกจนถึงขนาดลอบวางยาปลุกกำหนัดแล้วให้ทาสเลี้ยงม้าข่มเหงมารดาของนางในราตรีหนึ่งของเมื่อสิบเก้าหนาวก่อน

ซึ่งราตรีนั้นบิดาของนางก็อยู่ในจวนด้วยยังไม่ได้ออกไปยังชายแดนแม้แต่น้อยดังข่าวลือที่กระจายออกไปแต่เขานั้นกลับมัวลุ่มหลงในมารยาร้อยเล่มเกวียนของนางปีศาจจิ้งจอกเผยจินที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาเป็นฮูหยินรองของเขาจึงไม่ได้ออกจากเรือนฮูหยินรองตลอดทั้งคืนนั้นทั้งที่สาวใช้ของมารดานางไปแจ้งแล้วว่ามารดาของนางหายตัวไป แล้วพอความจริงเปิดเผยแทนที่หลัวเหยียนฟ่านจะลงโทษภรรยารองของตนเองกลับทำเพียงสังหารทาสเลี้ยงม้าผู้นั้นไปแล้วปล่อยให้ภรรยาเอกของตนจมอยู่กับความอัปยศอดสูจนเกือบปลิดชีพตนเองอยู่หลายครั้งจนเมื่อนางทราบว่าตนเองตั้งครรภ์จึงฝืนใจมีชีวิตต่อไปแต่ก็แค่เพียงรอคลอดนางออกมาเท่านั้นหลังจากเห็นว่านางปลอดภัยแล้วและเห็นว่าพอจะฝากนางกับอนุจาง ในอดีตมารดาของนางจึงปลิดชีพตนเองแต่เรื่องนี้กลับถูกบิดเบือนเหลือเพียงมารดาของนางหลบหนีตามชายคนรักในอดีตไป หึ!หลัวเหยียนฟ่านมันไม่ใช่คน!

ยังดีที่เหล่าฮูหยินหลัวนั้นยังมีคุณธรรมอยู่บ้างรู้ว่าคนใครผิดใครถูกแต่เพราะชื่อเสียงของสกุลหลัวก็สำคัญจึงจำใจต้องปิดทุกสิ่งให้ตายไปพร้อมกับทาสเลี้ยงม้าผู้นั้นและมารดาของนาง ซึ่งความจริงที่เกิดขึ้นนี้นางตั้งใจไม่เปิดเผยให้ผู้ใดรู้อีกนอกจากตนเองและคนสกุลหลัว ทว่าวันนี้นางมิอาจปกปิดมันกับบุรุษที่คิดจะให้ตนเองเป็นฮองเฮาอนาคตไม่แน่นอน แต่หากเขากอบกู้บ้านเมืองสำเร็จ อีกฝ่ายก็สมควรได้รู้กระจ่างว่าที่แท้นางมีบิดาแท้จริงเป็นเพียงทาสเลี้ยงม้าต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นไม่คู่ควรเป็นหงส์เคียงข้างมังกรเช่นเขาจริงๆ

"ความจริงแล้วท่านแม่ของข้าไม่ได้คบชู้สู่ชาย แต่เป็นสตรีสมควรตายแซ่เผิงที่ทำร้ายมารดาของข้า แต่ที่สมควรตายกว่ากลับเป็นชายชั่วแซ่หลัวผู้นั้น ถึงกับเมินเฉยไม่ใส่ใจความถูกผิดเพราะหลงมารยานางจิ้งจอกเผยจิน แถมเขายังทำให้คนภายนอกสงสัยมาตลอดว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวของเขาเพื่อสนองความพึงใจให้ตนเองไม่ให้สกุลเดิมท่านแม่ของข้ามาเอาความผิดที่เขามีต่อท่านแม่ของข้าได้ ซึ่งก็ดียิ่ง ข้ายินดีมากนะ ถึงแท้จริงบิดาของข้าจะเป็นเพียงทาสเลี้ยงม้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่เช่นเขาก็ตาม"

เรื่องราวซับซ้อนภายหลังจวนเช่นนี้ไม่ใช่จะไม่เคยเกิดขึ้น ยิ่งเป็นเรื่องอิจฉาริษยาของสตรีล้วนมีแทบทุกจวน ยิ่งภายในวังหลวงยิ่งมีมากจนเขาเองก็ขี้เกียจจะนับว่าผู้ใดริษยาผู้ใดบ้างแต่เรื่องที่บุรุษผู้เป็นสามีลำเอียงถึงเพียงนี้เซียวอู๋เกอเพิ่งเคยได้ฟังเป็นครั้งแรก แต่พอได้ฟังความจริงนี้แทนที่จะไม่พึงใจ เขากลับสบายใจอย่างประหลาด สบายใจที่นางไม่เกี่ยวข้องอันใดกันคนสกุลหลัวนะหรือ?

...น่าแปลกเสียจริง เหตุเขาต้องสบายใจด้วย...

"ที่เจ้ากล่าวมาตั้งมากมายคงเพราะต้องการจะบอกข้าว่าตนเองไม่เหมาะสมจะเป็นฮองเฮาใช่หรือไม่ เพราะเจ้ามีบิดาเป็นเพียงทาสเลี้ยงม้าเท่านั้น หรือตั้งใจจะบอกข้าว่าตนเองไม่คู่ควรกับฐานะฮองเฮาเพราะตนเองถูกสงสัยว่ามารดามากชู้หลายชายกันแน่"

"ก็ทั้งสองสิ่ง จะไปทิศทางใด ข้าก็ไม่เหมาะสมจะเป็นฮองเฮา"

"เหมาะสมหรือไม่ ไม่ใช่เจ้าหรือใครจะตัดสิน หากแต่เป็นข้าที่ตัดสิน"

จางเยี่ยนจื่อถึงกับกำหมดแน่น มิคาดว่าตนเองทนนั่งเปลืองน้ำลายอธิบายกับเขาไปตั้งมาก แต่เขากลับคืนสนองนางด้วยการกล่าววาจาขวานบิ่นตัดความหวังของนางไปเสียสิ้นเช่นนี้ นางทนเหนื่อยไปเสียเปล่าแล้วจริงๆ

"นั่นเจ้าจะไปที่ใด"

เมื่อเซียวอู๋เกอเห็นคนร่างเล็กลุกขึ้นไม่พูดไม่จาก้าวเท้าตรงไปยังประตูกระท่อมไม่ถกเถียงเอาเป็นเอาตายกับตนเองเช่นนิสัยไม่ยอมลงให้คนโดยง่ายของนางก็อดจะตะโกนถามออกไปเสียมิได้

"ไปที่ชอบเจ้าค่ะ!"

"..."

มิคาดนางจะตะโกนตอบกลับมาห้าคำแล้วปิดประตูกระท่อมกระแทกหน้าเขาเสียงดังปังใหญ่ ความแรงนั้นทำเอากระท่อมโยกไหวสะท้านสะเทือนเลยทีเดียว ไม่นานสามชีวิต จงเจิ้ง ฉางเฉี่ยน และหย่งเซิ่งก็ก้าวเข้ามาแทนที่ เห็นแล้วเซียวอู๋เกอก็รู้สึกว่าคนสนิททั้งสามนี้ช่างขวางหูขวางตาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!!!

"ไส-หัว-ไป!"

"..." จงเจิ้ง

"..."หย่งเซิ่ง

"..." ฉางเฉี่ยน

ทั้งสามจำใจต้องก้าวออกจากกระท่อมและปิดประตูอีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยเหลียวมองหน้ากัน อย่างไม่เข้าใจว่าพวกตนทำผิดอันใดจึงถูกขับไล่ออกมาเช่นนี้ ไม่นานสองบุรุษเรือนกายแกร่งก็กระจ่างซึ่งต่างจากขันทีเรือนกายอรชรที่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

"ก็ไม่ใช่ว่านายท่านเอาชนะท่านหมอจางได้หรอกหรือ เหตุใดยังอารมณ์ไม่ดี"

ฉางเฉี่ยนหันไปกล่าวกับสหายต่างวัยทั้งสองด้วยความไม่เข้าใจจริงๆ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าต่อปากต่อถกเถียงกันคราวนี้เป็นท่านหมอจางที่พ่ายแพ้ก่อนจะฉุนเฉียวตึงตังจากไปเหตุใด 'คุณชายเซียว'จึงไม่มีความสุขอีกเล่า?

"ไร้เดียงสา"หย่งเซิ่งกล่าว

"คนโง่"จงเจิ้งกล่าวปิดท้าย

ฉางเฉี่ยนถึงกับเกาศีรษะ ขันทีโฉมงามวัยสิบเก้าหนาวไม่เข้าใจว่าตนเองผิดพลาดที่ตรงใด นอกจากถูกผู้เป็นนายโมโหขับไล่ออกมาจากภายในแล้วเหตุใดจึงถูกสหายร่วมตายต่างวัยต่อว่าอีกด้วย แต่คิดเช่นไรก็คิดไม่ออก ดังนั้นเขาไปหาท่านหมอจางน่าจะเข้าท่ากว่า สองคนเมื่อครู่นับเป็นสหายที่จริงใจไม่ลงจริงๆ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ของหวงจอมทมิฬ   บทที่16

    บทที่16พอตกบ่ายจางเยี่ยนจื่อก็ตื่นขึ้นมาในสภาพหัวยุ่งหน้าตาบวมปูด จมูกแดงปากจิ้มลิ้มก็เจ่อจนดูตลก คราวนี้ท่านหมอจางคนเกิดก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว คราวแรกนางเกือบก้าวเท้าออกจากห้องแล้วยังดีพี่ฉางเอ๋อร์คนงามของนางนั้นร้องทักพร้อมส่งคันฉ่องมาให้ดู จางเยี่ยนจื่อจึงม้วนตัวกลับเข้าห้องมาอย่างว่องไว สภาพตลกเล่นนี้แม้แต่เจอสุนัขล่าเนื้อของชาวบ้านมันยังเห่าดังนั้นอย่าได้คาดหวังเลยว่าผู้คนพบเข้าจะไม่ขบขันนาง"ข้าชิงชังเขายิ่งนัก!"โมโหเดือดขึ้นมาท่านหมอจางคนเก่งจึงระเบิดคำพูดออกมาโดยลืมยั้งคิด พอตั้งสติได้จึงค่อยเหลียวซ้ายแลขวาราวกับหนูกลัวแมว ก็คนบ้าผู้นั้นน่ากลัวเกินไปประเดี๋ยวก็ดีประเดี๋ยวก็ร้ายทำตัวราวกับสตรีวัยใกล้หมดรอบเดือนทั้งที่เขาก็เพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบสองเท่านั้น หรือว่า? ..."นี่พี่ฉางเอ๋อร์ข้ามีเรื่องอยากหารือ"จางเยี่ยนจื่อนั้นกระโดดลงจากเตียงลงไปนั่งบนเก้าอี้ข้างฉางเฉี่ยนจนขันทีคนงามต้องผวาถอยห่างออกไปราวกับอีกฝ่ายคือยาพิษ ทำเอาหญิงสาวถึงกับชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่พึงใจนักที่อีกฝ่ายดูรังเกียจตนเองแปลกๆ"ข้าไม่ใช่หนอนบุ้งสักหน่อยพอเข้าใกล้จะได้คัน"ฉางเฉี่ยนไม่อยากจะกล่าว

  • ของหวงจอมทมิฬ   บทที่15

    บทที่15"คนชั่ว! ท่านอย่าเข้ามาอีกนะ!"คนตัวน้อยไม่มีหนทางจะถอยหนีแล้ว แต่เจ้าคนถูก'ผีบ้า'เข้าสิงสู่นั้นกลับยังคงรุกรานคืบคลานไล่ต้อนนางเข้ามาไม่หยุดสองมือเล็กยกขึ้นกำด้ามกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น แต่คงเกร็งมากไปมือน้อยนั้นกลับสั่นไหวไม่หยุด"ก็บอกว่าอย่าเข้ามาเช่นไรเล่า! หากเข้ามาอีกข้าจะจะแทงท่านที่หัวใจ!"มุมปากแกร่งกระตุกด้านขวาของเซียวอู๋เกอค่อยๆ ยกโค้งขึ้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจราคะนั้นยิ่งทำให้จางเยี่ยนจื่อนั้นย่อมหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าขณะนี้แปลกไปมากจริงๆ นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายโกรธนางด้วยเรื่องอันใดกันแน่ และยิ่งไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอันใดไปจึงดูคล้ายถูกปีศาจราคะสิงสู่เช่นนี้ ซึ่งนางก็เป็นสตรีย่อมหวาดกลัวอยู่มาก"เช่นนั้นก็แทงสิ เจ้าเป็นหมอและยังรู้จุดตายของข้าดีกว่าผู้ใด แทงลงมาเลย แทงตรงนี้"มือแกร่งของเซียวอู๋เกอจับที่กระบี่ของตนเองแล้วลากลงมาจากลำคอตรงมายังตำแหน่งของหัวใจที่ต่างจากผู้อื่นของตน ดวงตาของเขานั้นจับจ้องมองมาที่นางแน่วแน่ เรียวปากแกร่งนั้นแย้มยิ้มแต่รอยยิ้มดังกล่าวกลับไปไม่ถึงดวงตาหงส์คู่นั้นเลยแม้แต่น้อย เขาออกแรงกดมันแทงเข้าเนื้อจนจางเยี่ยนจื่อตาโต นางเป็นท่านหมอในชีว

  • ของหวงจอมทมิฬ   บทที่14

    บทที่14ดังนั้นหลายวันมานี้จางเยี่ยนจื่อจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดไป คิดทบทวนจนแน่ใจหญิงสาวก็กระจ่างว่าที่หายไปก็คือ'เจ้ากรรมนายเวร'เช่นเซียวอู๋เกอนี่เอง ถึงจะอยู่เรือนเดียวกันนอนห้องเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้นอกจากเวลาทำแผลใส่ยาเขาก็หายหน้าไปตลอดวันและถึงจะนอนห้องเดียวกันพอนางล้มตัวลงนอนอีกฝ่ายก็ลุกไปกลับมายามใดนางเอกก็ไม่รู้เช่นกัน พอนางตื่นขึ้นมาเขาก็หายไปแล้วกรี๊ด! 'ในที่สุดข้าก็หมดเวรสิ้นกรรมกับเจ้าคนหน้าหนาหน้าทนแล้ว'จางเยี่ยนจื่อไม่สนใจหรอกว่าเกิดอันใดขึ้นกับอีกฝ่าย นางสนใจแต่อีกฝ่ายไม่เป็นดังเงาตามติดก็เพียงพอแล้วเพราะหากมีโอกาสนางจะได้หนีไปสักครา แค่คิดถึงอิสระจางเยี่ยนจื่อก็มีความสุขจนเดินผ่านสุนัขนางก็ยิ้มให้มัน เดินผ่านไก่แจ้ แมวเหมียว แม้แต่วัวหรือกระบือนางก็สามารถยิ้มพร้อมโบกมือทักทายพวกมันอย่างสนิทสนมจน ฉางเฉี่ยนกับหลุนเปียวนั้นชักจะกลุ้มใจแล้วจริงๆอีกคนก็เคร่งขรึมจนน่าหวาดหวั่นอีกคนก็ดูร่าเริงอารมณ์ดียิ้มได้ทั้งวันราวกับไปกินสมุนไพรผิดชนิดจนเมามายแล้วมีอาการตาหวานเยิ้มหนักข้อขึ้นทุกวันจนใกล้วันจะเดินทางไปจากหมู่บ้านถงซานแห่งนี้เข้าไปทุกทีอาการประหลาดของผู้เป็นนายทั้งสองก็ท

  • ของหวงจอมทมิฬ   บทที่13

    บทที่13ฝ่ายคนที่ทำให้'ฉางเอ๋อร์เจี่ยเจีย'นั้นเสียกิริยาและฟุ้งซ่านนั้นกลับยังสบายใจตรงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดแล้วจึงค่อยไปทำแผลใส่ยาให้กับ'หนี้รักหนี้แค้น'ของตนเองอย่าง'ใส่ใจ'จนค่ำคืนนั้นเสียงร้องโอดโอยดังลอยออกมาจากห้องของสองสามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียวแต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวไปยุ่งด้วยแม้แต่ฉางเฉี่ยนหรือสององครักษ์เกาเหิงและหลุนเปียว"เจ้ามันก็ดีแต่รังแกข้า กับท่านหัวหน้าหมู่บ้านผู้นั้นเจ้าไม่เห็นไปเอาความกับเขาบ้างเล่า?"หลังจากถูกท่านหมอจางผู้อำมหิตลงมือทำแผลอย่างไม่ปรานีเสร็จแล้วเซียวอู๋เกอจึงอดจะกล่าวออกมาด้วยความแค้นเคืองเสียมิได้เพราะกับเขานางตามเก็บไม่มีพัก เถียงได้ถึงแอบหลอกด่าได้นางทำ แม้แต่รังแกเขาด้วยการทำแผลหนักมือจางเยี่ยนจื่อนั้นก็ไม่เคยไว้หน้าฐานะ'ฮ่องเต้'ของตนเลยสักครั้งช่างสมควรตายเสียจริง!"คนเช่นเฝิงคุนผู้นั้นไม่ต้องถึงมือของข้าหรอกแค่ฮูหยินเอกของเขาเพียงผู้เดียวช่วงนี้พวกเราก็จะไม่เจอหน้าเขาไปอีกหลายสิบวันเชียวละ ท่านเชื่อข้าเถอะ"กล่าวไปจางเยี่ยนจื่อก็เช็ดทำความสะอาดเครื่องไม้เครื่องมือไป เซียวอู๋เกอรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ปกติแล้วจริงๆ เพราะเห็นจา

  • ของหวงจอมทมิฬ   บทที่12

    บทที่12หลังจากผ่านด่านดังกล่าวมาอย่างราบรื่นทุกคนก็ต่างหายใจสะดวกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เซียวอู๋เกอก็มอบให้หลุนเปียวหาทางส่งข่าวไปหาจงเจิ้งและหย่งเซิ่งเสียก่อน เพราะกังวลว่าทั้งสองอาจขึ้นเขาแล้วไปพบกับทหารชุดดังกล่าวเข้าอาจจะลำบากมิสู้แจ้งข่าวให้อีกฝ่ายทราบแล้วตามไปพบกันยังหมู่บ้านถงซานย่อมดีกว่า หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยทั้งเจ็ดชีวิตก็ตรงไปยังบ้านของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยทันทีกว่าจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านถงซานก็ดวงอาทิตย์ใกล้ชิงพลบเสียแล้ว ซึ่งทั้งหมดก็เดินตามกลุ่มนายพรานและชาวบ้านที่ออกไปเก็บข้าวสาลีผ่านซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้านไปได้ด้วยดี มีหลายคนที่ทักทายสองผู้เฒ่า แต่พอเห็นหน้าของจางเยี่ยนจื่อพวกเขาก็ไม่ตามต่อ เพราะทราบดีว่าท่านหมอจางนั้นเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยจึงเคารพอีกฝ่ายราวกับเทพธิดา เนื่องจากจางเยี่ยนจื่อเมื่อสามหนาวก่อนนางได้ช่วยชีวิตของบุตรชายคนเดียวของท่านลุงและท่านป้าเพ่ยที่ไปสอบเป็นเสมียนอำเภอหนิงเสวียนจากพิษของงูแมวเซาต่อมาเมื่อหนึ่งหนาวก่อนฮูหยินของบุตรชายของสกุลเพ่ยนั้นคลอดลูกยากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็เป็นท่านหมอจางอีกที่ไปช่วยทำคล

  • ของหวงจอมทมิฬ   บทที่11

    บทที่11เซียวอู๋เกอนั้นมองการกระทำของจางเยี่ยนจื่อที่สาดผงบางสิ่งลงไปตามรอยเท้าแล้วจากนั้นนางก็ใช้เข็มเงินแทงลงไปที่รอยเท้าดังกล่าว ก็แปลกใจนักไม่เข้าใจว่านางแยกแยะได้เช่นไรว่ารอยเท้าใดเป็นของสองผู้เฒ่ากับสององครักษ์ของเขา เพราะชายหนุ่มแน่ใจอย่างยิ่งว่าบนเขาแห่งนี้ไม่ใช่มีเพียงพวกเขากับสองผู้เฒ่าเท่านั้น แต่ต้องมีนายพรานและชาวบ้านอีกมากที่ขึ้นเขามาในแต่ละวัน วันนี้ก็คงไม่ต่างกัน ทว่าเซียวอู๋เกอนั้นก็ไร้โอกาสที่จะสอบถามเดินอยู่หนึ่งชั่วยามโดยอาศัยหูที่ดีเป็นพิเศษของฉางเฉี่ยนกับสายตาและจมูกที่ว่องไวของเขาจึงหลบหลีกนายพรานกับชาวบ้านได้โดยตลอด ต่อมาอีกครึ่งชั่วยามก็พบกับทั้งสองผู้เฒ่าแซ่เพ่ยกับสององครักษ์หลุนเปียวและเกาเหิงได้อย่างน่าประหลาดใจสำหรับเซียวอู๋เกอยิ่งนักเพราะถึงเขาจะผ่านการฝึกฝนมีทุกแขนงทุกศาสตร์ทั้งต่อสู้ กลศึกไปจนถึงการเขียนพู่กันและเดินหมากชงชาเขาล้วนถูกเข้มงวดมาตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว แต่วิชาสะกดรอยตามบนภูเขานี้สำหรับเขานั้นไม่ง่ายและแปลกใหม่เหลือเกินและคาดว่าในเมืองหลวงสาวน้อยที่ทำได้อาจมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเป็นแน่"นายท่าน นายหญิง เกิดอันใดขึ้น?"เป็นเกาเหิงที่ตรงเข้ามาทำค

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status