“ตกลงเรื่องงานหมั้นระหว่างแกกับน้องมิน แกจะเอายังไง” เจคอปนั่งจ้องหน้าน้องชายด้วยแววตาจับผิด เขาเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเจมส์มาร์และนาเดีย ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เจมส์มาร์วิ่งตามเมธาวีไป เขาลองคาดคั้นจากคนตัวเล็กไปแล้วหลายครั้ง แต่หล่อนก็ไม่ยอมปริปาก มีแต่จะโบ้ยหาน้องชายตัวดีของเขาท่าเดียว ด้านชายชราอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของพวกเขาทั้งคู่ก็ทวงถามหางานหมั้นของลูกชายคนเล็กบ่อยหูขึ้นเรื่อยๆ ชายแก่วัยหกสิบปลายๆอยากจะมีหลานไว้อุ้มเต็มที
“โธ่พี่ ไหนบอกว่าถ้าผมพาแฟนมายืนยันได้ พี่จะยกเลิกงานหมั้นระหว่างผมกับมินตราไง” เจมส์มาร์ทำหัวเสียกลบเกลื่อนท่าทีมีพิรุทธิ์
“แกแน่ใจเหรอว่าแกกับนาเดียเป็นแฟนกันจริงๆ” สายตาคมกริบจนคนถูกจ้องต้องกลืนก้อนเหนียวลงคอ เหมือนเจคอปจะไปรู้อะไรมา แต่นาเดียก็รับปากเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่เปิดเผยความจริง เธอจะคอยให้เจมส์เป็นคนบอกเอง แล้วใยพี่ชายเขาถึงยังมีทีท่าว่าจะไม่เชื่อในความสัมพันธ์ของพวกเขาอีก
“แน่สิ แล้วผมจะโกหกพี่ทำไม”
“แล้วกับคุณเมย์ล่ะ แกเป็นอะไรกับเขา”
เจมส์มาร์หน้าหงาย เขาเริ่มมั่นใจว่าพี่ชายต้องไปรู้อะไรมาแน่ๆ
“ผม... ผม” เจมส์ลังเล ก่อนจะตัดสินใจสารภาพเรื่องระหว่างตนเองกับนาเดีย “ผมกับนาเดียเรา...”
กริ๊งงงงงงงงงง! กริ๊งงงงงงงงงงงง!”
เสียงโทรศัพท์ของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน หน้าจอของเจมส์มาร์โชว์เบอร์ของว่าที่คู่หมั้นที่กำลังถูกพูดถึง ส่วนของเจคอปโชว์เบอร์แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล ทั้งสองกดรับสายพร้อมๆกัน
“ว่าไงนะ! คุณอาถูกยิง!/คุณเศรษฐาถูกยิงงั้นเหรอ”
ร่างสูงทั้งสองมองหน้ากันเมื่อรู้ว่าข่าวที่ได้รับเป็นเรื่องเดียวกัน ตอนที่ไปถึงแผนกฉุกเฉิน พวกเขาทันเห็นเปลของหนุ่มใหญ่เพื่อนสนิทของคนเป็นพ่อนอนกุมหัวไหล่มีเลือดอาบมาตามแขนเสื้อ ด้านข้างมีชายหนุ่มรูปหล่อวิ่งตามมาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“คุณรุทธ์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ” เจมส์มาร์เป็นฝ่ายเอ่ยทักคนรู้จัก ก่อนจะได้รับคำตอบสั้นๆ สรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เจมส์ แกไปจัดการเรื่องตำรวจกับเรื่องคนร้าย ฉันจะเข้าผ่าตัดเอากระสุนออกให้คุณอาเอง” เจคอปสั่งการก่อนจะรีบวิ่งตามเปลผู้ป่วยไปยังห้องผ่าตัด
การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงคนป่วยก็ถูกพาตัวไปพักรักษาอาการที่ห้องพัก เจคอปอยู่ดูอาการ พูดคุยกับคนแก่ให้หายคิดถึง และแล้วการสนทนาก็จบลงที่เรื่องงานหมั้นระหว่างสองครอบครัวที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย ในขณะที่เจคอปกำลังลำบากใจ เจมส์มาร์และผู้ชายอีกคนที่ชื่อณรุทธ์ก็เดินเข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้พอดี
“อ้าว พูดถึงก็มาเลย สวัสดีๆ ตาเจมส์” เศรษฐาเอ่ยทักว่าที่ลูกเขย
“เป็นยังไงบ้างครับคุณอา” คนมาใหม่ยังไม่ทันเอ่ยทักทาย เสียงฝีเท้าวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมประตูห้องถูกกระชากเปิดก็เรียกความสนใจของคนในห้อง
“คุณพ่อ เป็นยังไงบ้างคะ” เสียงใสของมินตรา ว่าที่คู่หมั้นของเจมส์มาร์เอ่ยถามคนเป็นพ่อด้วยอารามตกอกตกใจ เมื่อทุกคนเห็นว่าอาการของเศรษฐาไม่ได้น่าเป็นห่วงอย่างที่คิด จึงพูดคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย
“เอางี้ พ่อคงต้องฝากงานที่ภูเก็ตให้รุทธ์กับมินดูแลแทนไปก่อน แล้วอาก็ต้องขอฝากตาเจมส์ ให้ช่วยตามไปดูแลยัยมินอีกที ถือซะว่าซ้อมฮันนีมูนก็แล้วกันนะ ฮ่ะๆๆ” คนแก่หัวเราะชอบใจ ไม่ทันได้สังเกตสายตาของมินตราที่มองค้อนเจมส์มาร์อย่างแรง
'ไหนว่าพาพยาบาลอะไรนั่นไปเล่นละครตบตาพี่เจคแล้วไง แล้วไหงงานหมั้นยังไม่ถูกยกเลิกอีก' มินตราส่งสายตาคาดคั้น
'ไม่รู้วุ้ย ก็ทำอย่างที่บอกไปแล้ว พี่เจคยังไม่ยอมคุยกับคุณอาซักที'
เจมส์มาร์ตอบกลับทางแววตาเช่นกัน เจมส์ทำท่าจะขัดเศรษฐา แต่ถูกเจคอปสะกัดเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณอา ผมจะให้เจ้าเจมส์ลางานยาวเลย” เจคอปส่งยิ้มให้น้องชายและหญิงสาวที่เขารักเสมือนน้องสาวแท้ๆ
“แต่ว่า...” เจมส์ยังทำท่าจะท้วง แต่ถูกสายตาดุดันของพี่ชายกำราบไว้
“เอาเป็นว่าเราไม่รบกวนคุณอาแล้วนะครับ ผมกับเจมส์ขอตัวก่อน พักผ่อนมากๆนะครับคุณอา” เจคอปเอ่ยปากลาเศรษฐา ก่อนจะเดินนำเจมส์ออกมานอกห้อง
“ผมไม่ได้จะปฏิเสธหรอกนะ แต่เสาร์อาทิตย์นี้ผมมีคิวไปงานที่พัทยา พี่เจคลืมแล้วเหรอ” แผนการชั่วร้ายผุดขึ้นในสมองผู้เป็นน้อง เขากำลังจะเดิมพันแผนรักครั้งนี้ด้วยแววตาที่เจมส์เคยเห็นเจคอปใช้มองนาเดีย สายตาของพี่ชาย เป็นอะไรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันต้องมีความหมายลึกซึ้งถึงขนาดทำให้เจคอปคัดค้านเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนาเดียหัวชนฝา
“งานอะไร”
“ผมต้องไปเป็นพิธีกรกล่าวเปิดงานเลี้ยงต้อนรับพยาบาลใหม่ของโรงพยาบาลเราที่พัทยาไง พี่เป็นคนใส่ชื่อผมเองนะ” เจคอปลืมเสียสนิท
“ฉันเป็นคนใส่ชื่อแก ฉันก็ถอดชื่อแกได้เหมือนกัน” เจคอปพูดโดยไม่ได้ใส่ใจมากนัก ตอนนี้เขาต้องรีบจับคู่ให้เจมส์มาร์กับมินตราได้ลงเอยกันเสียที เขาจะได้เลิกระแวงว่าจะถูกน้องชายตัวเองตีท้ายครัว
“ว้า เสียดายจัง ผมอุตส่าตั้งตารออยู่เชียว ทั้งที่นัดแนะกับนาเดียไว้แล้ว” เจคอปหันควับมาจ้องหน้าน้องชาย สายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของเขาทำให้เจมส์มาร์มั่นใจในหัวใจของคนเป็นพี่
“นัดอะไร พวกแกนัดอะไรกัน” เขาถามเสียงแข็ง เจมส์แสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับท่าทีร้อนรนของพี่ชาย
“แหมพี่ ไม่น่าถาม คนเป็นแฟนกัน มีโอกาสได้ไปต่างจังหวัดด้วยกันทั้งที ก็ต้อง...” เจมส์ยั่วยวนอารมณ์ แต่อีกฝ่ายกลับเดือดดาลจนชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ไม่เคยเห็นเขาโกรธตนขนาดนี้มาก่อน
“เหลวไหล อย่าหวังว่าฉันจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องของแกสองคน ยังไงแกก็ต้องแต่งงานกับมินตรา ไปเคลียงานให้เรียบร้อยแล้วตามไปภูเก็ตกับน้องซะ!”
เจคอปย่างสามขุมจากไปทันที ทิ้งให้เจมส์มาร์ยืนทำอะไรไม่ถูก สายตาที่เขาใช้มองตนเหมือนว่าเขาจะสามารถฆ่ากันได้จริงๆ
เจมส์มั่นใจแน่วแน่ในหัวใจของพี่ชาย แต่ที่เขาหวาดหวั่นก็คือตัว
เจคอปมากกว่า ห่วงว่าเจคอปจะรู้หัวใจของตนเองหรือเปล่า
“ผมขอไปจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน แล้วผมจะรีบกลับมาช่วยพี่ก็แล้วกันนะครับ หวังว่าจะไม่ทำตัวร้ายกาจจนหล่อนทนไม่ได้ไปซะก่อนละ” เจมส์มาร์พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะรีบโทรจองตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตในชื่อเขากับเมธาวี แผนการชั่วร้ายที่จะได้ไปภูเก็ตกับหญิงคนรักสองต่อสองสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
เสียงบรรเลงบทเพลง Classic จากวง orchestra ชื่อดังระดับโลกกำลังประสานเสียงจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดขับกล่อมออกมาในบทเพลง 'Four Season'บทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะที่ฟังกี่ครั้งก็ยังคงตราตรึงหัวใจคนฟัง เหล่าบรรดาคนดังของประเทศอเมริกา ทั้งนายแบบนางแบบชื่อดัง ทั้งเหล่าคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดาไฮโซทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันมารวมตัว ณ Hall ขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่น และหนึ่งในบรรดาคนดังเหล่านั้น ก็รวมถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจคอป บดินพิทักษ์ นายแพทย์ชื่อดังที่พึ่งได้รับการยกย่องจากองกรค์แพทยสภาของอเมริกาให้เป็นนายแพทย์ผู้มากความสามารถซึ่งเป็นแกนนำหลักสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่ที่เขากลับมาดูแลกิจการต่อจากผู้เป็นบิดา เขาก็ค่อยๆขยายสาขาไปจนครอบคลุมทั่วทุกรัฐในอเมริกา ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฉายา'อาชาแห่งวงการแพทย์'ทั้งๆที่ได้รับเกียรติจากท่านคณะรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรงสำหรับตั๋วที่นั่งชั้นลอยระดับวีไอพี แต่แขกคนสำคัญคนดังกล่าวกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ที่ถูกจัดไว้ให้หลังม่านพลิ้วไหวบนชั้นลอยระดับวีไอพี ปรากฏร่างของชายหญิง
ตอนพิเศษเล็กๆเจคอปผละออกจากร่างบาง “แต่งตัวสิ”เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ดูเป็นทางการออกมาจากตู้เสื้อผ้า“จะไปไหนเหรอคะ” นาเดียเอ่ยถามด้วยความสงสัย มองแผ่นหลังที่กำลังยัดแขนลงไปในเสื้อเชิ้ต“กลับบ้านเดียไง” เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนตัวเล็ก จึงไม่เห็นว่าร่างบางมีสีหน้าอึ้งกับคำพูดของเขาแค่ไหน แต่เขาก็พอจะเดาได้ จึงหันกลับมาทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “ไปขอลูกสาวจากท่านทั้งสองไง” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าคนสูงวัยเขาไม่มีเวลามากพอจะจัดพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับอเมริกาแล้ว เขาอดใจรอที่จะบอกข่าวดีให้กับพ่อแม่ที่รออยู่ทางโน้นแทบไม่ไหว อายุจนปูนนี้แล้ว พึ่งจะรู้สึกอยากเลี้ยงลูก“ตอนนี้พี่อายุ 37 คงต้องรีบมีน้องอีกคนไวไวแล้วล่ะ เดี๋ยวแก่เกินจะเดินตามลูกไม่ทัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าร่างสูง แต่คนตัวเล็กกลับมีสีหน้าแดงก่ำกับคำพูดชวนทะลึ่ง“บะ บ้าเหรอคะ” นาเดียยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนร่างกายจะถูกโอบอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เจคอปถูไถใบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบา “ขอให้เป็นลูกสาวทีเถอะ”เจคอปค่อยๆวางคนตัวเล็กลงบนพื้นอย่างท
ย้อนกลับไปเมื่อราวสองเดือนก่อนหน้านี้…เจคอปรับสายจากทางไกล เป็นหมายเลขที่โทรมาจากอเมริกา“ครับป๊า”“ป๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจค ตอนนี้โรงพยาบาลที่อเมริกากำลังเกิดปัญหาอย่างหนัก ป๊าอยากให้ตาเจมส์หรือเจค เราคนใดคนหนึ่งกลับมาดูแลกิจการที่นี่ แต่ใจป๊าอยากให้ตาเจมส์เป็นคนกลับมา เพราะที่นี่ไม่ได้มีสาขามากมายเหมือนที่ประเทศไทย เจ้าคนเสเพลอย่างตาเจมส์คงจะจัดการได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” เรื่องสำคัญจากปากคนเป็นพ่อทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ อดนึกถึงน้องชายไม่ได้ จริงอย่างที่พ่อเขาว่า ที่ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใต้อาณัติของครอบครัวเขาอยู่ทั่วเกือบทุกจังหวัด ทำให้ปัญหาและภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายกว่าที่โน้นมากโข แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...“แล้วเรื่องงานหมั้นระหว่างหนูมินกับตาเจมส์ไปถึงไหนแล้ว ป๊าอยากให้หมั้นเช้าแล้วก็แต่งเย็นไปเลยทีเดียว ตอนตาเจมส์กลับมาจะได้พาหนูมินกลับมาด้วย ซินดี้เขาคิดถึงหนูมินน่าดู” ในที่สุดคำถามที่ผมกลัวคนเป็นพ่อจะถามก็หลุดออกมาจนได้ ทั้งๆที่งานหมั้นระหว่างตาเจมส์กับยัยมินควรจะเสร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคา
“อ๊ะ พะ... พี่เจค” ไม่ทันที่ร่างบางจะทันได้เอ่ยความใน ปากหนาก็ชิงประกบจาบจ้วงเอาทุกคำที่คิดว่าร่างบางจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมา นาเดียเบิกตามองเขาด้วยความตื่นตะลึง เขาหมายความว่าอะไร เขารู้แล้วเหรอว่าเธอท้อง แต่เขาจะรู้ได้ยังไง“อื้มมม อ่ะ...พะ... อื้มมม” ครั้นจะส่งเสียงอะไรก็ตามที่คิดอยากจะพูด เจคอปจะคอยส่งลิ้นเข้าหาเพื่อห้ามปรามเธอเสียทุกครั้งไป จนร่างบางหมดความพยายามที่จะเอ่ยถามข้อสงสัย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ มือเล็กที่เคยดันอยู่ตรงแผงอกเปลี่ยนไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องลูกของเขาทำให้นาเดียเกิดความหวังเล็กๆขึ้นในใจเจคอปหลับตาแน่นก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อได้ปลดปล่อยน้ำเชื้อพันธุ์ดีเข้าสู่ร่างกายคนตัวเล็กสมดังตั้งใจ เขาแช่ร่างกายค้างไว้ในตัวเธอ หวังให้ลูกๆนับพันล้านตัววิ่งเข้าไปหาไข่ใบเล็กๆเพียงใบเดียวที่อยู่ในร่างกาย เขาตั้งใจจะผูกมัดเธอด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ตั้งใจแล้ว“ถ้ามีเจคอปน้อยอยู่ในท้องเธอ เธอก็จะหนีพี่ไปไหนไม่ได้อีก” เขากระซิบความในใจแสนชั่วร้ายข้างใบหูคนตัวเล็ก และนั่นทำให้เธ
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่สะท้อนแต่เพียงความเจ็บปวด เขายังไม่ได้หลับ เขาแค่รอดูว่ายัยตัวเล็กกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของนาเดียหายไป เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะก็พบว่าข้าวของต่างๆของเธอหายไปด้วย เธอกำลังคิดจะไปจากเขาบางทีการที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอารมณ์ร้อนอย่างเขามันคงทำให้เธอมีแต่ความทุกข์ บางทีสิ่งที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดมันคงยังไม่ดีพอสำหรับเธอ บางทีความรักของเขามันคงไม่มีค่าพอจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้บางที... เขาคงต้องปล่อยเธอไปเสียทีหัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาพร่าเบลอเพราะเจ้าของดวงตามองมันผ่านม่านน้ำตาท้วมท้น นาเดียกวาดตามองไปรอบๆ คอนโดขนาดใหญ่ที่สร้างความทรงจำให้กับเธอมากมายทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา...หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง คล้ายจะเป็นการตัดใจจากผู้ชายอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะคาทิ้งไว้อย่างนั้นประตูบานเดียวกันนี้ที่เธอเคยเปิดมันออกเพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องที่ไม่เคยอยากจะทนอยู่แม้
กิจวัตรยามเช้าระหว่างนาเดียกับเจคอปยังคงดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแค่ไม่มีการสนทนาระหว่างทั้งคู่ไม่มีการเดินจับมือลงมาจากคอนโดไม่มีการจูบลาก่อนจะแยกกันไปทำงานไม่มีการส่งข้อความหาตลอดทั้งวันและไม่มีเธอหลงเหลืออยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของเจคอปดังขึ้น “เข้ามา”คำอนุญาตจากเจ้าของห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้าไปด้านใน เจมส์มาร์มองพี่ชายของตัวเองกำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เจคอปยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เขาแวะมาเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าผ่าตัดไม่มีผิด และสภาพของผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ ใบหน้าหมองเศร้าไม่ต่างกันเลย นี่คงจะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกสินะ“มีธุระอะไร” น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายมักจะใช้เวลามีเรื่องทุกข์ใจหรืออยากซ่อนความรู้สึก มีหรือที่คนเป็นน้องอย่างเขาจะดูไม่ออก“เมื่อวานพี่คุยกับนาเดียรึยังครับ” เจมส์มาร์เอ่ยถามโดยไม่เกรงใจ เขานั่งลงโดยไม่รอให้คนตรงหน้าอนุญาต อยู่กับเจคอปมาร่วม 30 ปี พึ่งจะเคยเห็นพี่ชายมีความรัก แล้วน้องชายอย่างเขาจะยอมให้มันพังทลายลงเพียงเพราะความเย็นชาของคนตรงหน้าได้อย่างไร“ไม่มีอะไรต