“ใช่ข้าเห็นด้วย เจ้าสมควรแก่วัยที่จะออกเรือนได้แล้ว อีกอย่างนิสัยร้ายกาจเช่นเจ้า สตรีใดจะคู่ควรกับเจ้าเท่าท่านแม่ทัพหยวน ทั้งแผ่นดินหาไม่ได้แล้วจริง ๆ”
เมื่อบุตรชายติดกับของเขาแล้ว น้ำเสียงและสีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นเริงร่า ใจจริงเขาไม่อยากให้มีการแต่งงานที่มิได้เกิดจากความรัก แต่หากปล่อยโอกาสนี้ไป เขาไม่รู้ว่าอีกสักกี่ปี บุตรชายจะแต่งงานเสียที เขาแก่ชราลงทุกวันอยากเห็นหน้าหลานก่อนตาย
“ตรงไหนที่เรียกว่าร้ายกาจขอรับ”
“ทุกตรงในสายตาของข้า”
การตอบโต้ของสองพ่อลูก ทำให้คนที่ร่วมรับฟังได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา ทว่าด้านนอกห้องนั้นนับเป็นข่าวสำคัญ ที่ต้องนำไปส่งให้แก่ผู้เป็นนาย ซึ่งทำให้พ่อลูกคลี่ยิ้มพอใจ กับสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผย
เพราะสมรสพระราชทานในครั้งนี้ ยังไม่ได้ประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ จะมีเพียงครอบครัวว่าที่บ่าวสาวเท่านั้นที่รับรู้ ฉะนั้นนับว่าเป็นข่าวสารสำคัญสำหรับหลายฝ่าย
“ท่านพี่จะรับนางมาพักที่จวนหรือไม่เจ้าคะ”
กั๋วฮูหยินเอ่ยถามสามี ซึ่งนางเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้นอยู่มาก เพราะอย่างน้อยก็จะได้ทำความรู้จักกันบ้าง ก่อนจะเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้
“นางคงต้องอยู่ยังจวนแม่ทัพก่อน เพราะเรื่องนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ จนกว่านางจะมาถึงเมืองหลวง”
“ข้าหวังยิ่งนัก ว่านางจะไม่ถูกต้อนรับก่อนเข้าเมืองหลวง” กั๋วเชียวหลางพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มยียวน
“หึ ๆ เจ้าในฐานะว่าที่สามี ถึงสมควรอย่างยิ่งที่จะออกไปรอรับนาง”
“เมื่อครู่ข้าพูดผิดไป เอาเป็นว่านางจะเดินทางมาเป็นภรรยาของข้าอย่างปลอดภัย”
กั๋วเชียวหลางรีบเปลี่ยนคำพูดในทันที เมื่อบิดาคิดจะให้เขาออกไปรอรับนาง ยังนอกเมืองหลวง เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาพาตัวเองไปเป็นเหยื่ออันโอซะ สำหรับคนที่หมายหัวสกุลกั๋วและแม่ทัพสาว
“เจ้าคือว่าที่สามีและบิดาของบุตรในภายหน้า ไยจึงขี้ขลาดกับเรื่องแค่นี้เล่า”
ท่านมหาเสนาบดีรีบจี้ใจดำบุตรชาย อย่างคนที่รู้ทันในเล่ห์เหลี่ยมของกันและกันเป็นอย่างดี
“อีกกี่วันขอรับ”
“ไม่น่าเกินสิบวัน”
“ก็ได้! ข้าเห็นแก่คนชราทั้งสองหรอกนะ ฮ่า ๆ”
กั๋วเชียวหลางเย้าพ่อแม่ ก่อนจะหัวเราะชอบใจ ซึ่งเหล่าหนอนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในบ้านของเขา เพื่อคอยคาบข่าวไปแจ้งนายของมัน คงกำลังขำขันกับความอวดเก่ง ที่เขาแสดงอยู่ในตอนนี้มากทีเดียว
เพราะในสายตาของคนทั่วเมืองหลวง เขาคือตัวไร้ค่าที่ดีแต่อวดตัวไปวัน ๆ อยู่รอดมาได้จนโตก็เพราะอำนาจของบิดา ฝีมือนั้นเทียบไม่ได้กับเด็กสิบขวบเสียด้วยซ้ำ มันคือภาพที่ผู้คนจดจำ และเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้นต่อไป
“มิรู้จักโตเสียที”
กั๋วฮูหยินค้อนบุตรชาย ทว่าใบหน้ากลับมีรอยยิ้มกว้าง ไม่มีสุขใดของพ่อแม่ เท่ากับการที่ลูก ๆ ได้มีครอบครัวเป็นของตนเอง แม้ว่าบางครั้งอาจเลือกตามหัวใจตนเองไม่ได้
นางรู้ดีว่ามันคือแผนการบางอย่างของฮ่องเต้ แต่อย่างไรเสียมันก็คืออีกก้าวหนึ่งในชีวิตของบุตรชาย ส่วนทั้งคู่จะเดินเคียงกันจนแก่เฒ่าหรือไม่นั้น นางอยากให้เวลาและความใกล้ชิดเป็นสิ่งตัดสิน
หากมิใช่คู่วันหนึ่งก็ลาจาก แต่หากเป็นคู่หนุนนำชะตาก็พาเกี่ยวพันมิห่างหาย เหมือนที่นางกับสามีในอดีต แทบมิมองหน้ากันสักครั้ง แต่ความดีของเขา มันแตกต่างจากคำเล่าลือ ที่ผู้คนพูดให้นางได้ยินคนละทิศทางเลยทีเดียว สุดท้ายแล้วทั้งหัวใจของนางก็มอบแก่สามีจนหมดสิ้น
เมื่อการสนทนาในส่วนสำคัญจบลง เปลี่ยนเป็นเรื่องทั่วไปภายในครอบครัว หนึ่งในคนสวนที่อยู่ด้านนอกได้จากไปเช่นกัน และมันเป็นสิ่งที่คนด้านในรั้งรออยู่เช่นกัน
สิบวันถัดมา เมืองอู๋
คณะเดินทางของแม่ทัพสาวได้มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ที่มันเคยเป็นบ้านของครอบครัวสกุลเกา ซึ่งเป็นสกุลเดิมของมารดามู่อิง
“บ้านเจ้าน่าอยู่ยิ่งนัก คืนนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะทำอาหารเลี้ยงแขกอย่างอิ่มหนำนะมู่อิง”
แม่ทัพสาวงเอ่ยขึ้น ก่อนจะชำเลืองมองไปยังสาวใช้ข้างกาย แน่นอนว่าที่นี่คือบ้านเกิดของมู่อิง แม้ในอดีตเมืองแห่งนี้เสมือนนรกสำหรับมู่อิง แต่อย่างไรเสียมันก็ลบความจริงไม่ได้ ว่าที่นี่คือถิ่นกำเนิด
“เช่นนั้น บ่าวจะเข้าไปจัดเตรียมห้องให้ทุกคนนะเจ้าคะ”
มู่อิงพูดทั้งที่ดวงตายังจ้องมองไปยังหน้าประตูบานใหญ่ มันคือบ้านที่มารดาของนางเติบโตมา จนวันหนึ่งสกุลมารดาเสื่อมอำนาจ มันถูกขายไปและร้างคนอยู่มานานปี
แม้ในที่สุด มันกลับคืนมาเป็นของนางอย่างสมบูรณ์แล้วก็ตามทว่านางยังไม่เคยที่จะได้เข้าไปสำรวจด้านใน ว่ามันเป็นเช่นที่นางเคยจดจำได้หรือไม่
“ให้รองแม่ทัพเจาจัดการเถอะ ส่วนเจ้าไปเดินเล่นกับข้าสักหน่อยเถิด”
“เจ้าค่ะ”
แม่ทัพสาวส่งบังเหียนม้าให้แก่ทหารคนสนิท ก่อนจะเดินนำสาวใช้ไปยังทิศทางของสุสานของเมือง หากจะว่าไปแล้วสกุลมู่หาได้ยากไร้อย่างที่บิดาของมู่อิงกล่าวอ้าง แต่เพราะภรรยาใหม่ไม่อยากให้ลูก ๆ ของตนเองเป็นรองลูกเลี้ยง
จึงหาหนทางกำจัดมู่อิงให้พ้นทาง จากข่าวที่นางให้คนสืบหามานั้น ดูเหมือนว่าครอบครัวสกุลมู่ในตอนนี้ จะตกที่นั่งลำบากมาหลายปีแล้ว เพราะบุตรชายหญิงล้วนทำตัวไร้ค่าไปวัน ๆ งานการไม่ทำทรัพย์เดิมย่อมหมดลงในที่สุด
“ท่านแม่ทัพ”
“กายเจ้าเริ่มใหม่ แต่ใจเจ้ายังไม่เริ่ม หากอยากที่จะตัดสิ่งใด ต้องไปยังจุดเริ่มต้น”
แม่ทัพสาวตั้งใจที่จะให้มู่อิง เผชิญกับอดีตและจัดการทุกอย่างให้เด็ดขาดเสียที ปล่อยไปเนิ่นนานก็รังแต่จะค้างคาในใจ เหมือนที่นางทิ้งอดีตที่เจ็บปวด ให้กลายเป็นเพียงภาพฝัน แล้วเดินหน้ากับปัจจุบัน เพื่อได้หายใจต่อให้ยาวนานขึ้น
“ข้าแค่ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่ได้อยู่ในสุสานสกุลมู่เจ้าคะ”
“เจ้าอยากรู้ว่านางทำสิ่งใดผิดเช่นนั้นใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“นางจะทำผิดหรือไม่นั้น หาได้สำคัญเท่ากับที่นางปกป้องเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนคลอดเจ้าออกมาอย่างปลอดภัย" สองนายบ่าวก้าวมาหยุดยังหลุมศพของมู่ฮูหยิน ที่ตอนนี้รกไปด้วยหญ้า ทั้งคู่ได้ช่วยกันทำความสะอาดโดยรอบ ก่อนที่มู่อิงจะเก็บดอกไม้ป่าที่กำลังเบ่งบานอยู่อีกด้าน มาวางไว้ตรงหน้าหลุมศพของมารดา
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว