LOGINเมื่อเมิ่งอ้ายเยว่กลับมาถึงเรือนของตนก็ยังคงโมโหไม่หาย อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยของตน หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดมันอย่างลวกๆ นางค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของนาง แต่เป็นความรู้สึกของเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ สตรีนางนั้นรักเถียนฮูหยินราวกับมารดาแท้ๆ ของตน ที่นางชอบทำตัวแย่ๆ ก็เพราะต้องการให้เถียนฮูหยินสนใจและมอบความรักให้สักนิด แท้จริงแล้ว เมิ่งอ้ายเยว่คนเก่าอาจจะไม่ได้จิตใจเลวร้ายมาแต่กำเนิด แต่เป็นเพราะนางต้องการความรักจากผู้คนรอบข้างจึงแสดงออกมาอย่างผิดๆ เช่นนั้น
ตอนอ่านนิยายนางยังไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมเท่าใดนัก แต่เมื่อได้มาอยู่ในร่างนี้นางกลับเข้าใจความรู้สึกของเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่ามากขึ้นและรู้สึกสงสารอย่างจับหัวใจ
ความรู้สึกอึดอัดและเจ็บแค้นน้อยใจเช่นนี้ ทำเอาเมิ่งอ้ายเยว่ไม่สบายตัวเท่าใดนัก นางต้องใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะจัดการอารมณ์เหล่านี้ออกไปจากจิตใต้สำนึก เมื่ออารมณ์ขุ่นมัวหายไปจนหมดสิ้นแล้ว นางก็มองไปยังเตียงหลังใหม่ที่วางอยู่ในห้องนอนคราหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ
เตียงหลังนี้ค่อนข้างใหญ่มาก อีกทั้งยังมีหลังคาและผ้าม่านปิดล้อมรอบเอาไว้อย่างดี ด้านในตกแต่งด้วยลายสลักดอกไม้ ที่นอนก็นุ่มเป็นอย่างมาก นางลองทิ้งกายลงนอนก็พบว่ามันนอนสบายดีทีเดียว
แต่ทว่าต่อมาในใจของนางก็เกิดความสงสัยที่ยังหาคำตอบไม่ได้ขึ้นมาอีกหน นางไม่เคยพบเจอกับฮ่องเต้เลย แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่านางทำความดีอันใดไว้
นางจำได้ว่าฮ่องเต้ผู้นี้ในนิยายอายุยังน้อยนักและยังมีจิตใจชั่วร้าย ไม่เห็นหัวผู้ใด เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ อีกทั้งยังทำตามใจตนไม่สนคำทัดทานของใครและไม่สนใจราษฎร เรื่องการพระราชทานรางวัลนั้นตัดทิ้งไปได้เลย นอกจากจะไม่มอบรางวัลแล้ว ยังจ้องแต่จะขูดเลือดขูดเนื้อเอาภาษีจากราษฎรอีกด้วย สุดท้ายแล้วก็ตกตายเพราะถูกไป๋จิ่งหยวนสังหาร วันที่เขาตายผู้คนต่างฉลองกันเจ็ดวันเจ็ดคืนอย่างสำราญใจ
แต่ยามนี้เขากลับมอบของรางวัลให้นาง นี่มันเรื่องใดกัน เหตุใดไทม์ไลน์ของเรื่องราวจึงไม่เป็นไปตามนิยายกันเล่า
ให้ตายเถอะ ยิ่งคิดยิ่งปวดสมอง เอาเป็นว่ารับของเหล่านี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกอย่างเตียงนี่ก็ถูกใจนางอย่างมาก
เมิ่งอ้ายเยว่รีบล้างหน้าล้างตาให้สะอาด แล้วจึงเอ่ยเรียกอาหมี่ให้เข้ามาหา
“อาหมี่”
“เจ้าคะ”
“เอาของรางวัลเหล่านี้ไปเก็บ แล้วไปเอาอาหารเลิศรสมา วันนี้ข้าจะนอนกินมันบนเตียงนี่แหละ!”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การกินอิ่มนอนหลับย่อมต้องมาก่อนเสมอ
หลายวันต่อจากนั้น เถียนฮูหยินก็ส่งคนมาจับตาดูนาง เพราะเกรงว่านางจะแอบออกไปนอกจวนอีก เมิ่งอ้ายเยว่เองก็อดทนอดกลั้นเป็นอย่างยิ่ง นางทำตัวตามสบายไร้พิรุธ รอจนเถียนฮูหยินคลายความระแวดระวังลงแล้ว นางจึงออกไปด้านนอกจวนอีกหน
ก่อนหน้านี้เถียนฮูหยินสั่งให้สาวใช้มาเอาของรางวัลของนางกลับไป แต่ทว่าไม่สำเร็จ เมิ่งอ้ายเยว่ล้วนมีสารพัดวิธีการมาป้องกันสิทธิประโยชน์ที่ตนเองควรจะได้รับ สุดท้ายแล้วเถียนฮูหยินก็เป็นฝ่ายถอดใจไปเอง
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว นางก็ออกจากจวนทางช่องลอดสุนัขเช่นทุกครั้ง อาหมี่อยากจะห้ามแต่กลับไม่กล้าปริปาก ทำได้เพียงอยู่รับหน้าแทนเจ้านายของตนเหมือนเช่นที่ผ่านมา
เมิ่งอ้ายเยว่นำผ้าแพรที่ได้มายังร้านตัดชุด และให้เถ้าแก่ร้านช่วยตัดชุดใหม่ให้นางสักสองสามชุด เพราะชุดที่เถียนฮูหยินให้นางสวมใส่มาตลอดนั้นออกจะเหมือนชุดของสตรีถือศีลไปเสียหน่อย นางชอบเสื้อผ้าสีสันสดใสมากกว่า ส่วนพวกเครื่องประดับอื่นๆ นางล้วนเก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี เถียนฮูหยินย่อมไม่มีทางหาเจอ
หลังออกมาจากร้านตัดชุด นางก็เดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นอย่างเบื่อหน่าย อยู่ๆ ในใจก็คิดถึงเด็กหนุ่มหน้าหยกนามว่าอาอี้ขึ้นมา หญิงสาวส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป แม้ในยุคโบราณเด็กอายุสิบแปดจะนับว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ว่านางก็ยังคิดว่าเป็นเด็กมัธยมปลายไฮสคูลอยู่ดี
ในขณะที่นางกำลังคิดอันใดไปเรื่อยเปื่อย กลับได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากอีกฝากฝั่งหนึ่งของถนน เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็พบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งที่แต่งกายเหมือนบัณฑิต กำลังโดนพวกชายหน้าบากสามสี่คนวิ่งไล่อย่างไม่ลดละ เมิ่งอ้ายเยว่ทำเป็นมองไม่เห็นเพราะไม่อยากจะหาเรื่องวุ่นวายให้กับตนเอง นางรีบเร่งฝีเท้าและหันหลังเดินไปอีกทาง แต่ทว่ากลับมีมือปริศนาของใครบางคนมาคว้าจับมือของนาง และลากนางให้วิ่งหนีไปด้วยกัน เมื่อนางเงยหน้าไปมองก็พบว่าเป็นชายหนุ่มที่ถูกไล่ตีผู้นั้นนั่นเอง เมิ่งอ้ายเยว่ยังไม่ทันได้สะบัดมือออก เขาก็ลากนางให้วิ่งหนีตายไปด้วยกันอย่างรวดเร็วเสียแล้ว วิ่งอยู่นานก็สามารถหนีจากการไล่ล่ามาได้อย่างปลอดภัย
เมิ่งอ้ายเยว่ถอนหายใจเหนื่อยหอบ นางหันมามองชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเคืองๆ เขาเองก็มองนางเช่นเดียวกัน เมื่อได้เห็นหน้านางชัดๆ เขาก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
"อ้าว แม่นางเจ้าเป็นผู้ใดกัน ให้ตายเถอะ นางโลมที่ข้าพาตัวมาด้วยเล่าหายไปที่ใดแล้ว?"
เขาเอ่ยพลางหันรีหันขวางเพื่อมองหาคน เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับร้องอ้อในใจ ที่แท้คนที่เขาต้องการลากให้วิ่งหนีตายมาด้วยกันก็คือนางโลม แต่เขาดันคว้าจับมาผิดคน?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงยกเท้าขึ้นเตะหน้าแข้งเขาอย่างแรงจนคนถูกเตะร้องไม่เป็นภาษา
"แม่นาง เจ้าเตะข้าทำไมกันเล่า!"
"เจ้าตาบอดหรือ ข้าไม่ใช่นางโลมของเจ้า คิดจะลากข้ามาเสี่ยงตายหรือ!"
"ข้าไม่ทันระวังจึงคว้าจับผิดคน แม่นางโปรดอภัยด้วย"
"เดี๋ยวก็ถีบเข้าให้อีกหน คำแก้ตัวฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย!"
ชายหนุ่มคนนั้นโดนเมิ่งอ้ายเยว่ด่าจนหน้าม่อย ก่อนจะเอ่ยขอโทษขอโพยนางเป็นการใหญ่ เมิ่งอ้ายเยว่ที่เห็นว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ ก็คร้านจะถือสา เมื่อมองให้ดีดี ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยังอายุไม่มาก ดูแล้วน่าจะรุ่นราวใกล้เคียงกับอาอี้เสียด้วยซ้ำ
ให้ตายเถอะ นิยายเล่มนี้มันเป็นแหล่งกำเนิดพวกเด็กลิงหรือไรกัน!
"ว่าแต่เจ้าไปทำสิ่งใดมาจึงถูกคนพวกนั้นไล่ล่ามาเช่นนี้?"
เมิ่งอ้ายเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย นางทิ้งกายลงนั่งที่ริมทางอย่างเหนื่อยล้า ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นเมื่อเห็นว่านางนั่งลง เขาจึงนั่งตามบ้าง
"คือว่า ข้าอยากจะช่วยนางโลมผู้หนึ่ง นางถูกนำมาขายโดยที่ไม่เต็มใจ ข้าสงสารนัก แต่เงินข้ามีไม่พอ จึงคิดจะพานางหนีกลับจวน ขอเพียงกลับจวนข้าได้อันธพาลพวกนั้นย่อมไม่กล้ามาพาตัวคนกลับ แต่ว่าข้ายังเดียงสานัก ไม่อาจสู้กับคนพวกนั้นได้ เห้อ ยามนี้นางคงถูกจับตัวกลับไปแล้วกระมัง"
เด็กหนุ่มเอ่ยตอบอย่างอดสู เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย อย่างไรเสียเขาก็ยังมีใจเมตตา
"บางครา นั่นอาจจะเป็นชะตาชีวิตของนาง แต่เจ้าก็ไม่ควรเอาตนเองไปเสี่ยง หากว่าได้รับอันตรายถึงชีวิต บิดามารดาของเจ้าจะต้องปวดใจเป็นแน่”
เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินอย่างนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปทันที หากบิดามารดาห่วงใยเขาจริงๆ ก็คงดีสิ
เขาไล่ความคิดในหัวออกไปจนหมด เพราะไม่อยากคิดถึงมันอีก ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเมิ่งอ้ายเยว่
"ข้าชื่อซือหม่าตง ปีนี้อายุสิบเจ็ด ข้าเป็นซื่อจื่อจวนชินอ๋อง บิดาข้าเป็นเสด็จอาแท้ๆ ของฝ่าบาท แล้วเจ้าเล่าชื่ออันใด?"
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับสะดุ้งในใจ เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์เชียวหรือ เมื่อครู่นางทั้งด่าทั้งเตะเขาไปไม่น้อยเลย
ด้านซือหม่าตงก็พอจะมองออกว่าเมิ่งอ้ายเยว่คิดสิ่งใดอยู่ เขาจึงฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่ถือสา
"เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ถือสาหรอก ครั้งนี้เป็นข้าที่ผิดเอง แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเอ่ยวาจาเกรงอกเกรงใจกับข้าด้วย สนทนากันตามปกติเถอะ"
เมิ่งอ้ายเยว่พยักหน้าเล็กน้อย ความกังวลในใจลดลงไปกว่าครึ่ง
“ข้าชื่อเมิ่งอ้ายเยว่”
ซือหม่าตงเมื่อได้ยินชื่อแซ่ของสตรีตรงหน้าก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่าในเมืองหลวงมักจะมีเรื่องเล่าของสตรีนิสัยไม่ดีนางหนึ่งปรากฏอยู่ในวงสนทนาทั่วทุกหย่อมหญ้า นางมีนามว่าเมิ่งอ้ายเยว่ แต่ว่าเขาไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน ได้ยินเพียงกิตติศัพท์ความร้ายกาจเท่านั้น วันนี้ได้มาเจอตัวเป็นๆ เขาจึงค่อนข้างตกใจไม่น้อย เขาจ้องนางอยู่เช่นนั้นและยิ้มแห้งๆ เมิ่งอ้ายเยว่เองก็ยิ้มตอบเขาหนหนึ่ง
“เจ้าคงรู้จักชื่อเสียงข้าอยู่ไม่น้อยสินะ ใช่แล้ว ข้าคือนางปีศาจตนนั้นแหละ”
เอาเถอะ ในเมื่อชื่อเสียงมันย่ำแย่ปานนั้นแล้ว ก็เอาให้สุด
ซือหม่าตงอมยิ้มน้อยๆ และขยับเข้าไปใกล้นางอีกหน่อย
“คราวหน้าหากข้าได้ยินว่าพวกเขานินทาเจ้าอีก ข้าจะส่งคนไปเตะปากให้เอง”
เมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกขบขันไม่น้อย นางผลักเขาให้ออกห่างจากตัว แล้วจึงลุกขึ้นยืน
“ข้าจะกลับแล้ว เจ้าก็รีบกลับ อย่าให้พวกมันตามมาพบอีก ข้าว่าพวกมันอาจจะยังไม่ยอมรามือ”
“อืม”
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันไปตามทางของตน พวกอันธพาลหน้าบากกลับตามหาตัวซือหม่าตงพบเสียก่อน พวกมันเข้ามาล้อมตัวเมิ่งอ้ายเยว่และซือหม่าตงเอาไว้ เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับกุมขมับ นางออกจวนมายังไม่ถึงวันกลับมีคอนเท้นต์พุ่งเข้าใส่เสียอย่างนั้น ซ้ำร้ายยังเป็นคอนเท้นต์ที่ต้องหนีตายอีกด้วย!
"เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อ มีองค์รักษ์ลับคอยคุ้มครองหรือไม่?"
นางหันมาเอ่ยถามซือหม่าตง แต่เขากลับส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
"ไม่มี ข้าไม่ให้พวกเขาตามมา ข้ากลัวพวกเขาจะลากข้ากลับจวน"
เวรละสิ!
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับหมดคำจะพูด เด็กซนนี่หาแต่เรื่องแต่กลับไม่รู้จักหาวิธีปกป้องตนเองเช่นนี้มันใช้ได้ที่ใดกัน นางมองไปที่อันธพาลพวกนั้นก่อนจะครุ่นคิดหาวิธีหนีเอาตัวรอด ฉับพลันนางก็คิดวิธีเอาตัวรอดแบบเบสิคออกมาได้
"นั่นมันคนของทางการนี่!"
เมิ่งอ้ายเยว่ชี้มือมั่วๆ ไปทางด้านหลังของพวกอันธพาลหน้าบาก เมื่อพวกมันได้ยินเช่นนั้นก็รับหันกลับไปมอง แต่กลับไม่เห็นคนของทางการสักคน เมิ่งอ้ายเยว่อาศัยจังหวะนี้กระโดดถีบพวกมันจนล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น แล้วจึงลากตัวซือหม่าตงให้วิ่งหนีตายไปด้วยกัน คนทั้งสองวิ่งลัดเลาะไปตามทางอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าพวกมันไม่ตามมาแล้วจึงหยุดวิ่งและทิ้งกายลงนั่งข้างทางอย่างหมดสภาพโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองมา
"เมิ่งอ้ายเยว่ ขอบใจเจ้ามาก หากไม่ได้เจ้า ข้าตายแน่!"
ซือหม่าตงเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เมิ่งอ้ายเยว่เองก็หายใจไม่ทั่วท้องเช่นเดียวกัน
"ซือหม่าตง ต่อไปเจ้าเลิกช่วยคนส่งเดชเถอะ ก่อนจะอายุสั้น!"
"ไม่ ข้าเห็นคนเดือดร้อนไม่ได้ นี่คือจิตวิญญาณคนดีของข้า ข้าเกิดมาเพื่อผดุงคุณธรรม"
"วิญญาณเจ้าจะหลุดออกจากร่างก่อนน่ะสิเด็กผี ก่อนจะผดุงคุณธรรม ช่วยประคองชีวิตตนเองให้รอดก่อนเถอะ!"
หลังจากพิธีฉลองการอภิเษกสมรสผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนก็กลับไปใช้ชีวิตเฉกเช่นปกติตามเดิม หลังจากที่ซือหม่าอี้เฉินแต่งงานกับอวี๋อ้ายเยว่ได้ไม่นาน ซือหม่าตงและอวี๋ลู่เหลียนก็เข้าพิธีแต่งงานกันทันที หลังจากผ่านงานแต่งงานมาแล้วคนทั้งสองก็เดินทางเข้าวังหลวงมาเพื่อสนทนาพูดคุยกับซือหม่าอี้เฉินและอวี๋อ้ายเยว่อวี๋อ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนนั้นนั่งสนทนากันกันอยู่อีกมุมหนึ่งของตำหนัก ส่วนซือหม่าอี้เฉินและซือหม่าตงก็นั่งสนทนากันอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรไม่ไกลจากสตรีทั้งสองมากนัก"อาตงข้าจะมอบตำแหน่งชินอ๋องให้กับเจ้า"ซือหม่าตงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพ่นชาร้อนออกจากปากทันที เขาวางถ้วยชาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่ชายตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก"เสด็จพี่ ข้าไม่อยากเป็นชินอ๋องท่านก็รู้นี่ ข้าไม่อยากทำงานในราชสำนัก ข้าไม่อยากร่วมประชุมยามเช้า ข้าอยากอยู่แต่กับเมียข้า""ค่าจ้างเป็นชินอ๋องเดือนละหนึ่งพันตำลึง ไม่ต้องประชุมยามเช้า อยากไสหัวไปทำอันใดก็ไป เพียงแค่เป็นชินอ๋องหุ่นเชิดให้ข้าก็พอ ไม่เช่นนั้นคนนอกจะหาว่าข้าตระหนี่แม้กระทั่งตำแหน่งชินอ๋องที่ควรจะเป็นของน้องชาย ข้าไม่อยากถูกคนเอาข้าไปนินทาว่าไม่รักพี่รักน้อง"ซือห
เมื่อสงครามจบสิ้นลง บ้านเมืองก็กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง คนชั่วถูกปราบปรามจนสิ้นซากไม่เหลือรอดแม้เพียงคนเดียว เหล่าช่าวบ้านต่างกู่ร้องยินดีกันถ้วนหน้าซือหม่าอี้เฉินทิ้งทหารเอาไว้ที่ชายแดนทางทิศเหนือหลายหมื่นนายเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของชาวบ้าน ส่วนราษฎรแคว้นฉีนั้นต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างไม่มีข้อแม้ อีกทั้งยังบอกว่าซือหม่าอี้เฉินเปรียบเสมือนเทพเซียนมาโปรด ที่ช่วยสังหารฉีอ๋องจนตกตายไปได้ เพราะที่ผ่านมาฉีอ๋องเอาเปรียบราษฎรไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังทำชั่วเอาไว้มาก ที่ผ่านมาก็ปกครองบ้านเมืองด้วยความอำมหิต เมื่อฉีอ๋องตกตายไป พวกเขาก็ถือว่าได้หลุดพ้นจากนรกขุมนี้เสียทีเมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกดีใจยิ่งนักที่สงครามครานี้จบลงด้วยการที่แคว้นเยี่ยเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เมฆหมอกดำได้ผ่านพ้นไปจนหมดสิ้นแล้ว ยามนี้ได้เวลาเริ่มต้นใหม่เสียทีเมื่อสะสางเรื่องที่ชายแดนจบสิ้น ซือหม่าอี้เฉินและเมิ่งอ้ายเยว่ก็เดินทางกลับเมืองหลวงในทันที เมื่อกลับมาถึงเขาก็ปูนบำเหน็จให้กับเหล่าขุนนางที่มีความดีความชอบอย่างสมเกียรติ ส่วนขุนนางที่ได้รับผลกระทบก็ได้รับการปลอบประโลมเช่นเดียวกัน ไป๋จิ่งหยวนและหลี่หรงได้รับการปูนบำเหน
กลางดึกเขาสั่งให้คนลอบไปเผาคลังเสบียงในค่ายทหารของฉีอ๋อง ทั้งค่ายพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที ซือหม่าอี้เฉินจึงใช้โอกาศนี้ไปแย่งชิงตัวซือหม่าตงกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ง่ายนัก กว่าจะแย่งตัวคนมาได้ ฉีอ๋องก็รู้ตัวเสียแล้ว และได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งออกมาจัดการกับซือหม่าอี้เฉิน ซือหม่าอี้เฉินรีบสั่งให้คนพาซือหม่าตงกลับเข้าชายแดนแคว้นเยี่ยโดยเร็วส่วนเขาและหลี่หรงก็รับมือกับทหารของฉีอ๋องเพื่อถ่วงเวลาให้น้องชายกลับเข้าเมืองไปได้อย่างปลอดภัยเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนที่รออยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นว่าซือหม่าตงถูกช่วยกลับมาได้แล้วจึงสั่งให้คนตามท่านหมอมารักษาเขาทันที ด้านซือหม่าตงและหลี่หรงก็อาศัยโอกาสนี้โจมตีฉีอ๋องไม่หยุด ยามนี้ทหารของฉีอ๋องถูกสังหารไปไม่น้อย อีกทั้งคลังเสบียงก็มาถูกไฟเผา ฉีอ๋องจึงโกธรแค้นมาก และประกาศก้องว่าจะออกรบสังหารซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงด้วยตนเอง!ซือหม่าตงถูกพาตัวมารักษาโดยมีอวี๋ลู่เหลียนคอยจับมือเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซือหม่าตงแม้จะเจ็บหนักแต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาหันมามองอวี๋ลู่เหลียนและยิ้มให้นางอย่างอ่อนล้า"ลู่เหลียน""ข้าอยู่นี่แล้ว ฮึก เจ้าอย่าเพิ่งพูดอันใดให้มากความเลย
เมื่อมีเรื่องดี ย่อมต้องมีเรื่องร้ายตามมายามนี้ชายแดนทางเหนือกำลังเกิดสงครามประทุขึ้นอย่างหนัก ส่วนชายแดนทางใต้ก็มีคนของอู่อ๋องที่รอดชีวิตจากสงครามหลายปีก่อนกำลังก่อความไม่สงบหมายจะช่วงชิงชายแดนคืน ซือหม่าอี้เฉินที่แต่ไหนแต่ไรมักทำตัวตามสบายมาโดยตลอด กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเรียกให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้าร่วมประชุมอย่างเร่งด่วนมาหลายวันติดแล้ว แม่ทัพใหญ่หลี่และไป๋จิ่งหยวนแทบจะกินนอนอยู่ในวังหลวง หลังจากปรึกษาหารือกันอย่างดุเดือดในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเสียทีซือหม่าอี้เฉินเห็นชอบให้ไป๋จิ่งหยวนนำกำลังทหารหลายแสนนายไปทำสงครามที่ชายแดนทางทิศใต้ และปราบปรามสุนัขรับใช้ที่เหลืออยู่ของอู่อ๋องให้สิ้นซาก ไป๋จิ่งหยวนรับคำและเร่งระดมพลออกค้นหาทันทีว่ามีคนของอู่อ๋องหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ หากมีก็ให้สังหารทิ้งให้สิ้นซาก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังชายแดนทางใต้อย่างรวดเร็วส่วนซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงเดินทางไปยังชายแดนทิเหนือเพื่อต่อสู่กับกองทัพของฉีอ๋อง วันที่พวกเขาออกเดินทางมีชาวบ้านมายืนส่งตลอดทางและอวยพรให้พวกเขากลับมาพร้อมชัยชนะส่วนเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนก็ติดตามซือหม่าอี้เฉินไปด
"ฝ่าบาท บุญคุณครานี้กระหม่อมจะไม่มีวันลืมเลย"ซือหม่าอี้เฉินเข้ามาประคองราชครูอวี๋ให้ลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ย“สำนึกบุญคุณก็ดี ตาแก่อวี๋ หากอยากตอบแทนบุญคุณข้า ก็ยกบุตรสาวเจ้าให้แต่งกับข้า เป็นอย่างไร ได้ข้าเป็นลูกเขย เจ้านี่ทำบุญมาดีจริงๆ”ราชครูอวี๋ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย"ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอพาตัวบุตรสาวกลับจวนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยากพานางไปทำความคุ้นเคยกับบ้านของนาง และกลับไปดูเรือนของแม่นาง แล้วกระหม่อมจะพานางกลับมาส่งให้ฝ่าบาท""ได้ ไปเถอะ คิดซะว่าชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้พบเจอหน้ากันมานาน""ขอบพระทัยฝ่าบาท"เมื่อซือหม่าอี้เฉินอนุญาต เมิ่งอ้ายเยว่จึงติดตามราชครูอวี๋กลับจวน ซือหม่าอี้เฉินเพียงยิ้มเล็กน้อย เดิมทีเขาอยากตามนางไปด้วย แต่คิดอีกทีเขาไม่ไปดีกว่า อย่างไรควรจะให้สองพ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันจะดีกว่าราชครูอวี๋พาเมิ่งอ้ายเยว่มาที่จวนของตนทันที เมื่อเข้าจวนมาแล้วเมิ่งอ้ายเยว่ก็พบว่าการตกแต่งของจวนราชครูอวี๋ช่างงดงามมากนัก แต่เพราะนางอยู่ในวังจนเคยชิน เห็นความงดงามมามากนัก จึงไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นจนเกินงาม"เรือนนี้เป็นเรือนของแม่เจ้า พ่อปิดตายเอาไว้ไม่ให้คน
ท้ายที่สุดคนตระกูลเมิ่งก็ถูกประหารตกตายไปตามกัน ของมีค่าทั้งหมดถูกยึดเข้าท้องพระคลังหลวง ข้ารับใช้ถูกขายไปที่โรงขายทาส ความชั่วที่พวกเขาเคยกระทำถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชน สร้างความเกลียดชังให้แก่เหล่าชาวบ้านไม่น้อยเลยวันที่พวกเขาถูกประหารเมิ่งอ้ายเยว่ไม่ได้ไปร่วมดูด้วย นางเพียงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในตำหนักมังกรสวรรค์ โดยมีซือหม่าอี้เฉินนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆหลังจากจบสิ้นเรื่องของตระกูลเมิ่ง ก็มีเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนไปทั่วทั้งเมืองหลวงก่อนเดินทางไปชายแดนองค์รักษ์ลับที่ซือหม่าอี้เฉินส่งไปสืบเรื่องราวภูมิหลังของเมิ่งอ้ายเยว่เมื่อหลายเดือนก่อนก็กลับมารายงานงานผลลัพธ์ที่ได้แท้จริงแล้วเมิ่งอ้ายเยว่คือบุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของราชครูอวี๋ที่ถูกโจรป่าลักพาตัวไป คนของซือหม่าอี้เฉินสืบลึกลงไปอีกจนหาตัวสาวใช้ของอดีตฮูหยินนามว่าอาหลวนพบ ยามนี้นางเริ่มอายุมากแล้ว และยังแต่งงานกับชาวนาผู้หนึ่งและใช้ชีวิตอยู่ในชนบท นางบอกว่าตนเองและฮูหยินหนีตายไปด้วยกัน และยังเล่าความจริงทั้งหมดว่าย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ภรรยาเอกของราชครูอวี๋ถูกโจรป่าลักพาตัวไป ยามนั้นฮูหยินกำล







