ทางฝั่งของหลินชิงเหมยนั้นครั้งนี้นางออกหน้าลงมืออย่างไม่กลัวผลกระทบ หากเกิดเรื่องกับเฉินเจียเจียวและน้องสาวทั้งสองแล้วจะต้องมีคนสืบหาต้นตอของบัตรเชิญเป็นแน่ หลินชิงหว่านคือคนแรกที่จะต้องถูกไต่สวน ทั้งลายมือในจดหมายและตราประทับล้วนเป็นของหลินชิงหว่านนางย่อมไม่อาจจะปฏิเสธได้ ที่จริงแล้วเทียบเชิญนี้เป็นเทียบเชิญเก่าที่หลินชิงหว่านเคยเขียนเอาไว้แต่ไม่ได้ส่งไปที่จวนผิงกั๋วกง นางไม่ได้ระบุวันที่อย่างชัดเจนหลินชิงเหมยจึงลักลอบเก็บเอาไว้ เพื่อรอเวลาที่จะได้เอาไว้ใช้ประโยชน์
ที่จริงแล้วหลินชิงเหมยอยากจะจัดการกับเฉินเจียวเจียวเพียงคนเดียว แต่เพราะนางไม่อยากแก้ไขเทียบเชิญที่เชิญเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ด้วย จึงทำให้การลงมือครั้งนี้ของนางมีเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่พลอยโดนหางเลขถูกนางเล่นงานไปด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราตามมาดูเช่นนี้จะไม่โจ่งแจ้งเกินไปหรือเจ้าคะ” เหลียนฮวาเอ่ยถามเจ้านายด้วยความกังวล แม้ว่านางจะคอยเป็นสายให้เฉินเจียวเจียว แต่หากเกิดเรื่องใดขึ้นมาคนลงมือย่อมไม่ใช่เฉินเจียวเจียว นางที่เป็นเพียงสาวใช้ย่อมหวาดกลัวที่จะพลอยโดนหางเลขไปด้วยเช่นเดียวกัน คนใหญ่คนตัวปะทะกันมดปลวกแบบนางหากไม่ระวังให้ดีก็คงจะต้องพลอยรับแรงปะทะไปด้วย
“เจ้าจะกลัวไปทำไม พวกเราก็แค่มาดื่มน้ำชา เรื่องทางนั้นพวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องสักนิด เป็นพี่ชิงหว่านต่างหากที่ส่งเทียบเชิญไปให้ญาติผู้น้องของนางจนทำให้ญาติผู้น้องของนางต้องถูกผู้อื่นย่ำยี” หลินชิงเหมยเอ่ยพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นางยกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วคิดถึงความชิงชังที่นางมีให้แก่หลินชิงหว่าน เดิมทีนางเคยวางแผนว่าจะทำให้หลินชิงหว่านสูญเสียชื่อเสียงจนไม่อาจจะได้แต่งกับคนดีๆ แต่เพราะถูกพระนางเต๋อเฟยกักตัวเอาไว้ในวัง กว่านางจะกลับมาก็เป็นวันที่หลินชิงหว่านสวมชุดเจ้าสาวแต่งเข้าจวนโหวไปแล้ว
“เจ้าออกไปดูสิว่าทางสกุลจ้าวเริ่มลงมือหรือยัง” นางเอ่ยกับเหลียนฮวาเสียงเบาพอเหลียนฮวาเปิดออกก็พอดีกับที่จ้าวซีเฉิงกำลังจะเคาะประตู เขาจึงถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องแล้วจ้องมองโฉมงามอย่างหลินชิงเหมยครู่หนึ่งแล้วส่งยิ้มให้นาง
“คิดไม่ถึงว่าแผนการเช่นนี้จะมาจากเด็กสาวที่ยังไม่โตเช่นเจ้า” เขาเอ่ยพลางนั่งลง หลินชิงเหมยเพียงยิ้มเย็นออกมาแล้วหันไปสั่งให้เหลียนฮวารินน้ำชาให้เขา
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุหรอก ข้าก็แค่เติบโตมากับการแย่งชิงและใช้เล่ห์เหลี่ยมช่วงชิงความโปรดปรานภายในจวน ลูกอนุเช่นข้าหากไม่คิดจะต่อสู้แย่งชิงก็อย่าหวังเลยว่าจะได้มีชีวิตดีๆ” คำพูดของนางทำให้จ้าวซีเฉิงที่พึ่งจะยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มยังต้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ในฐานะลูกอนุคนหนึ่งแต่กลับผลักดันจนตนเองได้มีชื่อเป็นบุตรสาวของภรรยาเอก แถมยามนี้ยังถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะได้แต่งเข้าวังอ๋อง ข้าเองก็พอจะคาดเดาได้ว่าเจ้าไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังเด็กถึงเพียงนี้” เขาเอ่ยพลางจ้องมองเด็กสาวที่อายุน่าจะยังไม่ถึงสิบสามปีดีเสียด้วยซ้ำ รูปโฉมงดงามแม้ว่ายังจะไม่เติบโตเต็มที่ กิริยาและท่าทางก็ชวนให้ผู้อื่นหลงใหลไม่น่าประหลาดใจเลยว่าเพราะเหตุใดโซ่วอ๋องจึงได้ลุ่มหลงเด็กสาวผู้นี้ ความรู้สึกที่โซ่วอ๋องมอบให้นางน่าจะไม่ใช่แค่เพียงความรักใคร่ชอบพอธรรมดาแต่น่าจะมีความเอ็นดูและสงสารปะปนมาด้วย
“คนของท่านทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” หลินชิงเหมยเอ่ยถามพลางยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
“เรียบร้อยดี ข้าเกรงว่าเรื่องราวจะพลิกผันข้าจึงได้ส่งลูกน้องฝีมือดีเอาไว้คอยผลักดันให้พวกนางเข้าไปในห้องนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะดูถูกวรยุทธ์ของคุณหนูรองจวนผิงกั๋วกงได้ ข้าจึงพยายามคัดเลือกคนที่มากฝีมือสักหน่อยส่งไปคอยควบคุมสถานการณ์ รอเพียงโซ่วอ๋องของเจ้าพาองค์รัชทายาทมาก็เป็นอันเรียบร้อย” จ้าวซีเฉิงเอ่ยพลางหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อคิดว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงกำลังจะได้เห็นว่าที่พระชายาของตนกำลังมั่วโลกีย์กับชายอื่น
“ว่าแต่โซ่วอ๋องของเจ้าจะสามารถเชิญองค์รัชทายาทมาได้จริงหรือ”
“คนของโซ่วอ๋องส่งข่าวมาแล้วว่าองค์รัชทายาทกำลังเดินทางมากับโซ่วอ๋อง” หลินชิงเหมยเอ่ยพลางหลุบตาลง โซ่วอ๋องคือคนโง่คนหนึ่งที่ไร้ความทะเยอทะยาน นางพยายามพูดจากชักจูงให้โซ่วอ๋องหาหนทางให้ตนเองในอนาคตแต่เขากลับไว้เนื้อเชื่อใจพี่ชายของตนเองยิ่งนัก นางจึงไม่กล้าดึงดันและเอ่ยสนับสนุนให้เขาพยายามกระชับความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทแทน
การดื่มน้ำชาร่วมกันก็นับว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง นางมั่นใจว่าในเมื่อโซ่วอ๋องเป็นคนพาองค์รัชทายาทมาพบกับเรื่องราวคาวโลกีย์ของว่าที่พระชายา ต่อให้โซ่วอ๋องอยากจะกระชับความสัมพันธ์เช่นไรก็คงไม่อาจจะทำให้องค์รัชทายาทละวางความแคลงใจที่มีต่อโซ่วอ๋องได้ ถึงยามนั้นแค่เพียงเป่าหูอีกเล็กน้อยสร้างเรื่องกระทบกระทั่งอีกสักหน่อย โซ่วอ๋องก็คงจะถูกนางชักจูงได้ง่ายแล้ว เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในราชวงศ์ก็เปราะบางมากอยู่แล้ว กระตุ้นอีกเล็กน้อยโซ่วอ๋องย่อมมีจิตคิดแย่งชิงอำนาจจากองค์รัชทายาทเป็นแน่
“...” หลังจากตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่ครู่หนึ่งหลินชิงเหมยก็พลันมีความรู้สึกแปลกประหลาดรุมเร้าร่างกายของตนเอง นางหันไปมองจ้าวซีเฉิงที่ยามนี้เริ่มมีอาการแปลกประหลาด แล้วก็พลันอุทานออกมา
“แย่แล้ว” นางเอ่ยพลางขยับกายลูกขึ้นแต่แล้วกลับทรงตัวไม่อยู่ล้มลงไปโดยมีจ้าวซีเฉิงขยับมารับร่างของนางเอาไว้ เมื่อร่างกายอันร้อนระอุของนางตกอยู่ในอ้อมแขนของจ้าวซีเฉิง หลินชิงเหมยพลันรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที นางรีบหันไปหาสาวใช้ของตนเพื่อจะขอความช่วยเหลือแต่ยามนี้สาวใช้ของนางกลับนอนหมดสติอยู่บนพ้นไปเสียแล้ว
“ท่านปล่อยข้า พวกเราถูกเล่นงานแล้ว” หลินชิงเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน แต่แล้วก็พลันสะท้านเยือกขึ้นมาเมื่อยามนี้จ้าวซีเฉิงเหมือนจะไม่ได้สติแล้ว เขาก้มหน้าลงมาสูดดมกลิ่นกายของนางอย่างจาบจ้วงและบ้าคลั่ง มือไม้ของเขาก็เริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าของนางจนหลุดร่วง แม้ว่าในใจของหลินชิงเหมยจะอยากคัดค้าน แต่ยามนี้คลื่นอารมณ์บางอย่างกลับทำให้นางอยากจะใกล้ชิดเขาให้แนบสนิทมากกว่านี้
เพียงหนึ่งก้านธูปเสื้อผ้าของคนทั้งสองก็พลันกระจัดกระจาย เสียงหอบหายใจดังขึ้นประสานเสียงกัน หลินชิงเหมยกำลังมัวแต่หมกมุ่นอยู่ในคลื่นอารมณ์ของตนเองจนไม่ได้ยินเลยสักนิดว่าในยามนี้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่หน้าห้อง แต่แล้วก็มีเสียงเปิดประตูและเสียงคนเดินเข้ามาด้านใน เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจและเสียงอุทานด้วยความโมโห
“เจ้าคนบัดซบ!” เสียงของโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางดังขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว เขารีบเดินเข้ามาดึงร่างของจ้าวซีเฉิงออกจากตัวนาง หลินชิงเหมยสั่นสะท้านพลางผวาเข้าไปโอบกอดเขาเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมา ส่วนจ้าวซีเฉิงนั้นยามนี้แววตาอันมืดมัวของเขาเริ่มแจ่มใสขึ้นมาบ้างแล้ว เขาหันไปมององค์รัชทายาทด้วยความประหลาดใจแล้วก็หันไปมองโซ่วอ๋องที่ในยามนี้ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกเพื่อคลุมทับร่างกายอันเปลือยเปล่าของหลินชิงเหมย
“ท่านอ๋อง อาเหมยถูกวางยา อาเหมยถูกคนให้ร้าย ท่านอ๋องจะต้องคืนความเป็นธรรมให้แก่อาเหมยนะเพคะ” คำพูดของหลินชิงเหมยทำให้ พวกเฉินเจียวเจียว เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ถึงกับหันไปมองหน้ากันด้วยความรังเกียจสตรีที่ร่ำร้องอยู่ภายในห้อง
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ