แชร์

บทที่ 39 ร่วมมือกัน

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-23 21:05:56

เหตุการณ์ตกน้ำในครั้งนี้ถึงกับทำให้เฉินเจียวเจียวล้มป่วยไปเลยทีเดียว นางที่รู้ซึ้งถึงคำว่ามีใจแต่ไร้กำลังเป็นอย่างดีถึงกับอดตื่นตระหนกไม่ได้ นางไม่อยากล้มป่วยไม่อยากพ่ายแพ้ให้แก่อาการป่วยไข้ จึงพยายามทำตัวเป็นผู้ป่วยที่ดี ดื่มยาและยาบำรุงทุกอย่างตามที่ท่านหมอแนะนำ จวบจนเมื่อไข้ของนางลดลงฮูหยินผู้เฒ่าที่นอนไม่หลับเกือบทั้งคืนจึงสามารถกลับไปนอนได้ในที่สุด

ในตอนเช้าตงจื้อก็มาหาเฉินเจียวเจียวแต่เช้า เมื่อรู้ว่าเจ้านายของตนเองมีการดีขึ้นแล้วนางก็เบาใจแล้วจึงได้เล่าถึงเรื่องการไต่สวนอู๋มู่จือให้เฉินเจียวเจียวฟัง รวมทั้งยังเล่าเรื่องที่ฮูหยินทั้งสามตั้งใจจะเล่นงานจวนสกุลจ้าวด้วย เฉินเจียวเจียวถึงกับยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจ

ในชาติที่แล้วเพราะมัวหมกมุ่นอยู่แต่กับปัญหาของตนเองจนลืมไปเลยว่าที่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้วนางยังมีมารดาเลี้ยงและอาสะใภ้ทั้งสองคอยให้การช่วยเหลือนางอยู่ แต่ยามนี้เมื่อนางได้ย้อนกลับสัมผัสความรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้อีกครั้งนางจึงได้แต่รู้สึกเสียดายที่ในชาติที่แล้วนางทำตัวห่างเหินกับมารดาเลี้ยงและอาสะใภ้ทั้งสอง

“เจียวเจียว เจ้าตื่นแล้วหรือ” เฉียวซื่อส่งเสียงถามออกมาในทันทีเมื่อเดินเข้าห้องมาแล้วเห็นเฉินเจียวเจียวนั่งอยู่บนเตียง

“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ กินโจ๊กและดื่มยาเรียบร้อยแล้วด้วย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางส่งยิ้มให้มารดาเลี้ยง เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าของเฉินเจียวเจียวมีริ้วรอยของเลือดฝาดแล้วเฉียวซื่อถึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

“เห็นเจ้าดีขึ้นข้าก็ค่อยวางใจลงมาหน่อย เมื่อคืนนี้ตอนที่รู้ว่าเจ้าไข้ขึ้นคนทั้งจวนต่างพากันร้อนใจเพราะเป็นห่วงเจ้า”

“ข้าดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ” เฉินเจียวเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เฉียวซื่อแล้วจึงได้เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“จริงสิเจ้าคะ เมื่อครู่นี้ตงจื้อมาเล่าให้ข้าฟังแล้วว่าท่านแม่อยากจะจัดการกับจ้าวซีอินให้ข้า” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็หันไปส่งสายตาตำหนิให้แก่ตงจื้อในทันที

“ท่านแม่อย่าได้ตำหนินางเลยเจ้าค่ะ ต่อให้นางไม่เล่าวันหน้าข้าก็จะรู้เรื่องนี้อยู่ดี” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง

“จ้าวซีอินผู้นี้หากไม่ได้สั่งสอนนางเสียบ้างแม่คงนอนไม่หลับ” ได้ฟังเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมา

“ข้าไม่ได้คิดจะห้ามท่านแม่อยู่แล้ว หากข้าไม่ได้สั่งสอนนาง ข้าเองก็คงจะนอนไม่หลับเช่นเดียวกัน”

“หึหึ แม่นึกว่าเจ้าจะห้ามปรามแม่เสียอีก”

“จะห้ามทำไมเล่าเจ้าค่ะ คนสกุลเจ้าคิดว่าตนเองคือผู้ใดกัน ทั้งเหิมเกริมทั้งละโมบ ยามนี้ยังกล้าคิดทำร้ายข้าอย่างไม่น่าให้อภัยอีก ข้าย่อมไม่มีวันยอมให้พวกเขาใช้ชีวิตได้อย่าปกติสุขเป็นแน่เจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางโบกมือไล่สาวใช้ให้ออกไปเฉียวซื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้เดินมานั่งลงบนม้านั่งข้าเตียงของบุตรสาวอย่างให้ความร่วมมือ

“ข้าเคยได้ยินเรื่องการแต่งงานของคุณชายใหญ่สกุลจ้าวและคุณหนูจากสกุลจี้มาบ้าง เดิมทีนางมีสัญญาหมั้นหมายกับซื่อจื่อจวนไหวซางป๋อ แต่เป็นเพราะว่านางตกน้ำและได้คุณชายสกุลใหญ่สกุลจ้าวช่วยเอาไว้ทำให้นางต้องลดตัวมาเป็นภรรยารองของคุณชายใหญ่ เรื่องนี้แม้ว่าทางจวนสกุลจ้าวจะทำเหมือนกับว่าจำใจยอมรับนางเข้าไปเป็นสะใภ้ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรสำหรับคุณหนูจี้ผู้นั้นเรื่องนี้คือการทำลายชีวิตทั้งชีวิตของนาง” เมื่อเฉินเจียวเอ่ยเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็มองเฉินเจียวเจียวด้วยสายตาอันเจิดจ้า

“นี่เจ้าคงจะไม่คิดโจมตีจ้าวซีเฉิงจากทางสกุลจี้กระมัง”

“ย่อมต้องลงมือจากทางหลังบ้านของเขาก่อน องค์หญิงเก้าเคยเล่าให้ฟังว่าเรือนหลังของคุณชายใหญ่สกุลจ้าวไม่สงบสุขเท่าใดนัก คุณหนูสกุลจี้เมื่อแต่งเข้าไปในฐานะภรรยารองทั้งถูกรังแกและถูกเหยียบย่ำ หากทำให้นางรู้ว่าการที่ชีวิตของนางต้องตกต่ำเช่นนี้เป็นเพราะมีคนจงใจทำท่านแม่คิดว่า นางจะไม่ลุกขึ้นมาสู้บ้างเลยหรือ”

“ขอเพียงทางกรมอาญาประกาศเรื่องที่คนของคุณชายใหญ่ผลักข้าให้ตกลงไปในน้ำ แล้วยังมีการยุยงให้อู๋มู่จือมาช่วยข้าเพื่อถือโอกาสเอาเปรียบข้า ทั้งคุณหนูสกุลจี้ จวนสกุลจี้ที่เป็นคหบดีใหญ่ของเมืองหลวงและซื่อจื่อจวนไหวซางป๋อที่ถูกแย่งชิงคู่หมั้น ย่อมไม่มีทางวางเฉยได้แน่” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉียวซื่อได้แต่มองเฉินเจียวเจียวใหม่อีกครั้ง

ในกาลก่อนพวกนางแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงไม่ค่อยจะได้สนิทสนมกันมากเท่าใดนัก แม้ว่าเฉียวซื่อจะให้ความรักความเอ็นดูต่อเฉินเจียวเจียวมาโดยตลอดแต่ก็ยังเหมือนมีม่านบางๆ มากั้นขวางความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองอยู่ แต่ยามนี้ม่านที่มองไม่เห็นนั้นกลับจางหายไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่เพียงพวกนางจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้นแต่ยังสามารถเข้าใจกันและกันได้ดีแถมยังสามารถพูดคุยกันได้แทบจะทุกเรื่องอีกด้วย

ยามนี้เมื่อเฉินเจียวเจียวเปิดใจให้นางในฐานะแม่เลี้ยงได้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เฉินเจียวเจียวไม่เพียงจะทำให้เฉียวซื่อประหลาดใจในการวางตัวที่เป็นผู้ใหญ่จนเกินวัย แต่แนวความคิดบางอย่างขอเฉินเจียวเจียวแม้แต่เฉียวซื่อที่เคยคิดว่าตนเองผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนยังไม่อาจจะเทียบเทียมเฉินเจียวเจียวได้เลย

“เจ้าเปลี่ยนไปมาก หลังจากเกิดเรื่องที่วัดต้าฝูก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ใช่เจียวเจียวที่แม่เคยรู้จักอีกต่อไป” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมา

“ข้าไม่อยากทำให้ทั้งท่านย่าและท่านแม่เป็นห่วง คนเรานั้นมักจะเรียนรู้จากประสบการณ์แต่ข้านั้นกลับข้ามขั้นเรื่องเช่นนี้ไปเสียแล้ว เพราะรู้ว่ายิ่งข้ารู้ความเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ทั้งท่านย่าและท่านแม่วางใจได้เร็วขึ้นเท่านั้น” เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาพลางจ้องมองเฉียวซื่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

“ท่านดีต่อข้าอย่างจริงใจมาโดยตลอด ข้าย่อมสามารถรับรู้ได้ ท่านวางใจเถิดต่อไปข้าจะไม่เว้นระยะห่างระหว่างพวกเราสองแม่ลูกดังเช่นแต่ก่อนแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็เอื้อมมือไปจับมือของเฉินเจียวเจียวเอาไว้พลางหลั่งน้ำตาออกมา

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ใช่ว่านางจะไม่กังวล หากเฉินเจียวเจียวโทษว่าเป็นความผิดของนางที่ดูแลได้ไม่ดีนางก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ แต่ยามนี้เฉินเจียวเจียวไม่เพียงไม่กล่าวโทษแถมยังคิดจะร่วมมือกับนางแก้แค้นคนสกุลจ้าวด้วยกันอีกด้วย

‘ไม่เสียแรงที่ทุ่มเทให้กับเด็กคนนี้อย่างจริงใจมาตั้งหลายปี ปฏิกิริยาของนางเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นความคุ้มค่าสำหรับข้าแล้ว’ เฉียวซื่อได้แต่คิดอยู่ในใจแล้วยิ้มออกมาด้วยความปลาบปลื้มที่เฉินเจียวเจียวยินยอมเปิดใจให้นางได้อย่างแท้จริงเสียที

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status