เสียงกลองดังกึกก้องไปทั่วลานกลางหมู่บ้าน เปลวไฟจากกองไฟขนาดใหญ่ส่องแสงระยิบไหวไปตามแรงลม บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้คนและเสียงเพลงพื้นเมืองที่ขับขานกันเป็นจังหวะ
คืนนี้เป็นคืนแห่งการเฉลิมฉลองของเผ่า เป็นคืนที่ทุกคนในหมู่บ้านจะรวมตัวกันเพื่อแสดงความดีใจที่ได้อาหารจากการล่าสัตว์กลับมา มากมาย
พวกเขานั่งอยู่เงียบๆ ข้างกองไฟ มีเพียงเสียงไฟแตกเปรี๊ยะเป็นจังหวะเท่านั้นที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เอเลียสเหลือบมองโครเล็กน้อย เขาเคยคิดว่าโครเป็นคนเย็นชาและดื้อรั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มเข้าใจว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายเป็นแค่คนที่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตของตัวเองและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น
“วันนี้ฉันสอนคำใหม่ให้เด็กๆ ด้วยนะ” เอเลียสพูดขึ้นมาลอยๆ เพื่อลดความเงียบงัน
“พวกเขาเรียนรู้ไวมาก คำว่า น้ำ ไฟ แล้วก็ ดอกไม้ ”
โครพยักหน้าเล็กน้อย แสดงว่าเขากำลังฟังอยู่แม้จะไม่ได้ตอบอะไร เอเลียสหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาวาดรูปง่ายๆ ลงบนพื้นดิน วงกลมเล็กๆ แทนดวงอาทิตย์ ลายเส้นหยักๆ แทนกระแสน้ำ โครมองตามสิ่งที่เอเลียสทำ แม้ในตอนแรกเอเลียสแค่ต้องการทำให้ตัวเองอยู่รอดในหมู่บ้านนี้ แต่ตอนนี้…มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น
“ดี” เขาพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะหันไปหยิบกิ่งไม้อีกอันมาวาดรูปลงบนพื้นแทนบ้าง
เอเลียสมองดูอย่างสนใจ รูปของโครดูไม่เป็นระเบียบมากนัก แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่คล้ายกับสิ่งที่เขาเห็นบนผนังถ้ำของหมู่บ้าน อาจจะเป็นอักษรของเผ่าพวกเขา หรืออาจเป็นเพียงภาพวาดเพื่อสื่อความหมาย
“นี่คืออะไร?” เอเลียสชี้ไปที่รูปนั้น
โครเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
“เรา”
เอเลียสยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มันอาจจะเป็นแค่คำเดียว แต่มันมีความหมายมากสำหรับเขา โครไม่ได้ปฏิเสธเขาอีกต่อไปแล้ว
ไม่นานกลุ่มชาวบ้านที่เริ่มคุ้นเคยกับเขาเข้ามาลากเอเลียสออกไปรายรำรอบกองไฟกับพวกเขา แม้ในตอนแรกเขาจะเดินตามไปแบบเก้ๆ กังๆ แต่ไม่ว่าเป็นเพราะจังหวะเพลง หรือบรรยากาศที่นำพาเขาไป เขาก็เริ่มทำท่าทางไปพร้อมกับเหล่าคนในหมู่บ้าน
ระหว่างที่กำลังครึกครืนอยู่นั้น ชาวบ้านคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยไม้ที่เต็มไปด้วยของเหลวสีเข้มยื่นให้
“อุอะ!” ชายร่างใหญ่พูดขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้าง
เอเลียสกระพริบตา ไม่แน่ใจว่าเขาพูดว่าอะไร แต่พอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่าทุกคนกำลังดื่มกันอย่างสนุกสนาน
'ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของงานฉลองนี้รึป่าวนะ?'
“อะ…ขอบคุณ” เอเลียสรับถ้วยไม้มา แม้จะยังไม่แน่ใจว่าในนั้นคืออะไร
เขาลองจิบไปอึกหนึ่ง รสชาติของมันทั้งขมและหวานปนกันคล้ายกับเครื่องดื่มหมักจากผลไม้ป่าและสมุนไพร แม้รสชาติจะไม่ได้เลวร้าย แต่ความร้อนที่แล่นผ่านลำคอก็ทำให้เขารู้ทันทีว่าเครื่องดื่มนี้มีฤทธิ์มึนเมาไม่น้อย
“แรงใช้ได้แฮะ...” เอเลียสพึมพำ
เขาคิดว่าคงจะไม่ดื่มต่อ แต่ไม่ทันไรชายคนนั่นก็ยื่นมาให้เขาอีก แม้เขาจะปฎิเสธแล้วแต่ทุกคนต่างเชียร์เป็นเสียงเดียวกัน ชาวบ้านรอบตัวหัวเราะอย่างสนุกสนาน บางคนตบบ่าเขาเป็นเชิงให้ดื่มต่อ และด้วยความเกรงใจ เขาจึงต้องดื่มมันไปหลายแก้ว
โครที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก มองเขาเงียบๆ และยิ้มอย่างชอบใจที่เอเลียสเข้ากับคนในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี
ไม่นานนักกองไฟที่ใจกลางหมู่บ้านเริ่มมอดดับลง ต่างคนต่างแยกย้ายกลับกระท่อมของตนเอง เอเลียสก็ไม่ต่างกันแม้เจ้าตัวจะยังคงเดินโซเซเล่นกับเด็กๆ อยู่ก็ตาม
โครถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะไล่เด็กๆ ให้กลับกระท่อมตนเองไป และประคองเอเลียสให้ยืนตรง
"กลับกระท่อม" โครกล่าว
เอเลียสไม่ได้ขัดอะไร เพียงแค่โบกมือลาเด็กๆ และปล่อยให้โครพยุงตัวเขาออกมา แม้ว่าเขาจะยังอยากอยู่ต่อ แต่ตอนนี้สติของเขากำลังเลือนรางเกินกว่าจะเถียงอะไรได้
ไฟจากคบเพลิงให้แสงสว่างเพียงรำไร บรรยากาศเงียบลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสองคนภายในกระท่อมที่คุ้นเคย
โครพาเอเลียสไปนอนลงบนที่นอน ส่วนเจ้าตัวกำลังเดินไปดับไฟ เหมือนปกติที่เคยทำ แต่อาจเป็นเพราะฤทธิ์เครื่องดื่มที่ถึงแม้จะแค่แก้วเดียว หรืออาจเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับ แต่ยังไม่ทันได้ดับไฟ
“ขอบคุณนะ…” เอเลียสพึมพำขึ้นมา
โครยังคงเงียบ มองเขาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ผมสีทองอ่อนกระทบกับแสงไฟจากคบเพลิง ในสายตาเขา คืนนี้มันกลับแปลกไปกว่าทุกๆ คืน ทำให้เขาเดินเข้าไปใกล้เผลอสัมผัสมันขึ้นมาดอมดมอย่างไม่รู้ตัว..
ตึก ตึก ตึก.. เสียงฝีเท้าเบาๆ กระทบพื้นหินอ่อนของพิพิธภัณฑ์ เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของผู้มาเยือนเบาบางแทบจะกลืนไปกับความเงียบสงัดในโถงจัดแสดงตอนบ่ายแก่ๆ แสงมีส้มลอดผ่านกระจกบางใส ที่ขึ้นไอเย็นเล็กน้อย ชายหนุ่มในโค้ทสีน้ำตาลยาวเลยเข่า ผมสีเหลืองอ่อนเล่นเงากับแสงไฟ เขายืนนิ่งอยู่หน้าตู้โชว์กระจกใส ตาในตาสีม่วงหมองแนบมองชิ้นงานภายในอย่างเงียบงัน — สร้อยคอจากกระดูกสัตว์โบราณ ที่ดูคุ้นตาเสียจนหัวใจเขาบีบรัด มันไม่ใช่แค่สิ่งของโบราณธรรมดา มันคือชิ้นส่วนของความทรงจำ ความรู้สึกที่เหมือนมัดแน่นไว้กับอดีต... เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านข้าง พร้อมชายผิวแทนเข้ม กับผ้าพันคอสีเทาอ่อนเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง "คุณมองดูมันเหมือนเป็นของสำคัญเลยนะ.." เอเลียสไม่ได้ตอบ เขาแค่หันศีรษะไปช้าๆ เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกัน ผมดำยุ่งเล็กน้อยอย่างคนไม่ชอบหวี ดวงตาสีเข้มสะท้อนแสงไฟในพิพิธภัณฑ์อย่างแผ่วเบา เขากำลังจ้องมองไปยังสร้อยเส้นนั้น ราวกับมีบ้างสิ่งบ้างอย่างในใจ "..ก็คงงั้น" เอ
เสียงปรบมือดังก้องทั่วทั้งหอประชุมขนาดมหึมาที่ประดับด้วยแสงสีและฉากหลังล้ำอนาคต ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีที่มีแสงสปอตไลต์สาดส่องลงมากลางจุดรับรางวัล พิธีกรหญิงในชุดสูทสะท้อนแสงสีเงินยืนอยู่ตรงกลางเวที ก่อนจะเอ่ยเสียงชัดเจนผ่านไมโครโฟน และมืออีกข้างที่ถือถ้วยรางวัลเป็นกระจกใสที่วาววับเหมือนเพรชถูกออกแบบมาอย่างประณีต "รางวัล The Multiversal Breakthrough Prize—รางวัลแห่งการปฏิวัติความเข้าใจเรื่องจักรวาลคู่ขนาน ผู้คิดค้นและวิจัย ผดร.เอเลียส โรห์น และทีมของเขา!" เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ผู้คนบางส่วนลุกขึ้นยืนแสดงความยินดี บางคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา จากมุมหนึ่งของเวที ชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท ก้าวออกมาจากแถวเก้าอี้ของคณะนักวิจัย ผมยาวสีทองอ่อนถูกรวบไว้หลวม ๆ ดวงตาสีม่วงเจือหมอกอ่อน ๆ ที่มองไกลดูเหมือนแสงสะท้อนของดวงดาว เขายิ้มจางๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเวทีด้วยท่าทีสงบนิ่ง "ขอบคุณสำหรับรางวัลที่มีเกีตรตินี้.." เสียงของเขาดังผ่านไมโครโฟน น้ำเสียงนุ่
ครืนน.. ท้องฟ้าอึมครึ้มตั้งแต่รุ่งสาง เมฆครึ้มหม่นคล้ายจะพยายามกลืนกลบแสงอาทิตย์ไว้ เอเลียสยืนอยู่หน้ากระท่อม ดวงตาไล่มองหมู่บ้านที่กำลังเคลื่อนไหว ผู้คนต่างโบกมือลา บ้างยิ้ม บ้างร้องไห้ ชายหนุ่มสวมเสื้อกาวเก่าที่มีรอยฉีดขาด พร้อมรอยยิ้นและโบกมือเป็นการอำลา ก่อนจะหันไปมอง ชายสองคนที่กำลังรอเขาอยู่ พวกเขา โคร และผู้อาวุโส เริ่มต้นการเดินทางมุ่งไปยังจุดที่ครั้งหนึ่งเอเลียสเคยตกลงมาสู่โลกนี้ ที่ที่เขาจะใช้เพื่อกลับไปยังโลกเดิมของตน ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาไม่ช้า จากเม็ดเล็กกลายเป็นสายฝนหนัก ลมแรงกระหน่ำราวกับพายุไล่หลัง ทุกย่างก้าวบนพื้นดินชุ่มแฉะกลายเป็นความหนืดรั้งเท้า แต่ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครเอ่ยปาก ในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงกลางเนินโล่ง ที่ซึ่งเคยเป็นป่ารกชัฏ บัดนี้ถูกเคลียร์ออกจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกลางธรรมชาติ เครื่องเปิดมิติขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเนิน ล้อมรอบด้วยเสาร์โลหะสามต้นโค้งเข้าหาศูนย์กลาง ราวกับกรงโลหะที่ตั้งใจล้อมใครสักคนไว้จากโลกทั้งใบ สายล่อฟ้าถูกติดตั้งเชื่อมเข้ากับเสาร์ทั้งสา
เปลวไฟเต้นเร่าอยู่กลางลานหมู่บ้าน เสียงฟืนแตกดังเปรี๊ยะๆ สลับกับเสียงหัวเราะและจังหวะกลองที่ดังเป็นจังหวะเนิบช้า ผู้คนหมู่บ้านนั่งล้อมรอบกองไฟ บางคนลุกขึ้นเต้น บางคนสวมหน้ากากไม้ บางคนผลัดกันร้องเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ บรรยากาศเต็มไปด้วยแสง สี เสียง และรอยยิ้มแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ในหัวใจของบางคน... กลับเงียบงัน เอเลียสนั่งอยู่ข้างโครบนท่อนไม้ยาวที่ถูกจัดวางไว้รอบกองไฟ เขานิ่งมองเปลวไฟสลับกับรอยยิ้มของชาวบ้าน ความอุ่นไอจากกองไฟไม่สามารถละลายความเย็นเยียบในอกเขาได้เลย เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังไกลออกไปอีกมุมหนึ่ง "เจ้ารู้จักได้ยัง" เอเลียสเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่มองอีกฝ่าย รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา โครเลิกคิ้ว "เจ้าหมายถึง?" เอเลียสหันมามองโคร แววตาเปี่ยมด้วยความหมายที่แฝงไว้เบื้องลึก "คำว่า 'อรุณสวัสดิ์' ไง" โครหลุดหัวเราะพรืดออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินปนทะเล้น "อ๋อ... คำนั้นน่ะเหรอ" เขาหันหน้าไปอีกทาง พลางทำเสียง
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกยามเช้า ดังคลอเคล้ากับแสงสีทองบางเบาที่รินรดผ่านหน้าต่างไม้เก่า เสียงเท้าของผู้คนบางตาเริ่มดังแว่วอยู่ไกล ๆ ชวนให้อากาศในยามรุ่งสางดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด เอเลียสขยับตัวเล็กน้อย สัมผัสแรกที่ตื่นขึ้นมาคือความเย็นว่างเปล่าบนแผ่นหลัง ไม่มีอ้อมแขน ไม่มีแรงกอด ไม่มีเสียงหายใจอุ่น ๆ ที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อคืนก่อน เขาลืมตาขึ้นทันที สายตามองไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว—แต่ตรงนั้นว่างเปล่า "…โคร?" เสียงของเขาเบากว่าลมหายใจ แต่ไม่มีคำตอบ ไม่มีเงาร่าง ไม่มีแม้แต่เสียงเดินอยู่ในกระท่อม ความรู้สึกใจที่หล่นวูบหนึ่งแล่นวาบไปทั้งอก เอเลียสลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูกระท่อมอย่างร้อนใจ เบื้องนอกกลับเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับความเงียบในใจเขาโดยสิ้นเชิง—ผู้คนในหมู่บ้านพากันทำงานอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกเหล็กกลมกลึงผ่านหน้าเขาไป มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังขัดเศษโลหะ อีกกลุ่มกำลังขุดดิน ปรับฐานโครงไม้ บางคนยกฟืน บางคนถือแผ่นแร่ แม้แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ยังลอยมาตามลม
ยามเช้าอันเงียบสงบในหมู่บ้านยังคงอบอวลไปด้วยหมอกจาง ๆ เมื่อเอเลียสเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสู่ถ้ำ เขาก้าวย่างด้วยความเร่งรีบแต่ระมัดระวัง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน เพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่สะท้อนกับผนังหินเย็นเฉียบภายในถ้ำ ผู้อาวุโสประจำอยู่หลังกรงไม้เช่นเคย แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความคาดหวังเบื้องหน้าเครื่องตรวจจับการซ้อนทับของมิติ ซึ่งประกอบด้วยขดลวดทองแดงพันรอบโครงไม้ แขนกลทำจากเศษเหล็กกลั่นรูปทรงหยาบ และศูนย์กลางของเครื่องคือแท่นหินทรงกลมที่ฝังด้วย หินสีดำอมเทา สะท้อนประกายระยิบระยับแปลกตา"เจ้าเอามาหรือไม่?" ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเขาเอเลียสหยิบถุงหนังสัตว์ขนาดเล็กออกมา ก่อนจะเทสิ่งของในนั้นลงบนแผ่นหินที่อยู่ใกล้เครื่อง หินเม็ดเล็กขนาดนิ้วหัวแม่มือหล่นลงมาเรียงกัน มีลักษณะคล้ายถ่าน แต่ผิวสะท้อนแสงวาวๆ อย่างแปลกประหลาด"นี่คือแร่แมกนีไทต์ที่ท่านขอ" ผู้อาวุโสพยักหน้าเบาๆ ดวงตาลุกวาว "ยอดเยี่ยม สมกับเป็นเจ้า เอเลียส""แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะจ่ายพลังงานได้พอให้เครื่องทำงานหรือไม่…" เอเลียสพูดเบาๆ พลางจัด