วันนี้บรรยากาศเรือนเยว่หลันในจวนหลังใหญ่ดูจะวุ่นวายแต่เช้าตรู่ เหล่าฮูหยินนั้นออกมายืนกำกับคอยดูสาวใช้ขนข้าวของคุณหนูใหญ่ของบ้านขึ้นรถม้าคันใหญ่ด้วยตนเอง และตามติดมาด้วยเสนาบดีเจียงที่เดินควงแขนมากับฮูหยินรอง รั้งท้ายด้วยคุณหนูรองของบ้านที่วันนี้นั้นทั้งสองแม่ลูกแต่งตัวสวยผิดหูผิดตา หนำซ้ำใบหน้ายังแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่างผิดวิสัย
“ท่านพ่อ ท่านย่า เอ่อแม่รอง ข้าลานะเจ้าคะ” ซูเหยาเดินตรงมาทำความเคารพก่อนจะเอ่ยลา ร่างบอบบางตรงเข้าสวมกอดผู้เป็นย่าก่อนจะลังเลที่จะสวมกอดผู้เป็นพ่อดีรึไม่แต่สุดท้ายก็มิได้ทำทั้งสองพ่อลูกทำเพียงมองสบตากันนิ่งก่อนที่หลินเจียงจะเอ่ยออกมาในที่สุดในใจเกิดนึกสงสารบุตรสาวที่ต้องลำบากระเห็จไปอย่างต่างเมือง
“หากอยากกลับก็จงรีบให้คนส่งจดหมายมาข้าจะรีบไปรับกลับทันทีรู้รึไม่”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูเหยาแย้มยิ้มน้ำตารื้นกับถ้อยคำผู้เป็นพ่อ
“ซูเหยาเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะรู้รึไม่ หากตระกูลจางไม่ดีกับเจ้าให้รีบส่งข่าวมาบอกแม่เลยนะ” ซูฉีจับมือรวบเข้าจับเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานแย้มยิ้มเสียแนบเนียน ท่าทางรักซูเหยาประหนึ่งลูกในครรภ์นั้นได้ผลดียิ่งนักเพราะนั้นเรียกสายตาชื่นชมจากหลินเจียงผู้เป็นสามีและเหล่าฮูหยินได้ดีเลยทีเดียว
“พี่หญิงข้าคงต้องคิดถึงพี่หญิงมาก ๆ แน่เลยล่ะเจ้าค่ะ” ครานี้ถึงคราว ชิงเยว่ที่แสดงละครแสร้งบีบน้ำตา ซูเหยาที่เห็นสองแม่ลูกที่เล่นละครซะแนบเนียนเหมือนจริงนั้นก็ได้แต่ลอบเบะปากน้อย ๆ ก่อนจะผลักนางออกจากอ้อมกอดเบา ๆ บีบแขนทั้งสองข้างไม่แรงนักพร้อมกัดกัดฟันยิ้มพร้อมกับแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ท่านย่า ท่านพ่อ แม่รอง น้องหญิง ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ ข้าไปอยู่ที่นั่นมิแน่อาจจะสบายกว่าอยู่ที่นี่ก็ได้นะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องสู้รบปรบมือกับผู้ใด” ซูเหยาเอ่ยทีเล่นทีจริงบอกเป็นนัย ก่อนประโยคหลังกัดฟันเน้นเอ่ยข้างหูชิงเยว่ให้ได้ยินเสียงสองคน
“แฮะ ๆ พี่หญิงได้สบายดีแน่เจ้าค่ะ!” ชิงเยว่เผยยิ้มกว้างก่อนตอบกลับด้วยท่าทางมีมาดผู้ชนะ
เมื่อล่ำลากันเสร็จก็ได้เวลาเริ่มออกเดินทาง ซูเหยากวาดสายตามองไปทั่วทั้งเรือนด้วยสายตาอาทรลึก ๆ ก่อนจะตัดใจก้าวขึ้นนั่งบนรถม้าโดยมีเยว่ถานนั้นติดตามไปรับใช้นางด้วย
รถม้าคันใหญ่วิ่งลิ่วออกจากเมืองพอ ๆ กับใจซูเหยาที่โหว่งหวิว ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกสองสามคราติด ในใจแม้อาลัยแต่กลับมิมีน้ำตาแม้เพียงหยดให้ได้เห็น ในเมื่อไม่มีวาสนาต่อกันแล้วก็ช่างเถอะ หากหยางจวิ้นอ๋องปรารถนาในตัวชิงเยว่ ตลอดหลายปีที่นางยากลำบากมานี้ต่อไปนี้คงไม่มีอีกแล้ว ในใจนางนึกปฏิญาณกับตนเองว่าจะไม่เสียสละเวลาเฉกเช่นคราก่อนให้แก่บุรุษใดอีกอย่างเด็ดขาด
“คุณหนู” เยว่ถานที่เห็นคุณหนูของตนนั่งเงียบ เอาแต่นั่งมองถุงหอมในมือด้วยสายตาเศร้าก็เอ่ยถามขึ้นอย่างนึกห่วงใย เพราะตั้งแต่ขึ้นรถม้ามาคุณหนูของนางก็เอาแต่นั่งมองถุงนั่นในมือเงียบ ๆ มิยอมเอ่ยสิ่งใดอีกเลย
รถม้าคันใหญ่หลังจากวิ่งและแวะพักมาตลอดทางกินเวลาร่วมสามวันในที่สุดก็เข้าเขตซานเฉิง ผ้าม่านรถม้าถูกเลิกเปิดขึ้นเพื่อมองดูทิวทัศน์แปลกตาโดยรอบอย่างตื่นเต้น ภาพผู้คนเดินพลุกพล่านขวักไขว่จับจ่ายซื้อของทิวทัศน์ที่มีภูเขาโอบล้อมทุกด้านบรรยากาศไม่วุ่นวายเท่าเฉิงหยางแต่ดูท่าแล้วก็พอค้าขายได้นับว่าสมกับชื่อเมืองที่ความหมายตรงตัว
“คุณหนูเมืองนี้อันที่จริงนับว่าไม่เลวเลยนะเจ้าคะ”
“อืม ก่อนมานะเยว่ถานข้าศึกษามาแล้ว ซานเฉิงขึ้นชื่อว่าเมืองดอกไม้และต้นกำเนิดบัณฑิตแล้วก็เป็นเส้นทางผ่านเข้าเมืองหลวงโดยตรงเจ้าพอมองออกรึไม่เยว่ถานว่าข้าหมายถึงสิ่งใด” ซูเหยากล่าวยิ้ม ๆ ในหัวบัดนี้คิดถึงสิ่งที่นางจะทำเพื่อมิให้เบื่อและเอาแต่คิดถึงเขาคนนั้น เหมือนว่าเผลอนึกเป็นไม่ได้ใจนางก็กลับล่องลอยไปหาเขาเสียแล้ว
“เช่นนั้นดีเลยเจ้าค่ะคุณหนู แต่เอ๊ะนี่เหตุใดรถม้ายังไม่หยุดนี่ก็เกือบออกนอกเมืองแล้วนะเจ้าคะ” เยว่ถานพูดก่อนจะขมวดคิ้ว
“นี่คนขับรถม้ายังไม่ถึงอีกรึนี่ก็ออกนอกเมืองแล้วนะ” เยว่ถานตะโกนถามเพื่อคลายสงสัย
“อีกหน่อยก็ถึงแล้วแหละขอรับ”
เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมาเช่นนั้นซูเหยาก็หลับตาลงอย่างระงับอารมณ์ ซูฉีนางจะเล่นงานกันให้ได้เลยสินะ หึ! แล้วคิดรึว่าข้าจะยอมอยู่เฉย ๆ ให้เจ้ากลั่นแกล้งได้ตามใจหนะ ข้าอยากรู้นักว่าญาตินางผู้นี้หากจ่ายเงินมากเสียหน่อยยังจะเป็นญาติของนางอยู่รึไม่ หึ ๆ
รถม้าวิ่งต่อมาอีกไม่นานถึงสองเค่อก็หยุดลงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่ดูแล้วไม่เล็กและก็ไม่ใหญ่มากแต่ก็นับว่าเริ่มทรุดโทรมตามการเวลา ซูเหยามองดูแล้วก็แจ้งแก่ใจในทันทีว่านี่คงมิใช่หรอกญาติของซูฉี ญาติฝั่งตระกูลซือเทียนของนางนั่นหรือจะเป็นเยี่ยงนี้
“มาแล้ว ๆ มา ๆ เข้ามาก่อน ๆ” ซูเหยายังมิทันได้ลงจากรถเพียงมองจากหน้าต่างก็เห็นสตรีวัยกลางคนวิ่งตรงเข้ามาสีหน้าท่าทางมีแววเจ้าเล่ห์อยู่หลายส่วน
“เจ้าใช่ตระกูลจางรึไม่” ซูเหยาถามเพื่อความแน่ใจอีกครา
“ย่อมใช่เจ้าค่ะ ข้านี่แหละ แฮะ ๆ” จางซื่อเหม่ยรีบตอบ ท่าทางมองแล้วคุณหนูนี่น่าจะมีเงินอยู่มิใช่น้อย เช่นนั้นนางควรเอาใจเสียหน่อยไว้รอให้เงินมันหมดแล้วค่อยทารุณก็ยังไม่สาย หึ ๆ
“เช่นนั้นเจ้าตอบข้ามาซูฉีนางให้เงินเจ้าเท่าไหร่ดูท่าแล้วเจ้าคงมิใช่ญาติตามที่นางอ้างได้หรอกนะ” ซูเหยากอดอกเดินวนรอบสตรีที่เป็นเจ้าบ้านด้วยสายตาจับผิด
“จะจ้างอะไรไม่มี ๆ” จางซื่อเหม่ยรีบปฏิเสธอย่างร้อนรน
‘นังคุณหนูนี่ดูท่าแล้วคงฉลาดอยู่มิน้อย ไม่ได้การล่ะจะให้จับได้ไม่ได้ยังมิทันได้เงินเลย’
“บอกมาว่าซูฉีนางสั่งให้เจ้าทำอะไรข้าบ้าง หากบอกเงินนี่จะเป็นของเจ้า ว่ายังไงจะบอกรึไม่บอก” ซูเหยาเริ่มเค้นถามทั้งยังเอาเงินมาหลอกล่อนาง และเมื่อเห็นว่านางยังคงนิ่งเงียบคล้ายกับว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนักจึงได้แกล้งเอ่ยคล้ายไม่แยแส
“ไม่เป็นไรไม่บอกก็ไม่บอก ยังไงข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ไปล่ะ”
“เฮ้ย ๆ บอกแล้ว ๆ หากข้าบอกเงินนั่นให้ข้าจริงรึไม่” จางซื่อเหม่ยที่รักเงินยิ่งกว่าอะไรกลัวว่าจะชวดเงินก้อนใหญ่ก็รีบละล่ำละลักกลัวไม่ทันการ
“ใช่!” ซูเหยาที่เห็นว่านางเดาถูกก็ยิ้มออกมา หึ! ซูฉีคิดจะกลั่นแกล้งข้าได้เช่นนั้นรึ ฝันไปเถอะ!
“คือนางสั่งให้ข้าใช้งานเจ้าให้หนัก” จางซื่อเหม่ยเอ่ยโดยที่ก้มมองพื้นมิกล้าสบตาสตรีตรงหน้าเสียเท่าไหร่ ในใจนึกขอโทษซูฉีถึงแม้จะรับเงินมาแล้วแต่ว่ารับอีกก้อนก็มิเสียหายมิใช่รึ
“อืม เช่นนั้นอ่ะ เงินนี่ข้าจ้างเจ้าต่อก็แล้วกัน ให้เจ้าคอยรายงานตามที่นางสั่งให้เจ้าทำ ส่วนข้าจะไปพักในเมือง แค่ทำตามที่ข้าบอกเจ้าทำได้รึไม่รึว่าหากเจ้าไม่ทำข้าก็จะไปร้องทางการว่าถูกเจ้าหลอกลวงต้มตุ๋น”
“เฮ้ย ๆ อย่า ๆ ได้ ๆ ได้สิ ๆ” จางซื่อเหม่ยรีบวิ่งไปคว้าจับซูหยางไว้โดยเร็วเมื่อเห็นว่านางทำทีจะก้าวขึ้นรถม้า
“เช่นนั้นก็...อ่ะนี่ของเจ้า” ซูเหยาให้เยว่ถานนำถุงเงินไปมอบให้จางซื่อเหม่ย จากนั้นสองนายบ่าวก็ขึ้นรถม้ากลับเข้าเมืองไปอีกครา
เมืองซานเฉิงแห่งนี้เนื่องจากว่าเป็นเมืองไม่ใหญ่มากการหาโรงเตี๊ยมนั้นจึงหาได้ง่าย ซูเหยาเลือกโรงเตี๊ยมหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งนางนั้นเหมาทั้งชั้นเพราะเห็นว่าราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบกับที่เมืองหลวงอย่างเฉิงหยาง ตั้งใจว่าวันพรุ่งถึงจะเริ่มออกสำรวจเมืองและหาทำเลดี ๆ ซักที่เพื่อเปิดร้านเครื่องหอมของนางซักร้าน
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน