Share

บทที่ 26 ถูกกักบริเวณ

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-22 22:23:55

เมื่อเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยนั่งรถม้าย้อนกลับมาทางเดิมก็พบว่าในยามนี้ชายชุดดำถูกจัดการจนหมดแล้ว บรรดาผู้คุ้มกันของพวกนางต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลย โชคดีที่ได้คนของเซียวอวิ๋นหยวนช่วยเหลือเอาไว้จึงยังไม่มีผู้ใดสูญเสียชีวิต

“ขอบคุณคุณชายเซียวมากเจ้าค่ะ” ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยต่างเอ่ยออกมาพร้อมกัน

“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เซียวอวิ๋นหยวนเอ่ยเพียงเท่านี้แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก

“...” เฉินเจียวเจียวกับเฉินเจียวเหม่ยจ้องมองเขาครู่หนึ่งเมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้พวกนางก็หาถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อไม่ถูก พวกนางหันสบตากันแล้วจึงได้เอ่ยอำลาเขาด้วยสีหน้านอบน้อม แล้วจึงส่งคนไปนำรถม้ามารับผู้คุ้มกันที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อพาพวกเขาไปหาหมอ หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วพวกนางจึงได้พากันกลับจวนโดยมีองครักษ์ขององค์รัชทายาทติดตามไปส่งจนถึงจวน

“เกิดเรื่องใดขึ้น” ทั้งฮูหยินผู้เฒ่า เฉียวซื่อ หวงซื่อ โม่ซื่อและเฉินเจียวมี่ต่างมารอพวกนางที่หน้าประตูจวน เมื่อเฉียวซื่อเห็นว่าบนชุดกระโปรงของเฉินเจียวเจียวมีเลือดติดอยู่นางก็รีบเดินเข้าไปสำรวจเนื้อตัวของเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าร้อนใจในทันที

“ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาพลางกุมมือของเฉียวซื่อเอาไว้เพื่อปลอบโยนแล้วจึงได้หันไปเล่าเรื่องที่ประสบในวันนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอย่างละเอียด เมื่อได้ยินเรื่องราวแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจออกมา

“ที่แท้ก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนนี่เอง นางย้ายออกไปอยู่ต่างเมืองเสียตั้งนานคิดไม่ถึงว่าพึ่งจะกลับเข้ามาก็ถูกผู้อื่นลอบโจมตีเสียแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง หลานสาวทั้งสองเข้าไปพัวพันกับสกุลหยวนเช่นนี้นางเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่

“พวกเจ้าแยกย้ายกันไปพักก่อนเถิด” ฮูหยินเอ่ยไล่หลานสาวแล้วจึงได้หันไปสั่งให้เฉียวซื่อ หวงซื่อและโม่ซื่อติดตามนางกลับเรือน ซึ่งคนทั้งหมดก็ต่างปฏิบัติตามคำสั่งของนางแต่โดยดี

“คนสกุลหยวนเข้าเมืองมาในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะมาพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณชายหยวนและเจียวเหม่ยหรือไม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ลูกสะใภ้ทั้งสามก็ต่างมีสีหน้าหนักอึ้ง

“ข้าส่งแม่สื่อไปพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายกับพวกเขาตั้งนานแล้วแต่ทางพวกเขาไม่ได้ตอบกลับ อีกทั้งเจียวเจียวเองก็ยกเลิกการหมั้นหมายกับโซ่วอ๋องแล้ว ข้าจึงคิดว่าพวกเราไม่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวดองกับคนของรัชทายาทแล้วก็เลยลืมพวกเขาไปเสียสนิท” โม่ซื่อเอ่ยออกมาตามตรง

ก่อนหน้านี้เพราะเฉินเจียวเจียวมีสัญญาหมั้นหมายกับโซ่วอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าหวาดกลัวว่า หากคนสกุลเฉินผูกสัมพันธ์ไปกับอ๋องผู้หนึ่งแล้วก็ควรจะหาทางผูกสัมพันธ์กับพระญาติทางฝ่ายขององค์รัชทายาทเอาไว้ กองกำลังสกุลเฉินนับเป็นกองกำลังขนาดใหญ่หากทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าสกุลเฉินสนับสนุนโซ่วอ๋องขึ้นมา อาจจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายจวนสกุลเฉินได้ในอนาคต

นางจึงสั่งให้โม่ซื่อส่งแม่สื่อไปทาบทามพูดคุยเรื่องการแต่งงานของเฉินเจียวเหม่ยกับคุณชายของสกุลหยวน ทางฝ่ายนั้นดูเหมือนว่าจะตอบรับอย่างยินดีแต่พอเวลาผ่านไปกลับไม่มีการดำเนินการต่ออย่างเป็นกิจจะลักษณะ ทางจวนสกุลเฉินก็เลยคิดว่าทางจวนสกุลหยวนอาจจะไม่อยากเกี่ยวดองแล้วจึงได้เงียบหายไปเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรทางฝ่ายสกุลเฉินเองก็นับว่ามีหน้ามีตาในเมื่ออีกฝ่ายเงียบหายทางสกุลเฉินเองก็ไม่เร่งเร้า อีกทั้งยามนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวดองกับคนสกุลหยวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงสั่งให้โม่ซื่อเลือกเฟ้นคู่ครองให้เฉินเจียวเหม่ยอีกครั้งโดยมีเฉียวซื่อและหวงซื่อคอยให้คำแนะนำ ยามนี้ในหัวของโม่ซื่อมีรายชื่อของคุณชายสกุลใหญ่ในเมืองหลวงอยู่หลายคนทีเดียว

“พวกเขาอาจจะเข้าเมืองหลวงมาเพื่อทำธุระอย่างอื่นก็ได้นะเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าจวนของพวกเขาก็อยู่ในตรอกสุ่ยอันเช่นเดียวกับพวกเรามิใช่หรือ พวกเขาอาจจะตั้งใจกลับมาดูจวนของพวกเขาก็ได้” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้า

“แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นฝ่ายทาบทามสกุลหยวนก่อน ยังไม่ทันตกลงกันให้เรียบร้อยพวกเราก็จะหาคู่ครองให้เจียวเหม่ยใหม่เสียแล้ว หากทางจวนสกุลหยวนรู้เข้าคงไม่ดีเป็นแน่ เพราะฉะนั้นเรื่องการหาคู่ครองให้เจียวเหม่ยคงต้องเลื่อนไปก่อน ดูท่าทีจากคนสกุลหยวนอีกสักระยะ หากพวกเขาไม่คิดถึงเรื่องที่เคยตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ พวกเราจึงค่อยหาคู่ครองอีกครั้งก็ยังไม่สาย” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ลูกสะใภ้ทั้งสามก็รีบรับคำ

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด ช่วงนี้ข้าคงจะต้องงดการออกนอกจวนของเจียวเจียวและเจียวเหม่ยชั่วคราว พวกเจ้าก็อย่าได้ตามใจพวกนางนัก โดยเฉพาะเจียวเจียวปีหน้าก็จะปักปิ่นแล้วจะเที่ยววิ่งออกจากจวนทุกวันเช่นนี้ไม่ได้” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ลูกสะใภ้ทั้งสามก็ต่างรับคำแล้วแยกย้ายกันหลับไปพักผ่อนที่เรือน

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้ออกจากจวนอีกเฉินเจียวเจียวก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้านอันใด ด้วยคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่านับจากนี้คงยากจะได้ออกจากจวนอีก มีเพียงเฉินเจียวเหม่ยที่เอะอะโวยวายและมีท่าทีต่อต้าน นางพึ่งจะได้ออกไปเที่ยวเล่น แต่ยามนี้เมื่อรู้ว่าออกไปข้างนอกไม่ได้แล้วจะรู้สึกไม่พอใจก็เป็นเรื่องธรรมดา

“หากรู้เช่นนี้ข้าไม่น่าออกหน้าหาเรื่องใส่ตัวเลย” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“รู้ตัวตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เจ้าน่ะเวลาอยู่ในจวนก็ดูสงบนิ่งวางตัวดีบางครั้งข้ายังหลงคิดว่าเจ้าต่างหากที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านอาสะใภ้รอง แต่เพราะเหตุใดเมื่อวานจึงได้ฮึกเหิมและขาดสติเช่นนั้นกันเล่า” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นมาเกาแก้มด้วยความเก้อเขิน

“น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ข้ารู้สึกซึมซับความเป็นจอมยุทธ์หญิงจากท่านแม่มากไปหน่อย อีกทั้งยังได้อ่านหนังสือของเจียวมี่มากไปหน่อยโดยเฉพาะเรื่องบุรุษช่วยสาวงามข้ารู้สึกชื่นชอบมากเป็นพิเศษก็เลย…” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ส่ายหน้า

“เอาเป็นว่าวันหน้าอย่าได้ทำเรื่องมุทะลุเช่นนั้นอีก โจรป่าที่ไหนจะกล้าก่อเรื่องในเมืองหลวง สถานที่แห่งนี้มีกองกำลังรักษาเมืองคอยดูแลอยู่อีกทั้งผู้คุ้มกันของสกุลใหญ่แต่ละสกุลก็ล้วนเป็นยอดฝีมือ หากข้าเป็นโจรป่าก็ไม่มีทางเอาชีวิตตนเองมาเสี่ยงที่นี่หรอก”

“นั่นน่ะสิ เจียวเจียวข้าผิดไปแล้ววันหน้าข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก” เมื่อญาติผู้น้องเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดเช่นนี้มีหรือที่เฉินเจียวเจียวจะกล้าตำหนินางต่อ

“ว่าแต่เจ้าออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว เช่นนี้ต่อไปองค์หญิงเก้าและฮุ่ยหลิงก็คงจะเหงาน่ะสิ” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ข้าออกไปไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าพวกนางจะเข้ามาไม่ได้นี่ ข้าส่งจดหมายไปให้พวกนางแล้ว ระยะนี้คงต้องงดเรื่องสังสรรค์กันไปก่อนแต่ถ้าหากพวกนางอยากสังสรรค์จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ย่อมต้อนรับพวกนางอยู่แล้ว” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ มีสหายเข้ามาสังสรรค์บ้างย่อมเป็นเรื่องดีนางจะได้มีเรื่องอื่นให้ทำนอกจากการฝึกยุทธ์ แม้ว่านางจะชื่นชอบเรื่องวีรบุรุษช่วยสาวงาม แต่หากอยากเป็นวีรบุรุษหรือวีรสตรีที่แท้จริงนางต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ ซึ่งยามนี้นางก็ฝึกหนักมากอยู่แล้ว หากฝึกมากกว่านี้นางก็คงจะต้องตายก่อนที่จะได้เป็นวีรสตรีอย่างแน่นอน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 66 โทษทัณฑ์

    สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 65 โชคดี

    เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 64 แย่งชิงอำนาจ

    การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status