ด้านหลังหมู่บ้านหยางฮัว ในเรือนท่านยายหมี่ ทุกคนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความเกรงใจเจ้าของเรือน หวงชางหาบถังไม้ไปตักน้ำที่ลำธาร ฉินซื่อทำอาหารเช้าให้ท่านยายหมี่ หวงจื่อถงทำความสะอาดลานบ้าน มีเพียงเด็กน้อยสองคน ที่นั่งแกว่งเท้าไปมา ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน
“ฉินซื่อเจ้าต้มโจ๊กน้อยไป”
ท่านยายหมี่ตำหนินางหลังเดินมาด้านหลังเงียบ ๆ
“ท่านยายหมี่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าต้มโจ๊กให้ท่านคนเดียว ประเดี๋ยวพอพี่ชางตักน้ำเต็มถังแล้ว พวกเราจะพากันไปเก็บผักป่าบนภูเขาเจ้าค่ะ”
ฉินซื่อรีบบอก ด้วยเกรงว่าท่านยายหมี่จะหาว่านางถือวิสาสะใช้เสบียงของท่าน
“เจ้านี่มันยังไง ข้าบอกว่าเจ้าต้มโจ๊กน้อยไป เพิ่มข้าวขาวไปอีกให้พอกินกันทุกคน”
“แต่ท่านยายหมี่เจ้าคะ พวกข้าเอ่อ”
“ข้าบอกให้พวกเจ้ากินก็กินไป อย่ามาเรื่องมาก”
“ขอบคุณท่านยายหมี่เจ้าค่ะ” ฉินซื่อน้ำตาคลอเบ้าอย่างไม่รู้ตัว นางรู้ว่าท่านยายหมี่สงสารครอบครัวของนาง “แต่ข้าไม่อาจเอาเปรียบท่านยายหมี่ได้”
“เด็กโง่ ข้าเต็มใจให้ข้าวพวกเจ้ากิน เป็นการเอาเปรียบตรงไหน เจ้าดูนั่นสามีของเจ้าหาบน้ำให้ข้าเต็มสองสามถัง ลูกชายของเจ้าก็กวาดลานบ้านข้าจนสะอาด เด็กน้อยสองคนนั้นแค่ได้มองพวกนาง ข้าก็สบายตาได้แล้ว มีสิ่งใดที่เรียกว่าเอาเปรียบกัน ข้าไม่ได้จะเลี้ยงดูพวกเจ้าไปจนตายเสียหน่อย ใช่ว่าพวกเจ้าไม่มีมือเท้าเสียเมื่อไหร่ หรือไม่คิดจะหางานการทำ”
ท่านยายหมี่ทำเสียงดุในตอนท้าย
ฉินซื่อรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านยายหมี่ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น พี่ชางสามารถขึ้นเขาไปหาสัตว์ป่าได้ หรือไม่ก็ไปรับจ้างในอำเภอก็ได้ ส่วนข้าก็สามารถซักผ้าทำกับข้าวให้ท่านได้”
“ขอเพียงพวกเจ้าไม่ยอมแพ้ สิ่งใดก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
ท่านยายหมี่เช็ดน้ำตาให้ฉินซื่อ ในใจหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย แม้นางจะเอ็นดูพวกเขา นั่นเพราะค่าเช่าห้าสิบอีแปะที่ท่านยายเจียงมอบให้ ถึงสามารถซื้อเสบียงมาเพิ่มได้ หากหมดแล้วไม่มีค่าเช่าก็ยังไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อ
ลำธารประจำหมู่บ้าน อยู่ไกลจากเรือนของท่านยายหมี่ไม่มากนัก ใช้เวลาเดินไปกลับเพียงหนึ่งเค่อ ทว่าอยู่ไกลจากเรือนของท่านยายเจียงเล็กน้อย สองพี่น้องตระกูลหวงได้พบกันที่ลำธาร จึงได้หยุดพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง
“น้องสามเมื่อวานพวกเจ้าคงหิวโหยน่าดู ท่านยายอยากแบ่งปันอาหารให้พวกเจ้า แต่ท่านแม่ห้ามเอาไว้” หวงเต๋อมีนิสัยอ่อนโยนและไม่มีปากเสียงมาแต่ไหนแต่ไร เขาได้แต่สงสารน้องชายแต่ไม่กล้ายื่นมือช่วยเหลือ
“พี่รองเหตุใดท่านแม่ต้องห้ามด้วยเล่า” ความลำเอียงเมื่อได้รับนานวันเข้า หวงชางรู้สึกเจ็บปวดจนด้านชากับมันแล้วเหมือนกัน
“ท่านแม่บอกว่าพวกเจ้าไม่หิวกันหรอก เก็บเอาไว้ให้หลานชายสองคนของบ้านใหญ่กินดีกว่า” หวงเต๋อกล่าวแล้วระบายลมหายใจออกไปด้วย “เจ้ามาตักน้ำเช่นนี้มีแรงรึ” เขาใช้ถังไม้ตักน้ำในลำธารไปด้วยระหว่างถาม
หวงชาง “ท่านยายหมี่สงสาร เลยให้โจ๊กพวกข้ากินคนละไม่กี่คำ”
“ยังดี ๆ”
“ข้าเกรงใจท่านยายหมี่มาก ที่เรือนของท่านยายหมี่เองก็ไม่มีเสบียงเหลือแล้ว ตอนกลางวันกะว่าจะขึ้นไปล่าสัตว์ป่าบนภูเขาดู พี่รองท่านสนใจไปด้วยกันไหม”
“น้องสามเจ้าก็รู้ว่าข้าล่าสัตว์ไม่เป็น ข้าตั้งใจไปหางานในอำเภอทำ พี่ใหญ่ก็ตั้งใจไว้เช่นนี้”
“เช่นนั้นฝากท่านหางานเผื่อข้าด้วยก็แล้วกัน ข้าคงต้องหาทางให้อิ่มท้องก่อน ถึงจะมีแรงออกไปหางานทำที่อื่น”
หวงชางหมดหวังกับบิดามารดาของตนแล้ว หวังเพิ่งพาท่านยายเจียงคงเป็นไปได้ยาก สตรีที่ถูกไล่ออกจากเรือนต้องเลี้ยงดูหลานสาวเพียงลำพัง ในวัยไม้ใกล้ฝั่งเช่นนี้ ไหนเลยจะง่ายดาย
“ข้าจะลองหาดูให้” หวงเต๋อเอ่ยคล้ายคนขาดความมั่นใจ หางานในอำเภอไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น
หลังกินมื้อเช้ากันอิ่มแล้ว หวงชางก็พาบุตรชายขึ้นไปบนภูเขา หลินลู่ฉีได้แต่มองตามตาละห้อย แค่นางเอ่ยปากอยากไปด้วย ทุกคนก็ลูบศีรษะนางแล้วหัวเราะเบา ๆ ไม่มีใครใส่ใจในคำพูดของนางเลย
“เจ้าจะขึ้นไปให้เป็นภาระลุงของเจ้ารึ” ท่านยายหมี่เอ็นดูนางเป็นอย่างมาก เด็กคนนี้รู้ความกว่าหวงจื่อเหยา ที่อายุมากกว่าหนึ่งปีเสียอีก เด็กคนนั้นยังร้องไห้หาพ่อแม่อยู่บ้าง แต่หลินลู่ฉีกลับไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง
“ข้าอยากช่วยหาของกิน” เด็กน้อยเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“อยู่กับข้านี่มีของกินเยอะแยะ จะขึ้นเขาไปให้ลำบากทำไม”
“ท่านยายโกหก”
“เจ้าเด็กนี่กล้าว่าข้ารึ” ท่านยายหมี่จิ้มหน้าผากนางแรง ๆ เจ้าตัวน้อยเซหงายหลังเกือบล้ม
“เจ็บ”
“สมควรโดนแล้ว” ท่านยายหมี่ยิ้มขำนาง ก่อนจะล้วงก้อนน้ำตาลออกมาจากแขนเสื้อ “เห็นไหมนี่อย่างไรล่ะ”
สีหน้าตั้งความหวังของท่านยายหมี่ ทำเอาหลินลู่ฉีร้อนรนขึ้นมา
ข้าต้องดีใจใช่ไหม
กำปั้นน้อยยกขึ้นเหนือศีรษะ เขย่าเบา ๆ พร้อมเอ่ย “เย้ ๆ ข้ามีน้ำตาลกิน...แล้ว”
“เจ้าเด็กนี่เหตุใดดีใจได้จอมปลอมเพียงนี้ ฉินซื่อสมองนางมีปัญหาหรือไม่” หญิงชรารีบตะโกนถามหลินซื่อ ที่กำลังเช็ดหน้าเช็ดตา ให้บุตรสาวอยู่หน้าห้องครัว
“ท่านยายหมี่นางไม่ได้มีปัญหานะเจ้าคะ ปกติดีทุกอย่างแค่จดจำอดีตไม่ค่อยได้ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง” ฉินซื่อตะโกนออกมา พร้อมจูงมือบุตรสาวออกมาด้วย
“น้ำตาล !” หวงจื่อเหยาตาวาวเป็นประกาย วิ่งไปหยุดอยู่หน้าก้อนน้ำตาลในมือของท่านยายหมี่ อีกทั้งน้ำลายยังไหลออกจากมุมปากอีกต่างหาก
อี๋ หลินลู่ฉีรังเกียจยิ่งนัก
“มันต้องแบบนี้สิ อ๊ะ ให้เหยาเอ๋อร์หนึ่งก้อน” ท่านยายหมี่ยื่นก้อนน้ำตาลให้หวงจื่อเหยา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หวงจื่อเหยาประคองก้อนน้ำตาลในมืออย่างหวงแหน ค่อย ๆ แทะเลียกินอย่างระมัดระวัง
“ก้อนนี้ให้ฉีฉีน้อย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย” หลินลู่ฉีจำต้องเลียนแบบหวงจื่อเหยา เพียงแต่นางค่อย ๆ เลียกินพอเป็นพิธี
“เด็กคนนี้แปลกนัก” ท่านยายหมี่ยิ่งมองยิ่งเห็นความต่าง
ฉินซื่อเองก็เห็นความแตกต่างของเด็กน้อยทั้งสอง “เพราะฉีฉีคือเด็กที่พวกข้าเก็บมาจากข้างทาง นางเลยค่อนข้างขลาดกลัวเจ้าค่ะท่านยายหมี่”
“อย่างนั้นรึ” หญิงชราหรี่ตาลงอย่างแปลกใจ ท่าทางของเด็กน้อยนั่นไม่ใช่ขลาดกลัวเสียหน่อย เหมือนรังเกียจก้อนน้ำตาลในมือเสียมากกว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“ท่านยายหมี่เจ้าคะ ข้าตั้งใจจะไปเก็บผักป่ารอบ ๆ ตีนเขาเสียหน่อย ไม่รู้ว่าสามารถพาเด็ก ๆ ไปด้วยได้ไหม” นางเกรงใจไม่กล้าออกปากฝากเด็กไว้กับท่านยายหมี่
“พาไปได้ตีนเขาไม่มีสัตว์ป่าลงมาหรอก อีกอย่างบนเขาจะยังเหลือสัตว์ป่าอยู่ไหมก็ไม่รู้ แต่ผักป่าตีนเขาไม่ค่อยเหลือแล้ว ชาวบ้านเก็บกินกันหมด”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ เขาดูก็ยังดี”
หลินลู่ฉีแทะก้อนน้ำตาลไปพร้อมลุ้นไปด้วย นางอยากไปหาของป่าเหมือนกันนะ
“เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าเองก็อยู่บ้านว่าง ๆ ข้านำทางเจ้าไปดีกว่า จะได้ช่วยดูเด็ก ๆ ด้วย”
“รบกวนท่านยายหมี่เกินไปหรือไม่”
“ไม่รบกวน ๆ ปกติข้าไม่ค่อยได้ออกไปไหน ผักป่าไหนเลยจะได้กินเหมือนคนอื่น ไป ๆ เอาน้ำกรอกใส่กระบอกไม้ไผ่ไปด้วย เผื่อเด็ก ๆ หิวระหว่างทาง”
“เจ้าค่ะ” หลินซื่อรีบไปทำตามที่ท่านยายหมี่บอก
ลับหลังผู้ใหญ่ทั้งสอง หลินลู่ฉีก็ยัดก้อนน้ำตาลใส่มือของหวงจื่อเหยา “ข้าอิ่มแล้วพี่จื่อเหยากินเถอะ”
“น้องสาวเจ้าไม่กินจริงรึ นี่มันอร่อยมากเลยนะ”
“ข้าไม่กินแล้ว พี่จื่อเหยากินเถอะ” นางรีบไปล้างมือเพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาไปกับผู้ใหญ่
บนหลังของฉินซื่อมีตะกร้าอยู่หนึ่งใบ ท่านยายหมี่เดินตัวปลิวนำหน้า เด็ก ๆ วิ่งตามหลังไปติด ๆ ฉินซื่อรั้งท้าย เป็นการเดินขึ้นเขาไปอย่างไม่รีบร้อน เด็ก ๆ แวะเล่นกับผีเสื้อข้างทาง ผู้ใหญ่ก็ไม่เร่งเร้าพวกนาง หลินลู่ฉีอยากไปถึงที่เก็บผักป่าเร็ว ๆ นางจึงรีบวิ่งนำหน้าไปก่อน หวงจื่อเหยาเมื่อไม่เห็นน้องสาว นางก็เลิกสนใจผีเสื้อวิ่งตามหลังหลินลู่ฉีไปติด ๆ
บทที่ 11 : ก้อนหินนี่นา ราวสองเค่อพวกเขาได้เดินมาถึงแหล่งเก็บผักป่าของชาวบ้าน แถวนี้เหลือผักป่าให้เก็บไม่มากนัก ฉินซื่อมองไปทางท่านยายหมี่ เอ่ย “ท่านนั่งเล่นกับเด็ก ๆ ใต้ต้นไม้เถอะเจ้าค่ะ ผักป่าตรงนี้มีไม่เยอะ ข้าเก็บครู่เดียวก็หมดแล้ว” “ได้ ๆ เจ้าไปเถอะ” ท่านยายหมี่เดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ มองเด็ก ๆ วิ่งเล่นไปมา เป็นช่วงเวลาที่แปลกใหม่สำหรับหญิงชรา เพิ่งเข้าใจคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ที่มักมาอวดลูกอวดหลานอยู่เสมอ เด็กน้อยน่ารักเพียงนี้ ทว่าแอบผอมแห้งไปเสียหน่อย หากได้บำรุงเรื่องอาหารการกินดี ๆ คงอวบอ้วนกลายเป็นซาลาเปาก้อนน้อย ๆ มีหรือคนเห็นจะไม่รักไม่หลงได้ นางคิดไปไกลเกินตัวเสียแล้ว&nbs
บทที่ 10 : เย้ ๆ ข้ามีน้ำตาลกิน...แล้ว ด้านหลังหมู่บ้านหยางฮัว ในเรือนท่านยายหมี่ ทุกคนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความเกรงใจเจ้าของเรือน หวงชางหาบถังไม้ไปตักน้ำที่ลำธาร ฉินซื่อทำอาหารเช้าให้ท่านยายหมี่ หวงจื่อถงทำความสะอาดลานบ้าน มีเพียงเด็กน้อยสองคน ที่นั่งแกว่งเท้าไปมา ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน “ฉินซื่อเจ้าต้มโจ๊กน้อยไป” ท่านยายหมี่ตำหนินางหลังเดินมาด้านหลังเงียบ ๆ “ท่านยายหมี่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าต้มโจ๊กให้ท่านคนเดียว ประเดี๋ยวพอพี่ชางตักน้ำเต็มถังแล้ว พวกเราจะพากันไปเก็บผักป่าบนภูเขาเจ้าค่ะ” ฉินซื่อรีบบอก ด้วยเกรงว่าท่านยายหมี่จะหาว่านางถือวิสาสะใช้เสบียงของท่าน “เจ้านี่มันยังไง
บทที่ 12 : ท่านยายหมี่ข้ากับถงเอ๋อร์ได้ไก่ป่ามาหนึ่งตัวขอรับ เมื่อกลับไปถึงเรือนของท่านยายหมี่ พบหม่าซูเหวินมายืนชะเง้อคอมองเข้าไปในเรือนอยู่ก่อนหน้าแล้ว “เหวินเอ๋อร์มาหายายหรือลูก” ท่านยายหมี่ทักถามนาง “ข้านึกว่าพวกท่านอยู่ในเรือนกัน ข้ามาดูครอบครัวพี่ชายหวงชางเจ้าค่ะท่านยายหมี่” หม่าซูเหวินได้รับการไหว้วานจากผู้เป็นย่า ให้มาสอบถามความเป็นอยู่ของคนบ้านสาม “เข้าบ้านก่อนค่อยคุยกัน” ท่านยายหมี่เดินนำหน้าทุกคนเปิดประตูเข้าไปในเรือน ไม่มีน้ำชาต้อนรับแขก ฉินซื่อจึงนำน้ำร้อนออกมาวางไว้บนโต๊ะแทน “ขอบคุณพี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ”&nbs
บทที่ 8 : เจียงชุน หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี “ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้” นางเจียงร้อ
บทที่ 7 : ไปให้พ้น ! ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาแซ่เจียง หลินลู่ฉีอยากลงเดินเพื่อให้หวงชางได้เบาหลังบ้าง แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ทิ้งระยะห่างจากคนตระกูลหวงเสียแล้ว โทษใครได้ขานางสั้นเกินไปจริง ๆ “เจ้าอยากเดินนักเป็นอย่างไรล่ะ” หวงจื่อถงจิ้มจมูกเล็ก ๆ ของนาง “มาขี่หลังข้า ให้ท่านพ่อได้พักบ้าง” เขาย่อตัวลงหวังให้น้องสาวตัวน้อยได้ขี่หลัง หลินลู่ฉีมองดูร่างผอมแห้งของเขาแล้วหนักอึ้งในใจ นางเงยหน้าขึ้นมองหวงชางกับฉินซื่อ “ให้พี่ชายของเจ้าลองดู ไหวหรือไม่เดี๋ยวก็รู้” หวงชางยิ้มระหว่างมองสบสายตากับเด็กน้อย เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งลี้หวงจื่อถงก็ไม่ไหวเสียแล้ว เป็นหวงชางที่ต้องแบกหลินลู่ฉีต่อไป ส่
บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่ ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย “ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง “เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ” ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง&nb