เมื่อเห็นว่าหลี่เซียวหลงฮ่องเต้เสด็จมาทุกคนต่างมีสีหน้าต่างกันออกไป พระนางเต๋อเฟยและหลี่ไท่หยางนั้นถึงกับหน้าถอดสีพร้อมกัน ส่วนคนอื่นๆ ต่างลอบมองเฉินเจียวเจียวด้วยสายตาระมัดระวังและคิดเหมือนกันว่า คุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงผู้นี้ช่างได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทอย่างเหนือความคาดหมายของผู้อื่นเสียจริง
“ถวายพระพรฝ่าบาท” ทุกคนในตำหนักต่างย่อกายถวายพระพรพร้อมกัน
“ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้หลี่เซียวหลงตรัสพลางเสด็จไปประทับยังแท่นประทับที่เมื่อครู่นี้พระนางเต๋อเฟยทรงเคยประทับอยู่
“เจียหราน หากเจ้ารองไม่อยากแต่งเจ้าก็ไม่ต้องบังคับเขา คุณหนูจากจวนผิงกั๋วกงไม่ใช่คนที่พวกเจ้าสองแม่ลูกจะจับนางเชิดไปทางนั้นทีทางโน้นทีได้ อีกทั้งวันนี้เจ้ารองยังกล้าหักหน้านางถึงขั้นนั้นอีก ต่อไปหากนางแต่งเข้าจวนโซ่วอ๋องจริงๆ ก็คงจะมีหลายคนลอบหัวเราะเยาะนางอยู่เบื้องหลัง เอาเป็นว่าการหมั้นหมายในครั้งนี้ก็ให้ยกเลิกตามความต้องการของคุณหนูจวนผิงกั๋วกงเถิด” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้เอ่ยเช่นนี้ เฉินเจียวเจียวก็รีบคุกเข่าคำนับอย่างเต็มพิธีการในทันที
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” การกระทำของเฉินเจียวเจียวทำให้ทั้งเต๋อเฟยและหลี่ไท่หยางอดต่างมองนางอย่างไม่เข้าใจไม่ได้ ถอนหมั้นกับคนในราชวงศ์ไม่ว่าอย่างไรวันหน้านางก็คงยากจะได้แต่งออกแล้ว
“ส่วนเรื่องคู่ครองของเจ้า วันหน้าข้าจะเป็นคนจัดการให้เจ้าเอง” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสประโยคนี้ออกมาเฉินเจียวเจียวก็รีบหลุบตาลงเพื่อปิดบังแววตาของตนเองในทันที
‘ฮ่องเต้พระองค์นี้เปรียบเสมือนขิงแก่อย่างแท้จริง แค่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคการแต่งงานของคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงก็ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว’ แม้ว่าจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างแต่เมื่อมองเห็นสีหน้าตกตะลึงของหลี่ไท่หยางแล้วนางก็วางใจ ไม่ว่าอย่างไรขอแค่นางไม่ต้องแต่งกับเขาให้นางแต่งกับผู้ใดก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่เพียงสามีของนางไม่ใช่คนโง่เขลาหูเบาและมีดอกบัวขาวอีกคนเคียงข้างกายนางก็ยินยอมที่จะแต่ง
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อม แต่หลี่เซียวหลงฮ่องเต้กลับหันไปมององค์รัชทายาทด้วยสีพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“คนที่เจ้าควรจะขอบใจน่าจะเป็นคนผู้นี้มากกว่า หากว่าวันนี้เขาไม่ได้นำเรื่องสนุกข้างนอกมาเล่าให้ข้าฟัง ข้าก็ยังไม่รู้ว่าลูกชายคนรองของข้าทำให้เจ้าต้องเสียหน้าและอับอายเช่นนี้” ประโยคนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้สายตาทุกคู่ล้วนมองไปทางองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง เขาหัวเราะออกมาเพียงเบาๆ แล้วก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ
“ก็แค่รู้สึกว่าน่าสนใจ น้องรองของข้าถูกคนหนูคนหนึ่งเอ่ยปากขอถอนสัญญาการหมั้นหมายต่อหน้าผู้คนมากมาย ส่วนตัวเขาเองก็เผ็ดร้อนไม่แพ้กันถึงกับข่มขู่สตรีผู้นั้นว่า ในเมื่อนางกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเขาก็เตรียมตัวรอรับผลกระทบต่อการกระทำของตนเองด้วย คนที่ทำตัวเหลวไหลจนเป็นเรื่องโด่งดังก่อนก็คือเขา คนที่เดินไปหาเรื่องนางในวันนี้ก่อนก็ยังเป็นเขาอีก ข้าก็เลยคิดว่าควรจะเล่าเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อฟังเสียหน่อย น้องชายของข้าจะได้รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่ควรจะต้องเตรียมตัวรอรับผลกระทบจากการกระทำของตนเอง” คำพูดของหลี่ไท่หลงทำให้ทั้งเฉินเจียวเจียวและหลี่ไท่หยางต่างหันไปมองเขาพร้อมกัน คนหนึ่งมองเขาด้วยสายตาชื่นชม ส่วนอีกคนกลับมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองท่าทีของคนในโถงพระตำหนักแห่งนี้ด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ แต่สายพระเนตรที่ใช้จับจ้องพระโอรสองค์โตกลับมีความคมกริบและมีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ไม่น้อย
“จริงสิเจียหราน ข้าได้ยินมาว่าแม่นางน้อยคนนั้นที่ทำให้เจ้ารองแม้ว่าจะต้องถูกโบยตีแต่ก็ยังไม่ยอมให้เจ้าจัดการผู้นั้นคือสตรีจากสกุลหลินมิใช่หรือ ในเมื่อวันนี้หลินฮูหยินก็อยู่ที่นี่แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ขอให้นางส่งตัวเด็กสาวคนนั้นมาให้เจ้าอบรมเล่า ไม่ว่าอย่างไรเจ้ารองก็ขาดเด็กคนนั้นมิได้ไม่ใช่หรือเช่นนั้นก็ควรจะถูกบ่มเพราะกิริยาและความประพฤติให้ดีเสียหน่อย วันหน้าเมื่อเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องจะได้อยู่ในร่องในรอยและช่วยสนับสนุนความก้าวหน้าให้แก่เจ้ารองได้” คำพูดของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้ทั้งหลี่ถังหรูและเฉินเจียวเจียวหันไปสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
หากหลินชิงเหมยเข้าวังมิเท่ากับการส่งเนื้อเข้าปากเสือหรือ แน่นอนว่าในกรณีนี้หลินชิงเหมยย่อมจะต้องเป็นเนื้อส่วนพระนางเต๋อเฟยย่อมจะต้องเป็นเสือ พระนางถูกขัดพระทัยเช่นนี้ย่อมจะต้องหาคนมาคอยรองรับโทสะของพระนางอยู่แล้ว ขิงแก่อย่างหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ย่อมจะต้องทรงคำนวณเอาไว้แล้วว่าคนที่จะต้องคอยรองรับโทสะของพระสนมคนโปรดไม่มีทางเป็นเขาแน่
“เช่นนั้นก็ดีเพคะ ในเมื่อวันหน้าหยางเอ๋อคิดจะรับนางเข้าจวนก็ควรจะเป็นหม่อมฉันที่จะต้องคอยให้การดูแลและคอยสั่งสอนนางด้วยตนเอง ว่าอย่างไรเล่าเจียอี บุตรสาวที่เกิดจากอนุของสามีของเจ้าผู้นั้นเจ้าจะยินดีให้ข้าอบรมสั่งสอนหรือไม่” เมื่อพระนางเต๋อเฟยเอ่ยเช่นนี้มีหรือที่ฟางเจียอีจะกล้าขัดพระทัย
“หม่อมฉันย่อมยินดีเพคะ”
“ดีในเมื่อตกลงกันได้เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี หลีกงกงเจ้าจงไปดูที่พระคลังส่วนตัวของเราว่ามีสิ่งใดบ้างที่พอจะมอบให้เด็กสาวผู้หนึ่งได้เจ้าก็รีบจัดหามามอบให้คุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงเถิด เลือกสิ่งของที่หายากและมีราคาแพงมากสักหน่อย เวลาที่ผู้คนในวังเอาไปเล่าลือจะได้ไม่ทำให้คุณหนูจวนผิงกั๋วกงต้องเสียหน้า พ่อทำเช่นนี้เจ้าว่าดีหรือไม่ลูกหญิงเก้า” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้หลี่ถังหรูก็รีบตอบรับในทันที
“เสด็จพ่อทรงพระปรีชาเป็นอย่างยิ่งเพคะ” หลี่ถังหรูรีบเอ่ยวาจาเห็นดีด้วยในทันที ประโยคนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้นางอดรู้สึกร้อนตัวไม่ได้ ว่าข่าวลือเกี่ยวกับในวังที่นางจงใจแพร่ออกไปอาจจะอยู่ในพระเนตรพระกรรณของพระราชบิดา
"เอาเถิดเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เจียหรานในเมื่อเจ้าเป็นคนเชิญคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงมาเจ้าก็ควรจะต้องรับหน้าที่ส่งตัวนางกลับ อย่าลืมของปลอบใจสำหรับคนในจวนผิงกั๋วกงด้วยเล่า ในจวนมีแต่สตรีและคนชราได้รับเรื่องราวกระทบจิตใจเช่นนี้เจ้าก็ควรจะใจกว้างมากสักหน่อย"
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันย่อมจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมแน่นอนเพคะ” เมื่อเต๋อเฟยทรงตรัสเช่นนี้หินที่ถ่วงอยู่ในใจของเฉินเจียวเจียวก็พลันหลุดพ้นออกไปในทันที หลังจากนั้นนางก็ถูกส่งตัวขึ้นรถม้ากลับจวนอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยของขวัญที่ได้รับพระราชทานจากหลี่เซียวหลงฮ่องเต้และของปลอบใจที่พระนางเต๋อเฟยทรงประทานมาให้ ทำให้ทุกคนในจวนต่างพากันถอดถอนใจออกมาพร้อมกันอย่างโล่งอก
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ