การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว
“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง
“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง
“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยและที่ปรึกษาสกุลจ้าวในยามนี้ถูกคุมตัวเอาไว้ในฐานะพยานแล้ว
“บุตรชายคนโตของเขาตาย ด้วยนิสัยของจ้าวฉีแล้วยามนี้เขาจะต้องเข้าวังเป็นแน่” เฉินคุนเอ่ยด้วยสีหน้ากังวลใจ แต่องค์รัชทายาทกลับส่ายหน้า
“คราวนี้ข้าทำสุนัขจนตรอกแล้ว เห็นทีว่าคราวนี้สกุลจ้าคงจะมีการเคลื่อนไหวอย่างใหญ่โตเป็นแน่” เขาเอ่ยพลางจ้องมองผิงกั๋วกงด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“โชคดีที่ยามนี้มีทัพของผิงกั๋วกง”
“...” คำพูดขององค์รัชทายาททำให้ผิงกั๋วกงจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ท่านอ๋องกับองค์รัชทายาทรีบกลับเถิดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าสกุลจ้าวจะเคลื่อนไหวหรือไม่ ในฐานะแม่ทัพของแคว้นต้าเยียนทัพสกุลเฉินของกระหม่อมย่อมจะต้องปกป้องบ้านเมืองอยู่แล้ว” คำพูดของผิงกั๋วกงทำให้องค์รัชทายาทยิ้มออกมาด้วยสีหน้านอบน้อม
“มีท่านอยู่นับเป็นความโชคดีของแคว้นต้าเยียน น้องรองพวกเราก็เข้าวังไปด้วยกันเถิดข้าต้องไปรายงานเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ ส่วนเจ้าน่าจะต้องไปรายงานเรื่องราวในวันนี้ให้เต๋อเฟยทรงทราบยามนี้พระนางคงร้อนพระทัยอยากจะรู้รายละเอียดของเรื่องในวันนี้แล้ว” องค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋องซึ่งเขาก็พยักหน้ารับในทันที แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงรายงานให้พระนางทรงทราบเพียงอย่างเดียวเขาน่าจะต้องแบกรับถ้อยคำตำหนิและคงจะต้องกลายเป็นที่รองรับอารมณ์อันกราดเกรี้ยวของพระนางอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นพวกข้าต้องขอตัวก่อน” องค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับผิงกั๋วกงและน้องชายด้วยสีหน้าและท่าทางที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม แล้วจึงได้เดินนำโซ่วอ๋องออกจากกรมอาญาไป
“พี่เจา!” เฉินเฟิงเอ่ยพลางคารวะทักทายพี่ชายของภรรยาด้วยสีหน้านอบน้อม
“ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องทำเอาไว้หลังจบเรื่องแล้วเข้าจะไปเยี่ยมเยียนจนถึงจวนผิงกั๋วกงเลยทีเดียว” โม่เจาเอ่ยพลางหันไปสั่งลูกน้องด้วยสีหน้าเคร่งครึ่งแล้วจึงได้หันคารวะอำลาผิงกั๋วกงและน้องชายของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรื่องในวันนี้องค์รัชทายาททรงโยนภาระทั้งหมดมาที่กรมอาญาของข้า ข้าคงต้องเร่งรวบรวมพยานหลักฐานแล้วไปรายงานต่อหน้าพระพักตร์ข้าคงต้องขอตัวก่อน” โม่เจาเอ่ยพลางคารวะอำลาผิงกั๋วกงและเฉินคุนแล้วจึงได้พยักหน้ารับการคารวะจากเฉินฟางแล้วก็รีบร้อนเดินจากไปในทันที
“ข้าขอถอนคำพูด องค์รัชทายาทผู้นี้ไม่อาจจะดูแคลนได้จริงๆ” เฉินคุนเอ่ยกับพี่ชายด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาซึ่งผิงกั๋วกงเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าว่าที่บุตรเขยคนเก่า เห็นคนงามหลั่งน้ำตาก็แทบจะถลาไปปลอบโยนนางแล้ว ช่างไม่คิดเสียบ้างเลยว่าเด็กสาวคนนั้นเกือบจะยัดเยียดข้อหากบฏให้เขาแล้ว โชคดีที่องค์รัชทายาทมีน้ำพระทัยกว้างขวาง หากเป็นองค์รัชทายาทจากราชวงศ์อื่นหากมีน้องชายเช่นนี้คงจะรีบกำจัดทิ้งไปนานแล้ว
ทางฝั่งเฉินเจียวเจียวที่ได้รับรายงานจากตงจื้อแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้แล้ว นางตกรางวัลให้ตงจื้อเป็นเงินก้อนใหญ่ แล้วจึงได้โบกมือไล่ตงจื้อให้ออกไป ส่วนตนเองก็นั่งครุ่นคิดว่ายามนี้นับว่าแผนการของนางบรรลุผล ต่อไปหากนางจะคิดทรมานหลินชิงเหมยอีกสักหน่อยก็ย่อมได้ กลัวเพียงแต่หลินชิงเหมยจะรีบชิงฆ่าตัวตายแบบจ้าวซีเฉิงไปเสียก่อนถึงยามนั้นหลินชิงเหมยก็คงจะนับว่าหลีกหนีเคราะห์กรรมได้สำเร็จแล้ว
แต่สิ่งที่นางกำลังกังวลอยู่ในยามนี้ไม่ใช่เรื่องของหลินชิงเหมยและการแก้แค้นขอบตนเองแล้ว จ้าวซีเฉิงตายบิดาของเขาจ้าวฉีย่อมไม่มีทางปล่อยองค์รัชทายาทเป็นแน่ ส่วนองค์รัชทายาทก็คงคิดจะแตกหักกับสกุลจ้าวแล้ว นางที่เคยประสบกับเหตุการณ์นี้มาก่อนอดจะหวาดหวั่นไม่ได้
ชาตินี้เป็นเพราะนางเข้ามาข้องเกี่ยวจึงทำให้สกุลจ้าวกับองค์รัชทายาทต้องปะทะกันก่อนเวลาอันควร นางก็ได้แต่หวังว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงจะสามารถกำจัดสกุลจ้าวอย่างรวบรัดและรวดเร็วอย่างที่เขาเคยส่งข่าวมาให้นางผ่านทางหอเมฆา ไม่เช่นนั้นคนที่จะต้องรับผลกรรมต่อการปะทะกันในครั้งนี้ก็คงจะเป็นชาวบ้านที่ไม่ได้รู้เรื่องและไม่ได้มีผลประโยชน์กับการแย่งชิงอำนาจระหว่างพวกเขาเลยสักนิด
ในขณะที่เฉินเจียวเจียวกำลังนั่งกังวลกับสถานการณ์ยามนี้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็กำลังรองรับโทสะของพระราชบิดาด้วยสีหน้าราบเรียบ หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อประคับประคองราชบัลลังก์และถ่วงดุลอำนาจภายในวังมาเกือบทั้งชีวิต แม้จะรู้ว่าสักวันโอรสองค์นี้จะต้องหาทางกำจัดสกุลจ้าวให้ได้ในที่สุด แต่ก็ทรงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นยามนี้
“เจ้ารีบร้อนเช่นนี้ ใช่อยากจะทำให้ข้าโมโหตายใช่หรือไม่ ให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หาสกุลใหญ่มาหนุนหลังก็ไม่ยอมทำเสียที สั่งให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเพื่อรอวันลงมือก็ไม่เคยเชื่อฟัง เจ้าคิดว่าต่อให้มีหลักฐานเหล่านี้แต่คนของตนเองกลับไม่มี แล้วเจ้าจะยังสามารถเอาชนะเขาได้หรือ” คำพูดของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้หลี่ไท่หลงอดเอ่ยวาจาคัดค้านไม่ได้
“ไม่ใช่เพราะหวังใช้การแต่งงานของสกุลใหญ่มาช่วยหนุนหลังหรือเสด็จพ่อจึงต้องอยู่ภายใต้อำนาจสกุลของจ้าวไทเฮาจนถึงป่านนี้ ไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อหวังใช้อำนาจของสกุลหยวนของเสด็จแม่หรือ สกุลหยวนของเสด็จแม่จึงได้เหลือเพียงพี่อี้เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะถึงเวลาแล้วที่สกุลหลี่ของพวกเราจะต้องทวงคืนพระราชอำนาจมาเป็นของตนเอง สกุลใหญ่อย่างสกุลจ้าวและอีกหลายสกุลควรจะต้องกลับไปอยู่ในที่ทางของตนเองเสียที” คำพูดขององค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงทำให้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงนิ่งงันไป
“ยามนี้เจ้ามีคนเท่าไหร่ คนของพ่อในราชสำนักก็พอมีอยู่บ้าง” เมื่อเห็นว่าหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเริ่มคลายโทสะแล้วองค์รัชทายาทจึงได้นำม้วนเอกสารไปวางลงตรงหน้าพระพักตร์
“ต่อให้มีคนของเขาในราชสำนัก แต่พวกเขาทำความผิดจริงนี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยง หลายปีมานี้ลูกเสี่ยงอันตรายออกไปหาหลักฐานมารวบรวมไว้จนได้มากมายถึงเพียงนี้ย่อมไม่เสียเปล่า แม้จะบอกว่าลูกต้องการทวงคืนพระราชอำนาจมาเป็นของสกุลหลี่ แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็เพื่อปวงประชา ไม่ผิดต่อปวงประชาย่อมไม่ผิดต่อใต้หล้า คนสกุลจ้าวทำความผิดจะต้องถูกลงโทษ สกุลที่ร่วมมือกับสกุลจ้าวก็เช่นกัน” คำพูดขององค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงทำให้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงระงับโทสะได้ในที่สุด
“ดี! เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้ มาจนถึงขั้นนี้แล้วก็คงถึงเวลาที่จะต้องแตกหักแล้ว” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเอ่ยด้วยสีพระพักตร์จริงจังพลางทอดพระเนตรมองโอรสองค์โตด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ