เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที
“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตัวนางเอาไว้เสียอีก แต่เจ้านายของนางกลับไม่คิดจะหยุดรอฟังเลยสักนิด
“ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำเพื่อไถ่โทษ เจ้าคงเห็นแล้วว่าคุณหนูรองจวนสกุลหลินลักลอบนัดพบกับโซ่วอ๋องที่นี่ ข้าแค่อยากรู้ว่านางที่เป็นคุณหนูสกุลใหญ่ผู้หนึ่งต่อให้เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุแต่เป็นเพราะเหตุใดนางจึงสามารถออกมาเดินเล่นที่วัดต้าฝูแห่งนี้ได้โดยที่ไม่มีสาวใช้ติดตาม” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อที่คอยรับใช้เฉินเจียวเจียวมานานหลายปีก็รีบตกปากรับคำในทันที
“เรื่องนี้บ่าวจะไปสืบให้เองเจ้าค่ะ” เมื่อตงจื้อรับปากเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้า สาวใช้ผู้นี้เป็นคนที่บิดาส่งมาคอยรับใช้นางได้หลายปีแล้ว ตงจื้อมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศและมีฝีมือทางด้านการต่อสู้ไม่อ่อนด้อยไปกว่าบุรุษหลายคนในกองทัพ เฉินเซียวเห็นแล้วว่าสาวใช้ผู้นี้น่าจะคอยดูแลเฉินเจียวเจียวในยามที่ไม่มีผู้คุ้มกันได้จึงได้ส่งตงจื้อมาให้คอยรับใช้นาง
“เรื่องนี้เจ้าลงมือคนเดียวอาจจะล่าช้า หาคนที่ไว้ใจได้อีกสักสองคนมาคอยช่วยเจ้า ทางที่ดีระมัดระวังองครักษ์ลับของโซ่วอ๋องให้ดีข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะส่งคนคอยคุ้มกันหลินชิงเหมยหรือไม่” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็รีบรับคำในทันที พอดีกับที่บรรดาสาวใช้และผู้คุ้มกันของเฉินเจียวเจียวไม่อาจจะทนรอนางไหวรีบพากันเดินมายังทิศทางที่นางยืนอยู่ เฉินเจียวเจียวจึงได้ส่งสัญญาณให้ตงจื้อลุกขึ้น
“คุณหนูเหตุใดจึงได้หายไปนานนักเล่าเจ้าค่ะ” ตงผิงเอ่ยพลางรีบเดินตรงมาหานาง
“ข้าก็แค่คิดว่าเห็นคนรู้จัก แต่เมื่อติดตามไปแล้วบังเอิญคลาดกันก็เลยเสียเวลาหานานไปหน่อย” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ทั้งตงผิงและตงชิงก็ต่างส่ายหน้า
“บ่าวคิดว่าพวกเราควรจะรีบกลับไปสมทบกับฮูหยินใหญ่ดีกว่านะเจ้าคะ ยามนี้ฮูหยินน่าจะขอพรเสร็จแล้ว” เมื่อตงชิงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปกันเถิด” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางรีบพาคนของนางเดินไปยังทิศทางของวิหารที่เฉียวซื่อขอพร เมื่อไปถึงก็พบว่าเฉียวซื่อกำลังจะส่งคนไปตามหาเฉินเจียวเจียวอยู่พอดี
“เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังจะส่งคนไปตามเจ้าอยู่พอดี มื้อกลางวันนี้พวกเราฝากท้องที่โรงเจของที่นี่เถิด ข้าได้ยินมาว่าอาหารเจของที่นี่มีรสชาติไม่เลวเลย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางเดินมาหาเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“เช่นนั้นก็พวกเราก็รีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็เริ่มจะหิวแล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางเดินไปกอดแขนของมารดาเลี้ยงแล้วจับจูงนางไปยังโรงของวัด
อาหารเจของโรงเจภายในวัดแม้ว่าจะมีรสอ่อนและจืดชืดแต่เฉินเจียวเจียวกลับกินได้มากกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะวันนี้พบกับเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจมากจนเกินไปนางจึงต้องการอาหารมาเยียวยาจิตใจของตนเอง องค์รัชทายาทมาทำอันใดอีกนี่อีกทั้งตอนที่เขาจับตัวนางเอาไว้นางได้กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นอยู่บนตัวเขา นางจึงคาดเดาเอาว่าเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บเพียงแต่เขาจะบาดเจ็บได้อย่างไร แล้วยังมีกลิ่นอายความดุดันที่กระจายอยู่รอบทิศอีก นางเดาว่าจะต้องมีคนเร้นกายอยู่บริเวณนั้นอีกหลายคนเป็นแน่
‘เขามาดักรอเพื่อจะจับผิดหลี่ไท่หยางหรือก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ว่าอย่างไรหลี่ไท่หยางไม่น่าจะมีความสามารถจนสามารถดึงดูดความสนใจจากองค์รัชทายาทได้’ เฉินเจียวเจียวได้เอาแต่ครุ่นคิดจนมองไม่เห็นว่ายามนี้ในโรงเจของวัดมีคนคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาด้วยกันด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แต่เฉียวซื่อกลับตาไวทันเห็นคนทั้งคู่เข้าเสียก่อน
“นั่นมิใช่โซ่วอ๋องหรอกหรือ” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวจึงได้หลุดจากภวังค์แล้วหันไปมองยังทิศทางเดียวกันกับมารดาเลี้ยง
เป็นโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางที่กำลังเดินนำหน้าหลินชิงเหมยเข้าโรงเจมา เพียงแต่ยามนี้หลินชิงเหมยสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งทิ้งตัวลงมาเพื่อปิดบังใบหน้าอยู่ทำให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัด แต่เฉินเจียวเจียวกลับจำใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าของนางได้อย่างแม่นยำ นางรีบวางตะเกียบลงในทันทีแล้วหันไปเอ่ยกับมารดาเลี้ยงเสียงเบา
“เป็นโซ่วอ๋องเจ้าค่ะ ส่วนสตรีที่ตามเขามาด้วยช่างดูคุ้นตาของข้าเหลือเกินเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็พลันหรี่ตาลงแล้วหันไปเอ่ยกับมามาข้างกายของตนในทันที
“เจ้าไปสืบดูว่าสตรีที่ติดตามท่านอ๋องมาคือผู้ใด” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ลอบยิ้มออกมาพลางหันไปสบสายตากับตงจื้อ คนของนางยังไม่ทันได้ลงมือก็มีคนช่วยจัดการ แม้ว่าคนของเฉียวซื่อจะไม่มีวรยุทธ์แต่ความละเอียดลออกลับน่าจะมีมากกว่าคนของนางอย่างแน่นอน ที่สำคัญหากเฉียวซื่อลงมือสืบมาได้ว่าสตรีผู้นั้นคือหลินชิงเหมยไม่รู้ว่าเฉียวซื่อจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ