Share

บทที่ 63 อยู่มิสู้ตาย

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-23 21:33:54

ในขณะที่ทางกรมอาญากำลังไต่สวนอยู่เฉินเจียวเจียวที่นั่งจิบน้ำชาเพื่อรองฟังข่าวอยู่ที่จวนก็อดระบายรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสาแก่ใจออกมาไม่ได้ เดิมทีนางมีวิธีกำจัดหลินชิงเหมยอยู่มากมาย ไม่ว่าอย่างไรหลินชิงเหมยก็เป็นแค่เพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุคนหนึ่ง ขอแค่นางเป่าหูป้าสะใภ้ดีๆ หรือไม่ก็สร้างเรื่องที่ทำให้พระนางเต๋อเฟยเกลียดชังหลินชิงเหมยให้มากกว่านี้ แค่เพียงพริบตาหลินชิงเหมยก็จะถูกกำจัดให้หายไปให้พ้นจากสายตาของนางแล้ว

แต่แน่นอนว่าเมื่อกำจัดได้ง่ายพลังความแค้นภายในใจก็คงจะยังคงอัดแน่นอยู่ในอก ในเมื่อหลินชิงเหมยเคยหักหลังนาง ฉากหน้าแสดงตนเป็นญาติผู้น้องที่ใส่ซื่อบริสุทธิ์ไร้พิษภัยแต่เบื้องหลังกลับคิดร้ายมุ่งหวังทำลายกันจนถึงแก่ชีวิต นางจึงตั้งใจที่จะใช้คนใกล้ตัวที่หลินชิงเหมยให้ความไว้ใจมาโดยตลอดไม่ว่าเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้อย่างเหลียนฮวา

ส่วนโซ่วอ๋องเขาเคยเป็นคนที่นางคิดฝากผีฝากไข้ แต่สุดท้ายเขากลับทำลายความไว้วางใจของนาง ทำให้นางต้องรู้สึกอัปยศอดสูจนถึงเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนที่นางจะตายในชาติก่อน นางจึงได้วางแผนเช่นนี้ ทำให้เขาได้รับรู้ว่าสตรีบริสุทธิ์สดใสที่เขาคิดอยากจะปกป้องแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไร นางมีจิตทะเยอทะยานแค่ไหน มุ่งทำร้ายผู้อื่นเพื่อทำให้ตนเองสาแก่ใจ ซึ่งที่จริงแล้วหลินชิงเหมยก็มีจิตใจแปดเปื้อนโคลนตมไม่ต่างจากผู้อื่นเลย

ส่วนตัวนางนั้นยามนี้นางก็กำลังทำลายผู้อื่นเพื่อความสาแก่ใจเช่นเดียวกัน แต่สำหรับนางนั้นถือคติว่าเจ้าไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็จะไม่ล่วงเกินเจ้า หากนางไม่ลงมือกับหลินชิงเหมยชีวิตของนางอาจจะกลายเป็นอย่างชาติที่แล้วก็เป็นได้นางจึงได้ชิงลงมือก่อน แถมยังอาศัยเรื่องนี้ซื่อใจองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงอีกด้วย

หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดอีกไม่นานจวนสกุลจ้าวก็จะถูกเขาโค่นล้มอยู่แล้ว นางก็แค่เพียงช่วยให้เขาลงมือได้สะดวกขึ้น หนึ่งเพื่อลดความร้ายแรงของสงครามกลางเมืองชาวประชาจะได้ไม่เดือดร้อน สองเพื่อให้เขาเห็นความสำคัญของนางมากยิ่งขึ้น วันหน้าเมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันก็หวังว่าเขาจะเห็นแก่ความดีของนางบ้าง ทำดีกับนางให้มากสักหน่อยชีวิตในวันหน้าของนางจะได้สบายมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่เฉินเจียวเจียวกำลังรอฟังข่าวทางกรมอาญาก็ได้ทำการไต่สวนพยานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวซีเฉิงเม้มปากแน่นเขาพอจะรู้ถึงแผนการของบิดาแถมยังช่วยบิดาดำเนินการด้วย บิดาต้องการใช้งานโซ่วอ๋องเขาเองก็เห็นดีด้วย จึงได้คอยช่วยสนับสนุนงานของบิดาตลอดมา แต่คิดไม่ถึงว่ายามนี้แผนการต่างๆของบิดาจะหล่นทับตัวเขาจนขยับไม่ได้และดิ้นหนีไม่หลุดเช่นนี้

“แค่จดหมายไม่กี่ฉบับ ก็จะสาดโคลนใส่บุตรชายของข้าว่าคิดก่อกบฏเชียวหรือ” จ้าวฉีเอ่ยพลางเดินเข้ามา ข้างกายของเขามีผู้คุ้มกันติดตามข้างกายมาด้วยอีกหลายคน ผิงกั๋วกงและน้องชายทั้งสองจึงรีบเดินไปยืนเคียงข้างองค์รัชทายาทในทันที

‘ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นข้ารับใช้ของฝ่าบาท คงไม่อาจจะปล่อยให้พระโอรสที่ทรงโปรดปรานถูกคนสกุลจ้าวทำร้ายต่อหน้าได้กระมัง’ นี่คือความคิดภายในใจของผิงกั๋วกง

“ท่านลุงจ้าว ข้าไม่ได้สาดโคลน หลักฐานก็มีอยู่โทนโท่ ยังไม่นับเรื่องที่เขาลักลอบมั่วโลกีย์กับคนของน้องชายของข้าอีก ท่านลุงคงจะไม่เข้าข้างหลานชายจนล่วงเกินราชวงศ์เข้ากระมัง” คำพูดขององค์รัชทายาททำให้โซ่วอ๋องอับอายจนหน้าแดงส่วนหลินชิงเหมยในยามนี้ใบหน้าของนางไร้สีเลือดไปนานแล้ว

“เขาก็แค่ถูกสตรีชั้นต่ำยั่วยวนเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องการวางแผนทำร้ายคุณหนูจวนผิงกั๋วกงล้วนเป็นเพราะเจ็บแค้นที่ต้องสูญเสียน้องสาวไป คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะใช้การกระทำในครั้งนี้ของเขาโยนความผิดที่อาจจะส่งผลไปถึงการประหารทั้งสกุลเช่นนี้” คำพูดของจ้าวฉีทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงยิ้มเย็นออกมา เขาหันทางเซียวอวิ๋นหยวนที่ในยามนี้เดินถือม้วนหนังสือหลายม้วนเดินเข้ามาในกรมอาญาด้วยสีหน้าเย็นชา

“แล้วถ้าหากไม่ใช่แค่เพียงเรื่องการยั่วยุให้โซ่วอ๋องแตกคอกับข้าเล่า หากว่าข้ามีหลักฐานว่าเขาลักลอบฉ้อโกงภาษี ลักลอบขายเกลือ แถมยังซ่องสุมกำลังคนเล่า” คำพูดขององค์รัชทายาททำให้จ้าวฉีหรี่ตาลงในทันที

“องค์รัชทายาทเรื่องอื่นทรงล้อเล่นได้ แต่เรื่องการก่อกบฏจะทรงนำมาล้อเล่นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวฉีเอ่ยพลางจ้องมองม้วนหนังสือในมือของเซียวอวิ๋นหยวนด้วยสีหน้าอึมครึม

มีคนขโมยม้วนบัญชีของเขา ทำให้เขาทั้งตามฆ่าและตามสืบว่าเป็นฝีมือของผู้ใด จนสุดท้ายก็หาไม่พบว่าเป็นฝีมือของคนกลุ่มไหน สุดท้ายจึงได้ลงมือกับคนสะเปะสะปะไปทั่ว ตามกำจัดทุกคนที่เขาสงสัยว่าจะมีม้วนบัญชีของเขาอยู่ในมือ แม้แต่คนสกุลหยวนเขาก็ไม่คิดจะละเว้น มีเพียงองค์รัชทายาทที่เขาเข้าถึงได้ยาก แล้วก็เป็นไปอย่างที่เขาเคยคิดเอาไว้เด็กหนุ่มผู้นี้เขาไม่ควรจะไว้ชีวิตเลย เขาน่าจะกำจัดไปพร้อมกับหยวนฮองเฮาเสียตั้งแต่ตอนนั้น หากทำเช่นนั้นยามนี้ก็คงจะไม่มีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว

เดิมทีก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าจะใช้โซ่วอ๋องมาเป็นด่านหน้าให้เขาสามารถผลักดันขึ้นมาแทนที่องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงได้ เขาจึงได้ให้ที่ปรึกษาติดต่อกับเด็กสาวไม่ได้เรื่องผู้นี้ แต่ยามนี้เมื่อได้เห็นท่าทางของโซ่วอ๋องแล้วเขาก็ได้แต่แอบผิดหวังอยู่ในใจ พลางคิดในใจว่าหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ช่างเจ้าแผนการเสียจริง สตรีที่เขารักที่สุดก็คือพระนางเต๋อเฟยแต่เขากลับไม่ยกย่องนางจนอยู่สูงเหนือผู้อื่นให้เพียงความโปรดปรานแต่ไม่ให้พระราชอำนาจ แม้แต่โอรสของพระนางเขาก็เลี้ยงดูออกมาเสียจนใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานไร้ซึ่งความสนใจในตำแหน่งและอำนาจเช่นนี้ ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและไร้ซึ่งภัยคุกคาม

ส่วนพระโอรสองค์นี้ทรงฝึกฝนและลับสมองเสียจนคมกริบ ยกทั้งอำนาจและทุกอย่างที่มีให้อย่างเต็มที่ เฝ้าตามอกตามใจเสียจนไม่เกรงกลัวผู้ใดและที่สำคัญยังบ่มเพาะความเกลียดชังที่มีต่อสกุลจ้าวมาที่พระโอรสองค์ผู้นี้อย่างเต็มที่ ตนเองไม่สามารถทำได้เพราะติดคำว่ากตัญญู แต่กับพระโอรสองค์นี้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้กลับไม่เคยใช้คำว่ากตัญญูมาเหนี่ยวรั้งการกระทำของพระโอรสเลย

“องค์รัชทายาท ทรงคิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะที่จะลงมือกับกระหม่อมในยามนี้ ไม่ทรงเฉลียวพระทัยสักนิดบ้างเลยหรือว่าสักวันพระองค์จะกลายเป็นเหมือนหยวนฮองเฮา” คำพูดของจ้าวฉีทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในกรมอาญาอดสั่งสะท้านไม่ได้ เท่าที่ทุกคนรู้หยวนฮองเฮาต้องตายจากไปเพียงเพราะแย่งชิงอำนาจการปกครองวังหลังกับองค์ไทเฮา ถ้าจะพูดตามแบบฉบับชาวบ้านก็คือแม่สามีกำจัดลูกสะใภ้ แต่สำหรับคนที่เป็นขุนนางระดับสูงย่อมรู้ดีว่าเบื้องลึกเบื้องหลังย่อมไม่ใช่เพียงแค่นั้น สำหรับจ้าวไทเฮาที่เคยออกว่าราชการหลังม่านจะมามัวแย่งชิงความเป็นใหญ่ในวังหลังกับพระสุณิสาของพระองค์ได้อย่างไร

“จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็คงจะต้องลองดูก่อน” เมื่อองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หยางก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้

“เสด็จพี่” แม้ว่าจะเป็นคนซื่อตรงอย่างไรแต่ยามนี้ก็เริ่มจะมองเรื่องราวออกบ้างแล้วว่านี่ไม่ใช่แค่เพียงความบาดหมางธรรมดา ในฐานะที่เป็นคนในราชวงศ์เช่นกันโซ่วอ๋องย่อมจะต้องกังวลถึงความปลอดภัยขององค์รัชทายาทอยู่แล้ว

“เพียงแต่เกรงว่าเรื่องนี้ท่านเจ้ากรมอาญาคงจะไม่อาจจะชี้ขาดความถูกผิดได้แล้ว พวกเราคงจะต้องนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกันต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทแล้ว” เมื่อจ้าวฉีเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พลันพยักหน้าในทันที

“ได้! เช่นนั้นท่านเจ้ากรมโม่รบกวนท่านช่วยกุมขังคุณชายใหญ่สกุลจ้าวให้ข้าด้วย อ้อ สตรีสกุลหลินผู้นี้พวกเราควรจะจัดการกับนางเช่นไรดี” คำพูดขององค์รัชทายาททำให้สายตาทุกคู่ล้วนมองไปที่หลินชิงเหมย ส่วนนางกลับส่งสายตาอ้อนวอนมาที่โซ่วอ๋อง ซึ่งโซ่วอ๋องไม่เพียงไม่มองหน้านางกลับเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา

"นางทำผิดก็ว่าไปตามความผิดเถิด" คำพูดของโซ่วอ๋องทำให้หลินชิงเหมยร่ำไห้ออกมาส่วนสีหน้าของโซ่วอ๋องเองก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างปิดบังเอาไว้ไม่มิด

"จะลงโทษสตรีผู้นี้เช่นไรก็ได้ แต่สำหรับบุตรชายของกระหม่อมนั้นกระหม่อมคงต้องขอพาตัวเขากลับไปด้วย" จ้าวฉีเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าไปช่วยจ้าวซีเฉิง แต่คนของกรมอาญากลับชักกระบี่ออกมา

"หากท่านเสนาบดีจ้าวคิดจะพาคุณชายใหญ่ไป ข้าก็จะถือว่าท่านจงใจล่วงเกินกรมอาญา" โม่เจาเอ่ยด้วยสีหน้าสีหน้าอึมครึม จ้าวฉีมองคนของตนและของกรมอาญาแล้วก็พลันทอดถอนใจออกมา เขาหันไปมององค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแล้วก็เอ่ยออกมาเสียงเบา

"อย่าได้ทรงบีบบังคับกระหม่อม" 

"ข้าไม่ได้บีบบังคับ แต่เป็นท่านที่กำลังทำให้ตนเองมาถึงทางตัน" คำพูดขององค์รัชทายาททำให้จ้าวฉีเม้มปากแน่นมองบุตรชายคนโตครั้งสุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจเดินออกจากกรมอาญาโดยไม่มองบุตรชายของตนเองอีก

"ท่านพ่อ" จ้าวซีเฉิงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อมองเห็นคนของกรมอาญาและคนของจวนผิงกั๋วกงแล้วเขาก็เก็บงำคำพูดของตนเองเอาไว้ เขาหันไปมองหลินชิงเหมยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นแล้วจึงได้เอ่ยกับนางด้วยสีหน้าข่มขู่

"ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบละทิ้งชีวิตอันต่ำต้อยของเจ้าไปเสีย ไม่เช่นนั้นวันหน้าเจ้าจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่าอยู่มิสู้ตาย" เมื่อเอ่ยจบเขาก็ตัดสินใจกลืนยาพิษที่ซุกซ่อนเอาไว้แล้วจบชีวิตของตนอย่างรวดเร็วจนผู้อื่นไม่สามารถช่วยเหลือหรือลงโทษเขาได้อีกแล้ว หลินชิงเหมยได้แต่นั่งมองร่างที่ไร้ลมหายใจของเขาด้วยสายตาเหม่อลอย

'อยู่มิสู้ตาย' คำพูดสุดท้ายของจ้าวซีเฉิงยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของนาง จวบจนนางหมดสติทิ้งตัวลงไปบนพื้นของกรมอาญาที่แสนจะเย็นเยียบแล้ว ถ้อยคำนี้ของจ้าวซีเฉิงก็ยังตามหลอกหลอนนางอยู่แม้ในยามที่นางสิ้นสติไปแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 66 โทษทัณฑ์

    สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 65 โชคดี

    เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 64 แย่งชิงอำนาจ

    การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status