องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงจ้องมองหญิงชราด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความอ่อนโยนและพยายามปลอบประโลมอย่างเต็มที่
“ท่านยายไม่ต้องกังวล อีกสักครู่รถม้าของข้าก็จะตามมาถึงแล้ว พวกเราพาเขากลับไปที่จวนของท่านยายก่อนแล้วข้าจะให้คนไปพาตัวหมอหลงไปสมทบกับพวกเราที่นั่น” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็ลงจากที่นั่งบังคับรถม้าแล้วเปิดผ้าม่านเพื่ออำนวยความสะดวกให้องค์รัชทายาทในทันที เขารีบเข้าไปประคองหญิงชราลงจากรถม้าพลางสำรวจร่างกายของหญิงชราด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าหญิงชราปลอดภัยดีแล้วจึงได้หันไปมองด้านในรถม้าที่มีบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บนอนคว่ำหน้าอยู่และมีเฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ข้างกายของบุรุษผู้นั้น
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” องค์รัชทายาทกระแอมพลางถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากกว่าปกติ
“เลือดหยุดไหลแล้วเพคะ เพียงแต่บาดแผลสาหัสเอาการคงต้องให้ท่านหมอตรวจสอบดูอีกทีเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าอึดอัด เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วหากเมื่อครู่นี้เฉินเจียวเหม่ยไม่เข้าไปช่วย สองย่าหลานคู่นี้ก็น่าจะยังคงปลอดภัยอยู่ในรถม้าจนกว่าองค์รัชทายาทจะไปถึง เพราะฟังจากที่องค์รัชทายาทเอ่ยมาเขากำลังเดินทางไปช่วยอย่างเร่งรีบ อีกทั้งคนขององค์รัชทายาทก็ล้วนมีความสามารถมากกว่าผู้ติดตามในจวนของนาง เรื่องนี้จึงกลายเป็นว่าพวกนางสองพี่น้องยิ่งช่วยก็ยิ่งทำให้เรื่องแย่แต่แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้มีเพียงนางที่คาดเดาสถานการณ์ออกส่วนผู้อื่นนั้นย่อมคิดว่าพวกนางสองพี่น้องนั้นเป็นคนมากน้ำใจ
“ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยท่านยายและญาติผู้พี่ต่างสกุลของข้า” คำพูดขอบคุณจากใจจริงขององค์รัชทายาททำให้เฉินเจียวเจียวรีบหลุบตาลงเพื่อปิดบังแววตาแล้วเอ่ยตอบเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ต้องขอบคุณน้องสาวของหม่อมฉันต่างหากเล่าเพคะ เป็นนางที่ตัดสินใจเข้าไปช่วย ส่วนหม่อมฉันก็แค่คอยช่วยสนับสนุนนางเพียงเท่านั้น”
“ขอบคุณเจ้ามาก” องค์รัชทายาทหันไปขอบคุณเฉินเจียวเหม่ยเสียงเบาซึ่งนางก็รีบโบกมือปฏิเสธในทันที
“ช่วยอันใดกันเล่าเพคะ หากเมื่อครู่นี้หม่อมฉันไม่ประเมินตนเองผิดไปและรอให้องค์รัชทายาทออกหน้าช่วยเหลือ คุณชายผู้นั้นก็น่าจะยังคงอยู่รอดปลอดภัย แต่ก็นั่นแหละผู้ใดจะไปล่วงรู้กันเล่าว่าองค์รัชทายาทกำลังจะมาช่วย” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็อยากจะเดินไปบิดเนื้อของเฉินเจียวเหม่ยให้หลุดติดมือมาจริงๆ ยามอยู่ในจวนเวลาปะทะฝีปากกับนาง เฉินเจียวเหม่ยล้วนไม่เคยพลาดพลั้งทั้งยังเฉลียวฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากอีกด้วย แต่ยามนี้กลับพูดจาตรงโผงผางและตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่งไม่รู้จักเอาดีเข้าตัวเลยสักนิด เฉินเจียวเหม่ยผู้นี้ช่างยากจะคาดเดาได้จริงๆ
‘คงเป็นเพราะเมื่อครู่นี้นางออกแรงมากไปหน่อยกล้ามเนื้อสมองก็เลยไม่ทำงาน’ เฉินเจียวเจียวได้แต่นินทาญาติผู้น้องของตนอยู่ในใจไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่ายามนี้มีสายตาของคนผู้หนึ่งที่กำลังมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“รถม้ามาแล้ว” หลี่ไท่หลงเอ่ยออกมาเมื่อมองเห็นรถม้าของตนเอง
“ไม่ทราบว่าคุณหนูสองคนนี้คือคุณหนูจากจวนใดหรือหากอี้เอ๋อของข้าปลอดภัยดีแล้วข้าจะรีบพาเขาไปขอบคุณพวกเจ้าจนถึงจวน” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยถามออกมาพลางจ้องมองสองสาวด้วยสายตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“พวกข้ามาจากจวนผิงกั๋วกงเจ้าค่ะ คนที่นั่งอยู่ในรถม้าคือญาติผู้พี่ของข้าเฉินเจียวเจียว นางคือบุตรสาวคนโตของผิงกั๋วกง ส่วนข้าคือเฉินเจียวเหม่ยบิดาของข้าคือน้องชายคนที่สามของผิงกั๋วกงเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“ที่แท้ก็คือคุณหนูจากจวนผิงกั๋วกง วันหน้ายายแก่จากสกุลหยวนเช่นข้าและหลานชายจะต้องนำข้าวของไปขอบคุณคุณหนูทั้งสองจนถึงจวนอย่างแน่นอน”
“ไม่ต้องๆ พวกข้าก็แค่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเพียงเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้อื่นพวกข้าก็ออกหน้าช่วยอยู่ดี ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ” พลางมองคนขององค์รัชทายาทช่วยกันหามคนเจ็บออกจากรถม้า
‘ที่แท้บุรุษก็สามารถมีรูปโฉมที่งดงามเช่นนี้ได้ด้วย’ เฉินเจียวเหม่ยจ้องมองคนงามที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ด้วยสายตาหลงใหล จนเฉินเจียวเจียวต้องส่งเสียงกระแอมออกมาเพื่อตักเตือนญาติผู้น้องของตนเอง
“เจียวเหม่ยมาช่วยพยุงข้าหน่อย” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็เดินเข้าไปในรถม้าแล้วดึงนางขึ้นมาในทันที
“เจ้าช่วยสำรวมสักหน่อยจะได้ไหม” นางกระซิบกับเฉินเจียวเหม่ยเสียงเบา แต่ดูเหมือนว่าเฉินเจียวเหม่ยจะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก เมื่อเห็นว่าเฉินเจียวเจียวสามารถทรงตัวได้แล้วนางก็กระโดดลงไปจากรถม้าแล้วติดตามฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนไปดูคนงามที่ถูกพาไปวางไว้ในรถม้าคันโตขององค์รัชทายาทแล้ว โดยไม่สนใจเฉินเจียวเจียวที่ยามนี้มีตงผิงเข้าไปช่วยประคองนางลงจากรถม้า
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงเอ่ยถามนางเสียงเบาเมื่อเห็นว่าชุดกระโปรงของนางเปรอะเปื้อนเลือดอยู่ไม่น้อย
“ไม่ได้รับบาดเจ็บเพคะ …นี่ล้วนเป็นเลือดของคุณชายหยวน” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางขมวดคิ้วหากนางกลับไปถึงจวนด้วยสภาพเช่นนี้ท่านย่าของนางจะต้องตกอกตกใจยกใหญ่แน่ แต่เมื่อคิดว่าเหล่าผู้คุ้มกันของนางในยามนี้ยังไม่ติดตามมานางก็อดหันไปมองทางทิศทางที่พวกนางหนีมาไม่ได้
“ยามนี้ผู้คุ้มกันของเจ้าน่าจะได้รับการช่วยเหลือจากอวิ๋นหยวนแล้ว และยามนี้น่าจะกำลังติดตามมาที่นี่” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็เบาใจ คนทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบใส่กันครู่หนึ่งแล้วเฉินเจียวเหม่ยก็เดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการ
“เจียวเจียว พวกเราย้อนกลับไปดูผู้คุ้มกันของพวกเรากันเถิด อีกทั้งยามนี้ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้วหากพวกเราไม่รีบวันหน้าคงยากแล้วที่ข้าจะได้ออกจากจวน” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็รับคำ
“เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถิด”
“ข้าจะให้คนไปส่งพวกเจ้า” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้พวกนางก็ย่อกายคารวะแล้วเอ่ยขอบคุณเขาพร้อมกัน
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทมากเพคะ ต้องรบกวนพระองค์แล้ว” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็หันไปสั่งการกับคนของตนในทันที
“พวกเจ้าคุ้มครองคุณหนูทั้งสองไปส่งจนถึงจวนผิงกั๋วกงด้วย” เมื่อเขาเอ่ยจบก็หันมาเอ่ยกับเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“หากพวกเจ้าถูกฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินตำหนิก็ให้เอ่ยถึงข้า เรื่องในวันนี้พวกเจ้าล้วนทำถูกต้อง หากพวกเจ้าไม่เข้าไปช่วยก็ไม่แน่ว่าข้าจะไปช่วยท่านยายและญาติผู้พี่ต่างสกุลของข้าทัน” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยก็ต่างรีบรับคำในทันที
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทมากเพคะ” หลังจากถูกเฉินเจียวเจียวเอ่ยเตือนสติยามนี้เฉินเจียวเหม่ยก็เริ่มจะคิดได้แล้วว่าการที่ทำให้องค์รัชทายาทติดค้างน้ำใจย่อมเป็นการดีต่อพวกนางในภายภาคหน้า ยิ่งญาติผู้พี่ต่างสกุลของเขาหน้าตาดีเช่นนี้ก็ไม่ควรจะผิดใจและทำให้องค์รัชทายาทไม่พอพระทัย เฉินเจียวเหม่ยได้แต่คิดอยู่ในใจว่า
‘ข้าจะต้องไม่ทำให้องค์รัชทายาททรงล่วงรู้ว่าข้านั้นรู้เรื่องที่เจียวเจียวพบกับเขาที่วัดต้าฝูแล้วอย่างเด็ดขาด’ นี่คือความคิดของเฉินเจียวเหม่ยส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นเอาแต่รู้สึกยินดีที่ญาติผู้น้องของตนยามนี้ได้สติและการทำงานของเส้นสมองเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ