เมื่อคนในจวนได้อยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าบรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความครึกครื้นและความอบอุ่น กลับมาคราวนี้นอกจากคุณชายทั้งสามของจวนผิงกั๋วกงจะเริ่มพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานแล้ว พวกเขายังได้รับภารกิจให้คอยคุ้มครองบรรดาน้องสาวภายในจวนอีกด้วย
“ตั้งแต่เกิดเรื่องกับจวนสกุลจ้าวมาพวกข้าก็แทบจะไม่ได้ออกจากจวนเลยเจ้าค่ะ” นี่คือคำพูดของเฉินเจียวเจียวในยามที่นางขอให้พี่ชายช่วยคุ้มกันพวกนางในยามที่พวกนางทั้งสามออกจากจวน เฉินเจียวจ้านจ้องมองน้องสาวของตนด้วยสายตารู้ทันในทันที
“อยู่ดีๆ เหตุใดจึงได้อยากออกจากจวน เจียวเจียวเจ้าอยากจะทำอันใดกันแน่” เมื่อเฉินเจียวจ้านเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“อยู่ๆ พี่หญิงชิงหว่านก็ส่งเทียบเชิญให้พวกข้าไปร่วมดื่มชาด้วยกันที่หอหลิงฟาง ข้าจึงคิดว่าไม่ควรจะปฏิเสธ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวจ้านก็พลันขมวดคิ้ว
“แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่เทียบเชิญจากพี่ชิงหว่านจริงๆ แต่เป็นอุบายของหลินชิงเหมยน้องสาวที่เกิดจากอนุของพี่ชิงหว่าน เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะพาเจียวมี่ไปด้วยแต่หากไม่พานางไปก็เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นไหวตัวทันเสียก่อน ข้าเกรงว่าไม่อาจจะคุ้มครองนางได้จึงอยากให้ท่านพี่ทั้งสามช่วยคุ้มกันพวกข้าอยู่ห่างๆ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยอธิบายเช่นนี้ ทั้งเฉินเจียวจ้าน เฉินเจียวลู่และเฉินเจียวโจวก็ต่างมีสีหน้าไม่สบายใจ
“ข้าจำได้ว่าหอหลิงฟางแห่งนี้คือหอที่ท่านป้าสะใภ้ใช้เล่นงานคุณหนูรองสกุลจ้าวมิใช่หรือ แถมสตรีสกุลหลินที่ใช้ชื่อผู้อื่นมานัดหมายเจ้าผู้นี้ก็คือสตรีที่แย่งชิงโซ่วอ๋องไปจากเจ้ามิใช่หรือ” เฉินเจียวลู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แต่เฉินเจียวมี่ผู้เป็นน้องสาวกับเอ่ยวาจาตำหนิพี่ชายในทันที
“ใช่คำว่าแย่งชิงไม่ได้นะเจ้าคะ เพราะพี่เจียวเจียวไม่คิดจะยื้อแย่งกับนางแถมคนที่เป็นฝ่ายทอดทิ้งโซ่วอ๋องก็คือพี่เจียวเจียวด้วย” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“หลินชิงเหมยในยามนี้กำลังสมคบคิดกับคนสกุลจ้าว พวกเขาคงอยากจะทวงคืนความแค้นเรื่องคุณหนูรองสกุลจ้าวกับหญิงสาวสกุลเรา จึงได้หลอกใช้หลินชิงเหมยให้วางแผนลงมือทำร้ายพวกข้าสามคน” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“และที่น่าประหลาดใจก็คือเด็กสาวคนนั้นก็ยินยอมเชื่อคำพูดของพวกเขาอย่างโง่เขลา ลงมือปลอมเทียบเชิญของพี่หญิงชิงหว่านแล้วส่งเทียบเชิญมาที่จวนของพวกเรา เพื่อลวงให้พวกข้าออกไปที่หอหลิงฟาง” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้พี่ชายทั้งสามขมวดคิ้ว
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นกับดักแล้วเหตุใดพวกเจ้าต้องไปด้วย” เฉินเจียวโจวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“หากไม่แสร้งติดกับดักแล้วจะจับโจรได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ”
“แต่ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าเอาตัวไปเสี่ยง” เฉินเจียวจ้านเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล ข้าจะคุ้มครองเจียวเจียวกับเจียวมี่เอง พวกข้าจะพาสาวใช้ที่มีวรยุทธ์ไปด้วย เมื่อรวมกับการคุ้มกันของพวกท่านย่อมไม่เกิดอันตรายใดๆ กับพวกข้าแน่” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“เรื่องนี้คงต้องแจ้งให้ท่านพ่อทราบก่อน” เฉินเจียวจ้านยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคดีสาวทั้งสามก็พลันส่งเสียงคัดค้านออกมาพร้อมกัน
“ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“หากท่านพ่อรู้จะต้องไม่ยินยอมให้พวกข้าไปแน่ แล้วอีกอย่างไม่ต้องกังวลว่าจะผิดพลาดข้าขอความช่วยเหลือจากองค์รัชทายาทแล้ว ยามนี้คนของเขาคงจะไปดักรอที่หอหลิงฟางเรียบร้อยแล้ว” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้พี่ชายทั้งสามของนางก็พลันมีสีหน้าไม่พอใจ
“เหตุใดองค์รัชทายาทจึงไม่ห้ามเจ้า หรือว่าอยากจัดการกับสกุลจ้าวจนทนไม่ไหวแล้วจึงได้ใช้สตรีเช่นพวกเจ้ามาเป็นเหยื่อล่อเช่นนี้” เฉินเจียวจ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจซึ่งเฉินเจียวเจียวรีบส่ายหน้าในทันที
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท ส่วนคนที่ข้าคิดจะเล่นงานในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่สกุลจ้าว ข้าตั้งใจว่าจะใช้กับดักนี้เล่นงานหลินชิงเหมยต่างหาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉินเจียวจ้านขมวดคิ้ว ส่วนเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่รู้แผนการของเฉินเจียวเจียวดีก็ต่างหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ข้าเชื่อว่านางน่าจะดักรอดูความอัปยศของข้าในบริเวณนั้น ข้าจึงตั้งใจว่าจะวางแผนซ้อนแผนกับนาง ในเมื่อนางคิดจะหาสามีให้ข้าแล้วเหตุใดข้าจึงจะหาสามีให้นางไม่ได้เล่า ส่วนคนของสกุลจ้าวเหล่านั้นต่อให้พวกเราจับเป็นพวกเขาได้พวกเขาก็ไม่มีทางโยนความผิดให้เจ้านายของพวกเขาแน่” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางยิ้มออกมา
“แต่แน่นอนแม้ว่าจะทำให้พวกเขาซัดทอดสกุลจ้าวไม่ได้แต่การที่สกุลจ้าวลงมือล้มเหลวอีกครั้งย่อมสามารถทำให้พวกเขารู้สึกขุ่นเคืองใจได้เป็นแน่” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉินเจียวจ้านพยักหน้า
“หากให้พวกข้าติดตามไปคุ้มกัน พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้ศัตรูไหวตัวทันหรือ” เมื่อพี่ชายเอ่ยเช่นนี้ทั้งสามสาวก็หันไปสบตากัน เป็นเฉินเจียวมี่ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสและรู้สึกยินดีที่พี่ชายยินยอมให้ความช่วยเหลือ
"ขอเพียงพี่ใหญ่ พี่รองและพี่สามยินยอมให้ความร่วมมือรับรองว่าไม่มีผู้ใดสงสัยแน่ว่าพวกข้ามียอดฝีมือทั้งสามอย่างพวกท่านคอยคุ้มกันอยู่"
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยามคุณหนูทั้งสามก็ขออนุญาตออกจากจวนได้สำเร็จ เพียงแต่คราวนี้พวกนางนำสาวใช้ติดตามไปด้วยหลายคน หากมีคนเพ่งพิศดีๆ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสาวใช้เหล่านั้นมีอยู่สามคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และมีใบหน้าที่โดดเด่นมากกว่าสาวใช้คนอื่นๆ
เมื่อรถม้าไปจอดที่หน้าหอหลิงฟางตงจื้อก็หันไปมองบริเวณโดยรอบแล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับเฉินเจียวเจียวเสียงเบา
“คนของหอเมฆาส่งสัญญาณมาแล้วเจ้าค่ะ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผน” เมื่อได้ยินประโยคนี้ของตงจื้อเฉินเจียวเจียวก็หันไปกำชับกับทุกคนเสียงเบา
“อย่าได้ประมาท แผนจะสำเร็จหรือไม่ไม่สำคัญขอให้เน้นความปลอดภัยเป็นหลักก็พอ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ร่างใหญ่สามคนที่นั่งอยู่ในรถม้าด้วยก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
ทุกคนลงจากรถม้าแล้วเดินไปยังห้องที่เทียบเชิญได้ระบุเอาไว้ เฉินเจียวเจียวหยุดยืนที่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วหันไปเอ่ยกับทุกคนโดยไร้เสียง
“ธูปหอมกระตุ้นราคะ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างรีบดึงผ้าออกมาชุบน้ำยาที่อยู่ในถุงผ้าของตนเองแล้วยกผ้าขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ เฉินเจียวเจียวเปิดประตูนำเข้าไปก่อน แล้วก็ขยับกายให้สาวใช้ร่างใหญ่สามคนรับมือกับเหล่าบุรุษที่พุ่งตัวเข้ามาหา มีคนชุดดำลอบโจมตีทางด้านหลังเพื่อหวังจะผลักดันให้พวกนางเข้าไปในห้องแต่ยังไม่ทันจะลงมือกับพวกนางได้สำเร็จ ก็มีกลุ่มคนชุดดำอีกชุดเข้ามาจัดการชายชุดดำกลุ่มแรกอย่างรวดเร็วและดุดัน
ส่วนภายในห้องนั้นยามนี้สาวใช้ร่างใหญ่สามคนจัดการกับเหล่าบุรุษภายในห้องจนล้มลงไปกองบนพื้นหมดแล้ว ตงจื้อจึงรีบสาวเท้าเข้าไปดับธูปหอมแล้วเปิดหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นภายในห้องทันที
“ข้าก็หลงคิดว่าพวกเขาจะวางยาในน้ำชาเสียอีก” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางเดินเข้าไปใช้เท้าเตะบุรุษที่นอนกองรวมกันบนพื้นมากกว่าสิบคนด้วยสีหน้ารังเกียจ
“พวกเรารีบไปดูเหตุการณ์ที่ชั้นสองของโรงน้ำชาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันดีกว่า ยามนี้โซ่วอ๋องคงจะได้เห็นของดีไปแล้วกระมัง” เฉินเจียวมี่เอ่ยด้วยสีหน้ากระตือรือร้น แต่เฉินเจียวเจียวกลับไม่คิดจะสนใจ นางหันไปถามกลุ่มชายชุดดำที่เข้ามาทีหลังด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
“จับกุมได้กี่คน พยายามอย่าให้พวกเขาฆ่าตัวตาย” เมื่อนางเอ่ยจบสาวใช้สามคนที่ยืนอยู่ในห้องก็รีบเดินออกมาจี้สกัดจุดของพวกเขาแล้วก็ช่วยกันดึงขากรรไกรของชายชุดดำที่ถูกจับได้จนรูปปากและคางของพวกเขาบิดเบี้ยว
“ป้องกันพวกเขากัดลิ้นหรือกินยาฆ่าตัวตาย” สาวใช้ร่างใหญ่ที่มีสีผิวคล้ำกว่าผู้อื่นเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เฉินเจียวมี่จ้องมองสาวใช้ทั้งสามแล้วก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองเอาไว้แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา
“ต้องลำบากพี่ชายทั้งสามแล้ว” แต่แน่นอนว่าต่อให้พยายามปิดบังน้ำเสียงอย่างไรพี่ชายทั้งสามของนางก็ยังสามารถจับน้ำเสียงขบขันของนางได้ พวกเขาทั้งสามพลันมีสีหน้าอึมครึมในทันที
'หากไม่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเจ้า พวกข้าไม่มีทางลดกายลงมาแต่งกายเช่นนี้อย่างแน่นอน' นี่คือความคิดที่เหมือนกันของพวกเขา
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ