Home / รักโบราณ / ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว / บทที่ 24 สองย่าหลานสกุลหยวน

Share

บทที่ 24 สองย่าหลานสกุลหยวน

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-22 22:22:51

ทางฝ่ายของเฉินเจียวเหม่ยนั้นเมื่อได้ประมือกับชายชุดดำเพียงไม่กี่กระบวนท่าก็พอจะรับรู้แล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรป่าธรรมดาอย่างที่ตนเองเข้าใจ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้นางก็คอยมองหาช่องทางที่จะถอนตัว เพียงแต่คนที่นั่งในรถม้ายังมีผู้โดยสารนั่งอยู่ด้านใน หากนางทอดทิ้งแล้วหนีไปพวกเขาก็ย่อมจะต้องตายและนางก็คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเป็นแน่

‘ในเมื่อคิดจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด นางเปิดผ้าม่านของรถม้าขึ้นดึงชายหนุ่มผู้หนึ่งออกมาแล้วผลักเขาไปให้ผู้คุ้มกันที่ติดตามอารักขานางมาโดยตลอด สั่งให้ผู้ติดตามคนนั้นรีบพาชายหนุ่มผู้นั้นหนี ส่วนตนเองนั้นก็ประคองหญิงชราออกจากรถม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว’

“อี้เอ๋อ” หญิงชราผู้นั้นเอ่ยเรียกชายหนุ่มรูปร่างผอมบางด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีแล้วมีเพียงนางและสาวน้อยที่มาช่วยกับสาวใช้อีกหลายคนของตนที่ยังคงติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชายชุดดำกลุ่มนี้

“ท่านย่า!” บุรุษหนุ่มที่ถูกช่วยเอาไว้ส่งเสียงเรียกหญิงชราด้วยความเป็นห่วง ทำให้กลุ่มชายชุดดำหลายคนพุ่งความสนใจไปทางเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะหนีพ้นและไปจนเกือบถึงรถม้าที่เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่แล้ว กลุ่มชายชุดดำหลายคนรีบมุ่งตรงไปยังชายหนุ่มผู้นั้นในทันที แม้ว่าผู้คุ้มกันที่อารักขาและคุมกันชายหนุ่มจะเป็นคนที่มีฝีมือดี แต่เมื่อตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคู่ต่อสู้ที่มีมากกว่าก็ทำให้เขาไม่อาจจะสู้ได้ เขาจึงรีบพาชายหนุ่มรูปร่างผอมบางผู้นั้นเร่งฝีเท้าวิ่งหนีไปทางรถม้าที่เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่

ทางฝ่ายผู้อารักขาของเฉินเจียวเจียวเมื่อเห็นว่ากลุ่มชายชุดดำมุ่งตรงมาทางนี้เขาก็รีบสำแดงฝีมือขว้างอาวุธลับเพื่อช่วยเหลือสหายที่เป็นผู้คุ้มกันด้วยกัน ส่วนเฉินเจียวเจียวเองก็รีบลงจากรถม้าเข้าไปช่วยประคองชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ เมื่อเห็นว่าที่ด้านหลังของเขาถูกฟันไปหนึ่งแผลนางก็ส่งเสียงเรียกตงผิงในทันที

"ตงผิงเขาถูกฟัน!"

ตงผิงที่ยืนปกป้องเจ้านายอยู่ด้านหน้ารีบหันมามองเจ้านายของตนในทันที เมื่อเห็นว่าบุรุษหนุ่มในอ้อมแขนของเฉินเจียวเจียวหมดสติไปแล้วแถมยังมีบาดแผลอยู่ทางด้านหลังนางก็ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา

'หากข้ารู้ล่วงหน้าว่าคุณหนูรองจะมุทะลุเช่นนี้ คราวหน้าข้าจะไม่แย่งหน้าที่ติดตามคุณหนูกับตงจื้อแล้ว คราวหน้าข้าจะยอมเฝ้าเรือนอยู่กับตงชิงแต่โดยดีอย่างน้อยหากเป็นตงจื้อที่มีวรยุทธ์ก็น่าจะสามารถคุ้มครองคุณหนูได้' ตงผิงได้แต่คิดอยู่ในใจแล้วรีบไปช่วยคุณหนูประคองชายผู้นั้น ใช้เวลาเพียงไม่นานเฉินเจียวเหม่ยก็สามารถฝ่าวงล้อมและพาหญิงชราหนีออกมาได้สำเร็จ

“อี้เอ๋อ” หญิงชราที่ถูกช่วยเหลือโดยเฉินเจียวเหม่ยส่งเสียงร้องเรียกหลานชายของตนอีกครั้งในทันทีเมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยเลือด

“พวกเรารีบพาเขาไปหาหมอในตัวเมืองดีกว่า ที่นั่นผู้คนพลุกพล่านชายชุดดำกลุ่มนั้นไม่น่าจะติดตามมา” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้ผู้คุ้มกันใกล้ตัวรีบประคองคนเจ็บขึ้นไปบนรถ

“ขอบคุณคุณหนูทั้งสองมาก” หญิงชราเอ่ยออกมาด้วยน้ำตา พลางหันไปมองสาวใช้หลายคนของนางที่ยังติดอยู่ในวงล้อมของการต่อสู้

“พวกเราต้องรีบไป หากผู้คุ้มกันไม่สามารถเหนี่ยวรั้งพวกเขาได้อีกพวกเราคงต้องตายไปด้วยเป็นแน่” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมพลางดันตัวหญิงชราเข้าไปในรถม้า เฉินเจียวเจียวเองก็รีบติดตามเข้าไปด้านในเช่นกัน ส่วนเฉินเจียวเหม่ยรีบดึงสายบังเหียนควบคุมรถม้าแล้วหันไปสั่งผู้คุ้มเสียงเบา

“พวกเจ้าไปบอกพวกเขาว่าพยายามเหนี่ยวรั้งชายชุดดำเอาไว้ หากเหนี่ยวรั้งไม่ได้ก็ไม่เป็นไรพยายามรักษาชีวิตเอาไว้ก็พอ ส่วนข้าจะรีบพาคนเจ็บไปหาหมอ ไม่ไกลจากตรงนี้จะมีคนพลุกพล่านกองกำลังรักษาเมืองน่าจะลาดตระเวนแถมนั้นข้าจะร้องขอความคุ้มครองจากพวกเขา” เมื่อเอ่ยจบเฉินเจียวเหม่ยก็บังคับรถม้าไว้วิ่งตะบึงไปอีกทางในทันทีโดยมีตงผิงและสาวใช้อีกคนกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วขี่มาตามรถม้าไป

ด้านในรถม้าเฉินเจียวเจียวพยายามดึงชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บให้นอนคว่ำหน้าในท่าที่สบายขึ้นและไม่กดทับบาดแผล หญิงชราที่นั่งมาด้วยถึงกับหลังน้ำตาแล้วเอ่ยเรียกหลานชายของตนเองอยู่หลายครั้ง

“อี้เอ๋อเจ้าต้องไม่เป็นอันใดนะ” หญิงชราผู้นั้นเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของหลานชายอย่างอ่อนโยน ส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นจ้องมองบาดแผลสดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้ตัดสินใจฉีกเสื้อผ้าใกล้บาดแผลของคนผู้นั้นให้เปิดกว้างมากขึ้นจนมองเห็นบาดแผล แล้วจึงได้ล้วงเข้าไปในถุงผ้าหายาสำหรับแผลสดมาโรยลงไปบนบาดแผล

“ยานี้จะช่วยห้ามเลือดได้ชั่วคราว เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าบาดแผลที่สาหัสเช่นนี้ยาตัวนี้จะช่วยได้มากน้อยสักเพียงใด” เฉินเจียวเจียวเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าหญิงชราผู้นั้นจ้องมองการกระทำของนางอยู่

“เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือ” เมื่อหญิงชราเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า

“รู้เพียงงูๆ ปลาๆ เจ้าค่ะ พี่ชายของข้ามักจะได้รับบาดเจ็บเป็นประจำ ข้าก็เลยพอจะรู้วิธีรักษาแผลเบื้องต้นและมักจะพกพวกยาห้ามเลือดและยาสมานแผลมาด้วย” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หญิงชราก็วางใจ ส่วนเฉินเจียวเจียวรีบมองออกไปด้านนอกของรถม้าเมื่อเห็นว่าชายชุดดำยังไม่ได้ติดตามมานางก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งใจ

นางเหลือบสายตาไปมองชายหนุ่มที่สลบไสลไปอีกครั้งแล้วก็หรี่ตาจ้องมองแผ่นหลังของเฉินเจียวเหม่ยที่มองเห็นผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสว ในใจก็ได้แต่คิดว่าโชคดีที่ข้าไม่ได้ห้ามปรามนาง ไม่เช่นนั้นว่าที่สามีของนางคงจะต้องได้รับอันตรายมากไปกว่านี้เป็นแน่ เพียงแต่เหตุใดเรื่องราวจึงได้เป็นเช่นนี้ จากการโจมตีเมื่อครู่นี้หากพวกนางไม่เข้าไปช่วยสองย่าหลานสกุลหยวนอาจจะต้องตายไปแล้ว แต่ชาติก่อนไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้นี่ หรือว่าอาจจะเกิดแต่นางกลับไม่ไม่รู้เฉินเจียวเจียวคิดด้วยความสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

เฉินเจียวเจียวครุ่นคิดด้วยสีหน้ากังวลใจ เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มชุดดำมานางก็นิ่งขึงไปพลางล้วงมือในถุงผ้าด้วยความระมัดระวัง พลางสั่งเปิดผ้าม่านไปส่งสัญญาณให้ตงผิงหลบให้พ้นจากผงยาสลบของนาง ในขณะที่นางจะโปรยาชายชุดดำก็มาถึงระยะสายตา เฉินเจียวเจียวรีบเก็บขวดยากลับเข้ามาในรถม้าแล้วหย่อนขวดยาลงไปในถุงผ้าตามเดิมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หากนางโปรยผงยาออกไปไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นต่อจากนี้ สกุลเฉินของนางจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่...

'โชคดีที่ยั้งมือทัน' เฉินเจียวเจียวได้แต่คิดอยู่ในใจพลางสังเกตท่าทีขององค์รัชทายาทด้วยสีหน้าสงบ

“ท่านยาย!” เสียงเรียกขององค์รัชทายาททำให้เฉินเจียวเจียวทอดถอนใจออกมาแล้วเปิดผ้าม่านออกไปส่งเสียงบอกเฉินเจียวเหม่ยเสียงเบา

“เจียวเหม่ย เจ้าหยุดรถม้าก่อน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจแต่นางก็ชะลอรถม้าลง

“องค์รัชทายาท” หญิงชราเอ่ยออกมาเมื่อเห็นใบหน้าร้อนใจของชายหนุ่มบนหลังม้า

“ท่านยายเป็นอย่างไรบ้าง ต้องโทษข้าที่ไปช่วยเหลือพวกท่านไม่ทัน” องค์รัชทายาทเอ่ยพลางมองเข้าไปในรถม้าผ่านทางหน้าต่าง เห็นเฉินเจียวเจียวกำลังนั่งอยู่บนพื้นของรถม้า เส้นผมกรุยกรายและยุ่งเหยิงบนเสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยเลือด ส่วนข้างกายของนางก็มีบุรุษผู้หนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บาดแผลที่กระทบสายตาของเขาทำให้เขาเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อเห็นว่าท่านยายของเขายังอยู่ในสภาพที่ดีและไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บอันใดเขาก็พลันทอดถอนใจออกมาแล้วลงจากหลังม้า

“องค์รัชทายาท พระองค์ได้โปรดช่วยอี้เอ๋อด้วยเพคะ” หญิงชราเอ่ยขอร้องพลางร่ำไห้ออกมาเสียงดัง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 66 โทษทัณฑ์

    สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 65 โชคดี

    เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 64 แย่งชิงอำนาจ

    การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status