เวลาผ่านไปเพียงพริบตาก็ถึงเทศกาลหยวนเซียวแล้ว เฉียวซื่อบรรจงคัดสรรแต่เสื้อผ้าที่งดงามและเครื่องประดับที่ล้ำค่ามาให้เฉินเจียวเจียวได้สวมใส่ แม้ว่าจะไม่อยากเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองนี้มากสักเพียงใดแต่เฉินเจียวเจียวก็ไม่อาจจะทำให้ตนเองต้องได้รับความอับอาย อีกทั้งนางยังคิดว่าการที่เฉียวซื่อกระตือรือร้นจนถึงขั้นนี้ก็เพียงเพราะหวังดีต่อนางอย่างแท้จริง
อย่างน้อยคุณหนูจากสกุลใหญ่หลายจวนก็ไม่ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ในเมื่อมารดาเลี้ยงของนางสามารถคว้าสิทธิพิเศษเช่นนี้มาให้นาง นางก็ควรจะรับไว้และไม่ควรทำให้ความพยายามของเฉียวซื่อต้องสูญเปล่า นางจึงให้ความร่วมมือกับเฉียวซื่อเป็นอย่างดีอีกทั้งยังช่วยเฉียวซื่อเลือกชุดและเครื่องประดับด้วยตนเองอีกด้วย
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่จวนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในพระราชวัง แต่ก็เมื่อรถม้าของจวนผิงกั๋วกงไปถึงหน้าประตูวังก็ยังต้องต่อแถวเพื่อเข้าไปด้านในอยู่ดี เมื่อได้เข้าไปในเขตพระราชฐานแล้วทั้งความหรูหราและความใหญ่โตของสิ่งก่อสร้างภายในวังถึงกับทำให้ทั้งเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้ติดตามเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวมาร่วมงานด้วยถึงกับสำรวมตนจนเนื้อตัวแข็งทื่อไปจนเกือบจะทั้งตัว
“พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ขอเพียงติดตามข้าแล้วทำตามข้าย่อมไม่ต้องกลัวว่าตนเองจะทำผิดพลาด” เฉี่ยวซื่อหันไปเอ่ยกับเด็กสาวทั้งสองด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นนางไม่ได้รู้สึกกังวลกับการวางตัวของลูกเลี้ยงผู้นี้เลยสักนิด
นอกจากเฉินเจียวเจียวจะได้มีโอกาสเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้งกว่าผู้อื่นแล้วนางยังได้รับการสั่งสอนจากมามาในวังมาอย่างเคร่งครัด ทั้งขนบธรรมเนียมภายในวังและกิริยาการวางตัวตลอดจนการปฏิบัติตัวต่อเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เฉียวซื่อจึงมีความมั่นใจว่าเฉินเจียวเจียวย่อมจะต้องสามารถวางตัวได้ดี
ที่นั่งที่เฉียวกุ้ยเฟยจัดให้สตรีจากจวนผิงกั๋วกงนับได้ว่าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ถัดจากเชื้อพระวงศ์ที่นั่งอยู่ในแถวหน้าก็เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ที่ทุกคนต่างจับตามองก็คือที่นั่งของจวนผิงกั๋วกงและจวนของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวานั่งอยู่ตำแหน่งเดียวกันพอดี แต่กลับอยู่คนละฝั่งของปะรำพิธี
จ้าวซีอินส่งสายตาแข็งกร้าวข้ามแท่นพิธีมาหาเฉินเจียวเจียวอย่างไม่คิดจะปิดบังแววตาแต่เฉินเจียวเจียวกลับส่งยิ้มบางๆ มอบให้นางอย่างไม่คิดจะถือสา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางถือสาคนใกล้ตายอย่างจ้าวซีอินหรอก แม้ว่าในชาติก่อนนางเองก็ตายเช่นกันแต่อย่างน้อยนางก็ได้ใช้ชีวิตเนิ่นนานกว่าสตรีผู้นั้น ในใจของเฉินเจียวเจียวได้แต่คิดว่า
‘เจ้าจะใช้สายตาเช่นนั้นมองข้าไปไย ศัตรูที่แท้จริงของเจ้าคือองค์รัชทายาทที่เจ้าอยากแต่งให้ใจจะขาดนั่นต่างหาก’ แน่นอนว่าความคิดของเฉินเจียวเจียวย่อมจะส่งไปไม่ถึงจ้าวซีอิน หลังจากฝ่าบาทมาถึงเจ้ากรมพิธีการก็ขึ้นมากล่าวเปิดงาน ฝ่าบาททรงกล่าวคำที่เป็นมงคลอีกเล็กน้อยก็เป็นอันเริ่มต้นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ
อาหารที่วางตรงหน้าล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณ์งดงามและวิจิตรแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องและกินดื่มมากจนเกินไป หลังจากได้รับประสบการณ์ในงานเลี้ยงส่งท้ายปีสุราภายในงานจึงเป็นเพียงสุราผลไม้ที่มีฤทธิ์อ่อน เฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยจึงสามารถดื่มได้ ส่วนเฉินเจียวมี่นั้นนางยังเด็กจนเกินไป เฉียวซื่อจึงให้นางดื่มแค่เพียงน้ำผลไม้เพียงเท่านั้น
เฉินเจียวเจียวจ้องมองการแสดงกลางแท่นปะรำพิธีด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม สำนักสังคีตที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมพิธีการนับว่ามีความสามารถเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำสามารถดึงดูดสายตาของทุกคนภายในงานได้เป็นอย่างดี สีหน้าของทุกคนที่เข้าร่วมงานเต็มไปด้วยความชื่นชมและชื่นชอบ ท่ามกลางสีหน้ายิ้มแย้มของผู้คนภายในงานนอกจากสายตาอันกราดเกรี้ยวของจ้าวซีอินแล้วก็ยังมีอีกดวงหน้าหนึ่งที่ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของเฉินเจียวเจียว
“เจ้าเห็นนางหรือไม่ ญาติผู้น้องจากสกุลหลินของเจ้าผู้นั้น เป็นคุณหนูดีๆ กลับไม่ชอบ ยามนี้กลับถูกใช้งานเสียยิ่งกว่านางกำนัลระดับล่างเสียอีก” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยกระซิบกระซาบกับนางพลางชายตาไปทางหลินชิงเหมยที่ยามนี้นางต้องรีบนำเตาอุ่นมือไปมอบให้กับทั้งพระนางเต๋อเฟยและองค์หญิงเก้า เท่านั้นยังไม่พอยังต้องเดินวนไปเวียนมาอยู่หลายรอบเพื่อนำทั้งสุราและน้ำชาไปถวายแก่พระนางเต๋อเฟย
“นางก็แค่ได้รับความลำบากเพียงเล็กๆ น้อยเท่านั้นเจ้าอย่าได้สนใจนางเลย ไม่แน่ว่าการที่นางได้รับความยากลำบากเช่นนี้อาจจะเป็นแผนการของนางที่จงใจทำให้ตนเองดูลำบากเป็นอย่างมากเพื่อเรียกร้องความสนพระทัยจากโซ่วอ๋องก็เป็นได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็พยักหน้า
“คงจะเป็นดังเช่นที่เจ้าบอก ยามนี้สายพระเนตรของโซ่วอ๋องตามติดนางจนแทบจะสิงร่างของนางอยู่แล้ว” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็แค่เพียงยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน นางยังไม่ทันได้เอ่ยอันใดต่อก็มีคนออกหน้าหาเรื่องมาให้นางเสียก่อนแล้ว
“หม่อมฉันตั้งใจจะแต่งบทกวีเพื่อชื่นชมบรรยากาศในค่ำคืนนี้เพื่อถวายแด่ฝ่าบาทและพระสนม แต่ได้ยินมาว่าคุณหนูจวนผิงกั๋วกงก็มีความสามารถทางด้านนี้เช่นกัน มิทราบว่าทางคุณหนูจวนผิงกั๋วกงยินดีจะร่วมแต่งบทกวีประชันกับข้าได้หรือไม่” เมื่อจ้าวซีอินเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็แค่เพียงส่งยิ้มให้นาง แล้วหันไปทางเฉินเจียวมี่ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“เจียวมี่ คุณหนูจ้าวอยากจะประชันบทกวีกับคุณหนูจวนเรา เจ้าในฐานะน้องสาวอย่าทำให้พี่สาวเช่นข้าเสียหน้าเล่า” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวมี่ก็รับคำแต่โดยดีพลางลุกขึ้นยืน
“คุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงคนที่ข้าท้าประชันนั้นคือเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงได้ส่งเด็กสาวที่ยังไม่เติบโตเต็มที่เช่นนี้มาประชันกันเล่า”
“คุณหนูจ้าวอย่าได้ดูถูกเด็กน้อยเช่นข้าสิเจ้าค่ะ หากแม้แต่กับข้าท่านยังไม่สามารถเอาชนะได้ แล้วท่านจะไปประชันกับพี่สาวของข้าได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยก็หัวเราะออกมาเบาๆ พวกนางต่างรู้ดีสำหรับฝีมือการแต่งบทกวีของเฉินเจียวมี่นั้นแม้แต่หวังฮุ่ยหลิงผู้เป็นบุตรสาวของท่านราชครูยังต้องยอมแพ้ ส่วนสตรีที่เอาแต่แต่งบทกวีเพื่อเอาหน้าอย่างจ้าวซีอินจะมีความสามารถลึกซึ้งเทียบเท่าเฉินเจียวมี่ได้อย่างไร
“ได้ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาประชันต่อโคลงคำคู่ก็แล้วกัน หากผู้ใดไม่สามารถต่อบทต่อไปได้ก็ให้ถือว่าแพ้” จ้าวซีอินเอ่ยออกมาพลางจ้องมองเฉินเจียวมี่ด้วยสายตาดูแคลน
“เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ข้าให้เจ้าเริ่มก่อนก็แล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยพลางยอบกายรับคำด้วยท่วงท่าชดช้อย
“จันทร์ส่องแสงสยบเดือนเสมือนเดือนสยบแสงส่องจันทร์” เมื่อเฉินเจียวมี่ส่งเสียงเอื้อนเอ่ยโคลงวรรคนี้ผู้คนต่างพากันอยู่ในความเงียบ
แค่เพียงเอ่ยโคลงวรรคแรกเด็กสาวผู้นี้ก็ใช้โคลงบททวนอักษรมาใช้จัดการกับคู่ต่อสู้เสียแล้ว โคลงบททวนอักษรนี้ไม่ว่าจะอ่านเรียงจากหน้าไปหลังหรือจากหลังไปหน้าก็ล้วนมีความหมาย การเริ่มต้นโคลงบทนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าตนเองมีความสามารถทางด้านบทกวีสูงส่งกว่าผู้อื่นเท่านั้น แต่การที่นางเริ่มต้นที่ด้วยโคลงที่มีความยากระดับนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการปิดหนทางสำหรับคนที่มีความสามารถไม่เพียงพอ
ส่วนจ้าวซีอินนั้นเมื่อได้ฟังโคลงบทนี้ก็พลันนิ่งงันไปเสียนาน เมื่อดูจากสีหน้าของนางแล้วทุกคนก็ต่างส่ายหน้า แม้แต่บุรุษหลายคนที่มีความสามารถทางด้านนี้ก็ยังพากันส่ายหัวด้วยพวกเขาเองก็ไม่สามารถหาประโยคคล้องจองมาต่อโคลงบทนี้ได้เช่นกัน
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ