ปราย
เลขาฯ หน้าห้องท่านประธานลุกขึ้นมองเหมือนจะถามเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ฉันก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นออกมา แต่ฉันไม่ได้หยุดคุยกับหล่อน ได้แต่คิดในใจว่าคราวนี้ซวยแน่แล้ว จึงรีบจ้ำเท้ากลับไปยังห้องจดหมายก่อนที่จะก่อเรื่องให้กับตัวเองมากไปกว่านี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับมอบหมายให้นำจดหมายมาส่งให้ท่านประธาน ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามามากพอสมควร ซึ่งออกไปในทางค่อนข้างน่าหวาดกลัว คนในบริษัทต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านประธานเขี้ยวมาก ถ้าใครทำงานพลาดอาจถูกไล่ออกในทันที ฉันเคยคิดว่านี่ออกจะเกินจริงไปซะหน่อย ท่านประธานคงไม่ได้เลวร้ายขนาดที่คนเขาพูดกันหรอก เขาเป็นทั้งมหาเศรษฐี ดารา และโปรดิวเซอร์รายการดังที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการเอง แถมรายการนั้นเป็นรายการโปรดของฉันด้วย เขาจะไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนด้อยโอกาสทางสังคม แล้วยังโครงการให้โอกาสฝึกงานกับผู้พิการอีก
สำหรับฉันที่หูหนวก ใช้วิธีการสื่อสารด้วยการพิมพ์ใส่มือถือแล้วให้แอพฯ ออกเสียงแทน ฉันทำอย่างนี้กับเพื่อนร่วมงานในแผนก แต่ว่าฉันไม่ได้หยิบมือถือติดตัวมาด้วยเพราะนอกแผนกไม่มีใครพูดอะไรกับฉันนอกจากคุณลภกับคุณชาร์มเท่านั้น แต่ถึงฉันจะพกมือถือไปด้วยตอนที่เจอท่านประธานเขาดูไม่คิดจะทนรอให้ฉันพิมพ์ข้อความให้เสร็จ เขาแทบจะกินหัวฉันเลยทีเดียวที่จู่ ๆ ก็เดินเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
พอมาถึงห้องจดหมายฉันรีบหยิบมือถือแล้วตรงไปหาพี่จุ๋ม หัวหน้าห้องจดหมายเพื่อรายงาน
“พี่จุ๋มคะพอดีว่ามีปัญหานิดหน่อยตอนที่ปรายเอาจดหมายท่านประธานไปส่ง”
ฉันพิมพ์ข้อความแรก รอจนกระทั่งคำสุดท้ายขยายขึ้นเพื่อบอกว่าประโยคที่ฉันพิมพ์ได้ถูกพูดจบแล้วจึงเริ่มพิมพ์ประโยคถัดไป
“ท่านประธานน่าจะกำลังคุยเรื่องสำคัญเป็นการส่วนตัวกับคุณลภอยู่ แล้วปรายก็เดินเข้าไป สีหน้าท่านดูโมโหไม่พอใจมาก ปรายส่งจดหมายให้ท่านแล้วแต่ว่าไม่ได้ให้ท่านลงชื่อ”
พี่จุ๋มรอจนกระทั่งฉันพิมพ์เสร็จแล้วค่อยถาม “แล้วก่อนที่จะเข้าไปเธอได้ถามคุณชาร์มรึยัง”
“คุณชาร์มไม่อยู่ค่ะ แต่คุณปลาบอกว่าให้เข้าไปได้”
“อ้อ เข้าใจแล้ว ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
ฉันยิ้มเจื่อนก่อนที่จะกลับไปยังโต๊ะตัวเอง นั่งอยู่อย่างนั้นเพราะไม่มีงานอะไรให้ทำมาก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว พอหันไปดูเวลา เพิ่งจะผ่านไปแค่ยี่สิบนาทีแต่เหมือนกับนานทั้งวัน ยังเหลืออีกตั้งสามชั่วโมงกว่าจะเลิกงาน
“น้องถูกขึ้นบัญชีดำของบอสแล้วละ “พี่บีมแผนกไอทีมานั่งข้าง ๆ หน้าตาเห็นใจสุด ๆ
ฉันพยักหน้าอย่างจนปัญญา แต่แอบสงสัยว่าเขารู้เรื่องเร็วขนาดนี้ได้ยังไง มันคงไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้งในเมื่อหลังจากรายงานพี่จุ๋มแล้วก็ไม่เห็นว่าอะไร
“ท่านประธานเพิ่งสั่งให้เอารายงานประวัติน้องไปให้น่ะ” พี่บีมบอก ชูแฟ้มสีดำในมือให้ดู ฉันพยายามจะหยิบมาดูแต่เขาชักหนี “หยุด! อย่าแม้แต่จะคิด นี่สำหรับบอสเท่านั้น” พูดพลางถอนหายใจส่ายหน้า ตบไหล่ให้กำลังใจ “เตรียมตัวหางานใหม่ได้เลยคราวนี้”
ฉันกรอกตาใส่คนที่จู่ ๆ จะมาก็มาจะไปก็ไป แล้วครุ่นคิดกับตัวเองว่าจะมาถูกไล่ออกเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองหรือ
หกเดือนต่อมากวินผมกลับถึงบ้านก่อนที่เข็มนาฬิกาจะแตะเลขสิบสองเพียงเล็กน้อย ช่วงนี้ผมต้องทำงานชดเชยเวลาที่หยุดไปฮันนีมูนที่ยุโรป ดังนั้นงานจึงกองสุมหัว พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับเจ้าลาเต้ที่กระดิกหางต้อนรับอยู่ มันเดินตามผมเข้ามาถึงในห้องนอน“อ้าวยังไม่นอนอีกเหรอที่รัก”“ปรายนอนไม่หลับค่ะ กังวลเรื่องพรุ่งนี้กลัวว่าทุกสิ่งที่ทำไปจะสูญเปล่า”ผมเข้าใจ พรุ่งนี้เรามีนัดกับหมอเพื่อฟังผลการรักษาหลังจากที่ปรายเข้ารับการผ่าตัดเมื่อสามเดือนก่อนผมประคองหน้าเธอไว้ด้วยสองมือ โน้มลงไปจูบหน้าผากมนเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ“ไม่ต้องกังวล เชื่อฉันสิ ทุกสิ่งจะผ่านไปได้ด้วยดี”คำปลอบใจไม่ช่วยให้เธอดีขึ้น ผมยิ้มมองคนที่ตอนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา“ช่วยรักปรายหน่อยได้มั้ยคะ ปรายต้องการคุณ”คำขอร้องจากปากเธอทำให้ผมคราง ท่าทางและน้ำเสียงเว้าวอนแบบนี้ปลุกความเป็นดอมในตัวผม แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมแทบละลายทุกครั้งที่เธอพูดแบบนี้ระหว่างมื้ออา
สองสัปดาห์ต่อมาปรายเพิ่งจะได้รับการตรวจเช็กจากหมอผู้เชี่ยวชาญที่นัดไว้ ตอนนี้กำลังรอฟังผลอยู่ ผมวางมือลงบนมือปรายที่วางอยู่บนหน้าตักเธอจึงหันมามองหน้า“ไม่ต้องกลัว” บอกพร้อมบีบมือให้กำลังใจ รู้ว่าการรอคอยเรื่องสำคัญเช่นนี้มันกระวนกระวายแค่ไหน“ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ คุณหมอให้เชิญพวกคุณเข้าไปด้านในค่ะ” ผู้ช่วยสาวเดินออกมาบอก ทำท่าผายมือไปทางห้องทำงานคุณหมอ“เชิญนั่งครับ” คุณหมอยิ้มเมื่อเห็นเรานั่งลงตรงข้าม “คุณคงอยากจะทราบผลแล้วนะครับ หลังจากที่ตรวจและวินิจฉัยแล้วผมขอแจ้งว่านี่เป็นข่าวดี จุดที่เสียหายในระบบการได้ยินของคุณไม่ใช่จุดหลัก เพราะฉะนั้นเราแค่ต้องจัดการอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ตรงเส้นประสาทการรับรู้ที่จะเป็นตัวแปรในการได้ยินเสียงของคุณ”ผมยิ่งฟังก็ยิ่งงง แต่เหนืออื่นใดคือยินดีมากที่รู้ว่าปรายจะสามารถกลับมาได้ยินอีกครั้ง“ยังไงคะ คุณหมอหมายถึงการใส่ประสาทหูเทียมแบบนั้นเหรอคะ” ปรายทำมือถาม เพราะนี่ถือเป็นวิธีการทั่วไปที่ใช้รักษา“ครับผมการใส่ประสาทหูเทียมจะทำให้คุณกลับมาได้ยินอีกครั้ง
แสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำไมเวลามีปรายในอ้อมกอดแล้วรู้สึกว่าเช้าวันใหม่มาเร็วเหลือเกิน สักพักรู้สึกว่าร่างบนตัวเริ่มขยับยุกยิกไปมา“เอ๊ะ! ปรายมาอยู่ท่านี้ได้ยังไงคะ” เสียงงัวเงียตามก่อนที่จะหัวเราะเมื่อผมรัดตัวเธอแน่นขึ้น ท่านี้ที่ว่าคือนอนคว่ำหน้าท้องพาดบนแขนที่ผมเพิ่งสอดมือลงไปกุมกุหลาบที่อยู่ตรงหว่างขา“ของฉัน” ผมบอก แกล้งเป่าลมหายใจรดข้างหูจนปรายขนลุก เธอพยายามขืนตัวออก เมื่อทำไม่ได้จึงเปลี่ยนมาจูบปากผมแทนผมอยากจะทำรักกับเธอเร็ว ๆ แต่รู้ว่าวันนี้พ่อแม่เธอจะมาหาจึงอดกลั้นไว้ผมตื่นเต้นประสาทแดกตั้งแต่เช้า ครั้งสุดท้ายที่จำความรู้สึกนี้ได้คือตอนที่ขายเรือลำแรกสำเร็จ แต่วันนี้เหมือนจะเป็นมากว่าตอนนั้นเสียอีก“ใจเย็น ๆ สิคะ” เสียงปรายดังแทรกเข้ามาในหัว แต่ผมอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวลไม่ได้ “ยังไงปรายก็จะแต่งงานกับคุณอยู่ดี”ผมพยักหน้าเรียกความเชื่อมั่นกับตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่าปรายให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก เธออยากให้พ่อแม่ยอมรับผม เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ผมหันมองหน
ปรายคืนนี้ฉันไม่ได้อยากหยิบยกเรื่องนี้มาพูด แต่คุณกวินคิดมากและจริงจังเกินไป เขารู้ว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่ไม่ยอมรับ“ไม่ นี่ไม่ใช่ทางออก ไม่มีทาง ฉันไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่”“ปรายไม่เหมาะกับโลกของคุณหรอกค่ะ”“ใครอยากให้เธอเหมาะกับโลกของฉัน ไม่เหมาะก็ไม่เหมาะสิ”“เห็นมั้ยคะ คุณพูดออกมาเอง คิดมั้ยคะว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันไปนานเข้าแล้วปรายยังเข้ากับโลกของคุณไม่ได้คุณจะรู้สึกยังไง อาจะเบื่อหรือรำคาญ”“โลกบ้าบออะไร ช่างแม่ง เธอคิดไปเอง ฉันจะบอกให้นะ ที่ฉันทำโครงการช่วยเหลือคนพิการก็เพื่ออุทิศให้กวี ไม่ว่าตอนนี้เจ้านั่นจะอยู่ที่ไหนฉันเชื่อว่าจะต้องชอบเธอ ทุกคนในครอบครัวของฉันชอบเธอ โลกของฉันคือเธอ ฉันไม่เคยเป็นของใครจนกระทั่งได้พบกับเธอ เธอเองก็เป็นของฉันเหมือนกัน บอกสิว่าเธอคิดเหมือนกัน”“ค่ะ ปรายคิดเหมือนกันคุณก็รู้”คุณกวินถอนใจยาวเมื่อเห็นว่าฉันไม่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงอีก ฉันจะเอาอะไรมาเถียงในเมื่อเขาเปรียบดั่งลมหายใจ“ถ้างั้นทางออกอื่นล่ะ”“ทองออกที่สองคือคุณจะต้องตัดปรายออกจากงานท
กวินปาร์ตี้ใกล้จะเลิก ผมกับปรายนั่งในมุมค่อนข้างส่วนตัว เธอไม่ใช่สาวปาร์ตี้ ที่มานี่เพราะอยากเจอน้องสาวผมมากกว่า ผมเห็นแม่สอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ พอมองมาทางนี้ก็ยิ้มพร้อมพยักหน้า แล้วก็มองไปที่คู่ของมิรากับแฟนหนุ่มตรงข้างสระว่ายน้ำ ต่อด้วยพี่ตฤณกับหยกตรงข้างบาร์เครื่องดื่ม แล้วก็วกกลับมาทางผมกับปรายอีกครั้ง เป็นที่เข้าใจได้เพราะแม่ไม่เคยเห็นผมใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อน ผมเลิกสนใจ หันมาหาปรายที่นั่งซบในอ้อมแขน โน้มหน้าจูบขมับเธอเบา ๆ แล้วก็เห็นพ่อผ่านทางหางตากำลังเดินไปหาแม่ คว้าตัวมาโอบกอดซึ่งเป็นภาพที่เห็นจนชินตา แล้วก็ต้องขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเห็นพ่อเช็ดน้ำตาให้แม่ แต่ก็คลายลงเมื่อเห็นแม่ตีอกพ่อที่หัวเราะเธอ เดาว่าพ่อน่าจะแซวแม่เรื่องอารมณ์อ่อนไหว ผมส่ายหัวก่อนที่จะหลับตาลงผ่อนคลายไปกับบรรยากาศผมน่าจะใจลอยเกินไปหน่อย มารู้ตัวอีกทีตอนที่ปลายขยับเข้ามากระซิบข้างหู“คุณกวินคะ ปรายขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”หลังจากที่ปรายลุกไปแล้วผมก็นั่งปล่อยใจมองคนโน้นคนนี้แต่ไม่เก็บมาใส่ใจจนกระทั่งสักพักเห็นปรายยืนข้างสระน้ำกับมิราและ
กวิน“ไม่คิดว่าเธอจะตอบตกลง” ผมพูดขณะขับรถพาปรายไปร่วมปาร์ตี้ของน้องสาวที่บ้าน“ปรายว่าน่าจะสนุกดี แต่ความจริงแล้วปรายอยากเจอน้องสาวคุณมากกว่า”พอกันทีกับผู้หญิงที่ก่อนหน้าตื่นเต้นแทบตายเมื่อจะได้ไปเจอครอบครัวผม ผมได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง“คุณยิ้มอะไรคะ ““เปล๊า” ผมตอบแล้วขับรถต่อผมยังไม่ได้ประกาศเรื่องหมั้นของเราสองคนให้ครอบครัวได้รับรู้ เพราะพี่ชายปากมากผมเลยต้องเปลี่ยนแผน จำได้ว่าวันนั้นหลังจากกลับบ้าน เจอปรายรออยู่ในห้องนอน พอเธอเห็นผมก็ฉีกยิ้มกว้างต้อนรับ“เธออ่านปากพี่ตฤณใช่มั้ย”“คะ?” แกล้งทำหน้าใสซื่อ“เธอรู้ว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร”“ก็…ค่ะ ปรายแค่จับใจความได้นิด ๆ หน่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องสวมแหวนอะไรนี่แหละค่ะ”ผมถอนใจ ยืนทิ้งสะโพกกับโต๊ะเครื่องแป้งมองปราย“ฉันอยากทำอะไรที่ถูกต้อง อยากไปคุยกับพ่อแม่เธอจริง ๆ จัง ๆ ขอให้พวกท่านยกลูกสาวให้ เชื่อมั้ยว่าฉันเกร็งแค่ไหนเพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี”“แต่คุณยังไม่ได้ถามปรายก่อนเลย” เธอเดินมากอดคอ“อืม” ผ