“ก่อนออกเดินทาง เราค่อยจ้างคนมาคอยดูแล และปลูกดอกไม้ให้แก่แม่ของเจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”
“พวกท่านเป็นใครกัน”
เสียงของชายชราจากด้านหลัง ทำให้สองนายบ่าวหันกลับไปมองอย่างใจเย็น
“ข้ากับน้องสาวมาเคารพญาติ”
“นางไร้ญาติมานานแล้ว นับตั้งแต่บุตรสาวของนางถูกขายไปเป็นทาสให้แก่พวกวาณิช”
น้ำเสียงติดกรุ่นโกรธของชายชรา ทำให้คิ้วเข้มของสองนายบ่าวขมวดเป็นปม ก่อนที่มู่อิงจะดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น คนที่นางคิดว่าตายไปแล้ว วันนี้กลับมาปรากฏต่อหน้านางราวชะตานำพายิ่งนัก
“ท่านลุง”
มู่อิงเรียกชายชราผู้เป็นพี่ชายของมารดา ซึ่งก็คือญาติฝั่งมารดาเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่
“เจ้าคือ!”
“ข้า...”
หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นนาย เพื่อขอความเห็นว่านางควรเปิดเผยตัวหรือไม่ ด้วยตำแหน่งของผู้เป็นนายในตอนนี้ ใช่ว่าจะป่าวประกาศได้อย่างสะดวกนัก ด้วยอันตรายมีอยู่รอบด้าน
และนางก็คือคนที่ศัตรูของท่านแม่ทัพรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะมือซ้ายที่เคียงข้างมิห่างกาย แม่ทัพสาวพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มอย่างให้กำลังใจต่อสาวใช้ ที่เสมือนน้องสาวอีกคนของนาง เช่นเดียวกันกับอู่หรง
“ข้าเอง...มู่อิง”
“ห๊า! เป็นเจ้าจริง ๆ เช่นนั้นรึ! ดวงตาข้าฝ้าฟางจนมองอะไรไม่ชัดเจนเช่นในอดีต เจ้าเป็นหลานสาวข้าจริง ๆ รึ! ฮือ ๆ เจ้า...เจ้ากลับมาแล้ว นางกลับมาแล้วนะเม่ยเม่ย ลูกสาวเจ้ากลับมาหาเราแล้ว”
ชายชราร้องไห้ราวเด็กน้อย มือหยาบกร้านบีบมือของหลานสาวแน่น เขาในอดีตต้องเดินทางทำการค้า จนครั้งล่าสุดถูกคดโกงจนไม่เหลือสิ่งใด กลับมาบ้านเกิดก็ได้รับข่าวร้าย
หลานสาวถูกขายมิรู้ชะตากรรม เมียรักที่คิดว่าซื่อตรงต่อเขา แต่งงานกับชายอื่น เพราะคิดว่าเขาตายไปแล้ว ลูกชายถูกทำร้ายจากสามีใหม่ของอดีตเมียรัก
เขาในฐานะพ่อที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เลือกที่จะลักพาตัวลูกชายออกจากบ้านของภรรยา แล้วก็ระหกระเหินไปยังต่างเมือง จนเวลาล่วงเลยไปนับสิบปี เขาจึงได้กลับมาที่เมืองนี้ และมาอาศัยอยู่กระท่อมชายป่า หวังที่จะตายในบ้านเกิดเท่านั้น
“ท่านพ่อ! เกิดสิ่งใดขึ้น บิดาข้าแค่คนชราคุณหนูทั้งสองโปรดอย่าได้ถือสาเลยนะขอรับ”
สองนายบ่าวมองไปยังชายหนุ่ม ที่มีรูปร่างกำยำเช่นคนทำงานหนัก บนใบหน้ามีร่องรอยบาดแผลขนาดใหญ่ จากปลายหางตายาวลงมาจนถึงคาง
มู่อิงกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสภาพของน้องชาย นางจำได้ดีว่าเด็กชายตัวน้อย มักแอบเอาหมั่นโถวมาให้พี่สาวผู้นี้ ในยามที่ถูกบิดาลงโทษไม่ให้ดื่มกิน น้องชายของนางเดินจากบ้านสกุลเกา มาจนถึงสกุลมู่เพียงเพื่อหยิบยื่นน้ำใจให้พี่สาวเช่นนาง
“ชุนหลาง! พี่สาวเจ้าอย่างไรเล่า”
มู่อิงเรียกน้องชาย ก่อนที่จะยกมือปาดน้ำตาที่เอ่อไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใครกันทำร้ายน้องน้อยของนางเช่นนี้ หากไร้รอยแผลเป็นบนใบหน้า เกาชุนหลางต้องหล่อเหลามากทีเดียว
“พี่สาว...ใช่ท่านจริง ๆ หรือพี่...กลับมาแล้ว...ฮึก ๆ”
ชายหนุ่มร้องไห้ราวเด็กห้าขวบ เขากับพี่สาวจากกันนานเหลือเกิน ในวันที่พี่สาวถูกลากไปตามถนนโดยบิดาของนาง เขาถูกมารดาพาตัวกลับไปขังไว้ในห้องเก็บฟืน
นับแต่นั้นเขาถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัสมาตลอด จนวันที่บิดามาลักพาตัวออกจากบ้านพ่อเลี้ยง เขายินดีอดมื้อกินมื้อ ขอแค่ได้อยู่กับบิดาที่รักเขาเท่านั้นก็พอ
การเร่ร่อนไปต่างเมืองทั้งเพื่อทำมาหากิน และตามหาพี่สาวของเขาไปด้วย แม้มันจะลำบากไม่น้อยเลย แต่ก็มีคำว่าความหวังเป็นแรงใจมาโดยตลอด
“ข้ากับท่านพ่อตามหาพี่มิเคยสักครั้ง ที่จะไม่ตามหาท่านพี่มู่อิง”
“พี่กลับมาแล้ว พี่อยู่ตรงนี้น้องรัก”
มู่อิงไม่อาจที่จะห้ามน้ำตาอีกต่อไปได้แล้ว สองพี่น้องร้องไห้กอดกันแน่น โดยมีชายชราโอบลูกและหลานเอาไว้กับอก ภาพนี้ทำให้แม่ทัพสาวจำต้องเบนสายตาไปทางอื่น
การพลัดพรากของทั้งสามยังมีโอกาสพบเจอ แต่นางกับครอบครัวในชีวิตเก่า ช่างห่างไกลคำว่าได้พบเจอกันอีกชั่วลมหายใจ พ่อแม่และน้องชายก็คงคิดถึงนาง เช่นที่ชายชราและบุตรชายของเขาคิดถึงมู่อิง
“เรากลับบ้านกันนะเจ้าคะ”
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มู่อิงจึงได้เอ่ยกับผู้เป็นลุง ที่ตอนนี้ยังคงมีน้ำตาเอ่อคลออยู่
“กระท่อมของลุงกับน้องเจ้าอยู่ชายป่าด้านโน่น มันคับแคบไปบ้าง...”
มู่อิงตบเบา ๆ ลงที่หลังมือผู้เป็นลุง ที่กำลังหวั่นเกรงว่านางจะรับกับบ้านหลังเล็กนั้นไม่ได้ ชายชรามองหน้าหลานสาวที่ดูอิ่มเอิบไม่เหมือนคนที่ถูกขายไปใช้แรงงาน
“บ้านเราเจ้าค่ะ บ้านสกุลเกาของเรา”
สองพ่อลูกหันมองหน้ากัน ก่อนจะจ้องที่ใบหน้าของมู่อิงอย่างมีคำถามนับล้าน ที่อยากจะถามออกมา
“ของในกระท่อมข้าจะให้คนมาเก็บไปให้ ตอนนี้ข้าว่าเรากลับไปที่บ้านกันก่อนดีกว่า ท้องข้ามันเริ่มประท้วงว่าหิวแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสามหันไปมองหญิงสาวที่สูงราวบุรุษ ก่อนจะพากันยิ้มแห้ง ๆ พวกเขามัวแต่ร่ำไห้คิดถึงกัน จนลืมไปว่ามีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ด้วย
“ข้าลืมแนะนำ ท่านลุง ชุนหลางนี่คือนายหญิงน้อยหยวนไป่หลิน บุตรสาวของคนที่ซื้อตัวข้าไป และเป็นนายของข้า”
“นายหญิงน้อย ช่างเมตตาต่อมู่อิงยิ่งนัก ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดตอบแทนในน้ำใจนี้ โปรดรับการคารวะจากข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ”
หมับ! แม่ทัพสาวรีบคว้าต้นแขนของชายชราเอาไว้ ก่อนที่เขาจะคุกเข่าให้แก่นาง หากนับมู่อิงเป็นน้องสาว คนตรงหน้าย่อมเสมือนญาติ นางจะให้ผู้อาวุโสคุกเข่าให้ได้อย่างไร
“มู่อิงเสมือนน้องสาวของข้า ท่านลุงอย่าได้ทำกับข้าราวคนไกล เรากลับบ้านกันก่อนนะเจ้าคะ เรื่องอื่นถึงบ้านแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง พร้อมสุราชั้นยอดของข้า”
แม่ทัพสาวพยักหน้าให้แก่สาวใช้ ให้พาครอบครัวกลับกันได้แล้ว เพราะพวกสอดรู้เอียงหูฟังจนแทบคอหลุดแล้ว สองนายบ่าวสบตากันอย่างรู้ความนัย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ
เหมือนนกรู้ที่โผล่มาได้ถูกจังหวะ ดี! จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหา มาเองแบบนี้รวดเร็วทันใจไม่น้อย แม่ทัพสาวเดินเคียงมู่อิงและสองพ่อลูกไป ไหน ๆ ก็ผ่านที่นี่แล้วจะได้ไม่ต้องย้อนมาจัดการ ทำงานไปด้วยเลยก็แล้วกัน
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว