แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ไม่ได้เจอกันแค่สองวัน ชีวิตเขามันเงียบเหงาจนผิดปกติ รสชาติซาบซ่านที่ได้ร่วมเพศกับผู้หญิงคนอื่นไม่อาจเติมเต็มได้เหมือนที่เขาทำกับนาเดีย เขากลายเป็นคนใจลอย เอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์ ครั้นจะพิมพ์ข้อความส่งหาเธอ ก็ไม่รู้ว่าจะส่งไปว่าอะไร ในเมื่อเขาทำให้เธอเกลียดเขามากขนาดนี้ การที่เขาหายไปจากชีวิตมันก็คงทำให้เธอมีความสุขแล้ว ดูจากที่นาเดียเองก็ไม่เคยส่งข้อความหาเขาสักครั้ง เจคอปได้แต่ข่มความรู้สึกหวิวๆไว้ในใจ เขาไม่แน่ใจว่ามันใช่ 'ความคิดถึง' ไหม เพราะชีวิตนี้ก็ไม่เคยสัมผัสกับคำคำนี้มาก่อน ผ่านไปได้แค่สองวัน เขาก็ทนต่อไม่ไหวจนต้องหา 'ข้ออ้าง' บ้าๆอย่างการเอากำหนดการการประชุมมาให้ แม้จะรู้ว่ามันดูงี่เง่า แต่เขาก็จนปัญญาแล้ว เพียงแค่ได้มาเห็นหน้าเธอสักนิด เขาก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว
…ดีขึ้นแล้วจริงเหรอ? ไม่ เขาไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เขากลับยิ่งทรมานหนักกว่าเก่า ยิ่งได้เห็นหน้านาเดีย ได้อยู่ใกล้ชิด ได้กลิ่นกายหอมอ่อนๆที่คุ้นเคย เขายิ่งอยากกอดเธอ อยากจูบเธอ อยากสัมผัสร่างกายนุ่มนิ่มของเธอ แล้วทำไมเขาต้องทน?
เจคอปเสียเวลาคิดวกไปวนมา หาข้อสรุปให้กับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ รู้ตัวอีกทีสมองก็พาร่างกายมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของเธอแล้ว เขายืนอยู่พักใหญ่ ในมือถือกางเกงขาสั้นที่ผ่านการซักอบรีดมาแล้วอย่างดี มันเป็น 'ข้ออ้าง' อย่างสุดท้ายที่เขาจะใช้มันเพื่อมาพบหน้าเธอ
อาจารย์หมอรวบรวมความกล้า เคาะประตูห้อง ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของคนด้านในดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจของเขาสั่นไหว เม็ดเหงื่อซึมออกมาตามฝ่ามือ เขาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นอะไรขนาดนี้มาก่อน
แอ๊ดดด ประตูไม้ส่งเสียงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันกำลังถูกเปิด เจ้าของห้องโผล่หน้าออกมาพบกับแขกที่ไม่เคยอยู่ในความคาดเดา นาเดียตกตะลึง ทั้งที่เธออุตส่าห้ามใจไม่คิดถึงเขา แล้วนี่อะไร เขากลับมาให้เธอเห็นหน้าอีกครั้งหลังจากผ่านไปไม่ถึงห้าชั่วโมง
“ฉันเอากางเกงมาคืน” เจคอปยื่นกางเกงขาสั้นที่เตรียมมาให้กับร่างบาง อีกฝ่ายยื่นมือออกมารับด้วยความงวยงง เขาหนีหน้าเธอมาตั้งสองวัน แต่กลับมาเจอเธอด้วยเหตุผลที่ว่า 'เอาเอกสารมาให้' กับ 'เอากางเกงมาคืน' ทั้งๆที่ของพวกนี้ เขาจะทำเป็นไม่สนใจมันก็ได้
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคิดจะพูดอะไร รอบข้างตกอยู่ในความเงียบ
“งั้นฉันกลับละนะ” เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเฉยของนาเดีย เขาจึงตัดสินใจถอยกลับ ชายหนุ่มหันหลังเดินจากมา เขาไม่เหลือข้ออ้างจะมาเจอหน้าเธออีกแล้ว ได้แต่ยอมรับความจริงว่าในโลกใบนี้ยังมีผู้หญิงที่ไม่ต้องการเขาอยู่
“เดี๋ยวค่ะผ.อ.!” เสียงเรียกจากคนด้านหลังพร้อมกับแรงเหนี่ยวรั้งบนข้อมือ ตัวเขาถูกกระชากกลับเข้าไปในห้อง
นาเดียมองหน้าเจคอปนิ่ง ภายในห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเอง เธอยืนเหงื่อตกทำอะไรไม่ถูก อารามตกใจ กลัวว่าเจคอปจะเดินหนีกันไปจริงๆ จึงไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้กล้าดึงเขาเข้ามาในห้อง ปากเล็กขยับเขยื้อนหมายจะเอ่ยคำถามที่อัดแน่นอยู่ในใจ
‘ผ.อ.คิดยังไงกับหนูกันแน่คะ’
แม้ริมฝีปากจะขยับ แต่ทว่าสุ่มเสียงกลับแหบแห้งจนไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา หยดน้ำใสไหลออกมาเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง ร่างบางไม่ได้สั่นไหว ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่ได้ร้องไห้เพราะความเสียใจ แต่เป็นเพราะความอึดอัดภายในใจที่หาทางระบายไม่ได้
“ร้องไห้ทำไม ไม่อยากเห็นหน้าฉันขนาดนั้นเลยรึไง” มือใหญ่เอื้อมมาปาดน้ำตาที่ข้างแก้ม การกระทำของเขายิ่งส่งผลให้น้ำตาทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
“อย่ามาล้อเล่นนะ!” ไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากไหนมากมายขนาดนั้น แต่ว่าเธอก็ปัดมือเขาออกไปแล้ว
“...........”
“..........”
“..........!!!”
“ว๊ายยยย!” ร่างเล็กถูกเหวี่ยงลงบนเตียง เจคอปรีบตามขึ้นทาบทับ ออกแรงล็อคข้อมือทั้งสองข้างของนาเดียกดไว้กับเตียง ก่อนจะประกบปากจูบรุ่มร้อน รุนแรง
“อื้มม นาเดีย จ๊วบบ หึ่มม” เขายังไม่หยุดการกระทำจาบจ้วงแสนเอาแต่ใจ ไม่สนว่าคนใต้ร่างจะดีดดิ้นแค่ไหน รู้สึกเสียดายเวลาสองวันที่ปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ ไม่น่าเสียเวลาคิดมากเรื่องไร้สาระเลย จะหาคำนิยามให้กับความรู้สึกนี้ไปทำไม แค่ทำตามสัญชาตญาณก็พอ
เรียวปากร้ายกาจกวาดชิมไปทั่วใบหน้าและลำคอ ไล่ไต่ลงมาจนถึงเนินเนื้ออวบขาว สัมผัสอ่อนนุ่มแต่ทว่าหนักหน่วง นาเดียกัดริมฝีปากไว้แน่น รู้สึกถึงแรงขบดูดรุนแรงเป็นจุดๆทั่วทั้งหน้าอก อยากจะเอ่ยปากประท้วง แต่หากเผลอเปิดปากคงมีเพียงเสียงรัญจวนที่เปล่งออกมา
“คิดถึงนะ…”
เสียงบรรเลงบทเพลง Classic จากวง orchestra ชื่อดังระดับโลกกำลังประสานเสียงจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดขับกล่อมออกมาในบทเพลง 'Four Season'บทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะที่ฟังกี่ครั้งก็ยังคงตราตรึงหัวใจคนฟัง เหล่าบรรดาคนดังของประเทศอเมริกา ทั้งนายแบบนางแบบชื่อดัง ทั้งเหล่าคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดาไฮโซทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันมารวมตัว ณ Hall ขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่น และหนึ่งในบรรดาคนดังเหล่านั้น ก็รวมถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจคอป บดินพิทักษ์ นายแพทย์ชื่อดังที่พึ่งได้รับการยกย่องจากองกรค์แพทยสภาของอเมริกาให้เป็นนายแพทย์ผู้มากความสามารถซึ่งเป็นแกนนำหลักสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่ที่เขากลับมาดูแลกิจการต่อจากผู้เป็นบิดา เขาก็ค่อยๆขยายสาขาไปจนครอบคลุมทั่วทุกรัฐในอเมริกา ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฉายา'อาชาแห่งวงการแพทย์'ทั้งๆที่ได้รับเกียรติจากท่านคณะรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรงสำหรับตั๋วที่นั่งชั้นลอยระดับวีไอพี แต่แขกคนสำคัญคนดังกล่าวกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ที่ถูกจัดไว้ให้หลังม่านพลิ้วไหวบนชั้นลอยระดับวีไอพี ปรากฏร่างของชายหญิง
ตอนพิเศษเล็กๆเจคอปผละออกจากร่างบาง “แต่งตัวสิ”เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ดูเป็นทางการออกมาจากตู้เสื้อผ้า“จะไปไหนเหรอคะ” นาเดียเอ่ยถามด้วยความสงสัย มองแผ่นหลังที่กำลังยัดแขนลงไปในเสื้อเชิ้ต“กลับบ้านเดียไง” เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนตัวเล็ก จึงไม่เห็นว่าร่างบางมีสีหน้าอึ้งกับคำพูดของเขาแค่ไหน แต่เขาก็พอจะเดาได้ จึงหันกลับมาทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “ไปขอลูกสาวจากท่านทั้งสองไง” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าคนสูงวัยเขาไม่มีเวลามากพอจะจัดพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับอเมริกาแล้ว เขาอดใจรอที่จะบอกข่าวดีให้กับพ่อแม่ที่รออยู่ทางโน้นแทบไม่ไหว อายุจนปูนนี้แล้ว พึ่งจะรู้สึกอยากเลี้ยงลูก“ตอนนี้พี่อายุ 37 คงต้องรีบมีน้องอีกคนไวไวแล้วล่ะ เดี๋ยวแก่เกินจะเดินตามลูกไม่ทัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าร่างสูง แต่คนตัวเล็กกลับมีสีหน้าแดงก่ำกับคำพูดชวนทะลึ่ง“บะ บ้าเหรอคะ” นาเดียยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนร่างกายจะถูกโอบอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เจคอปถูไถใบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบา “ขอให้เป็นลูกสาวทีเถอะ”เจคอปค่อยๆวางคนตัวเล็กลงบนพื้นอย่างท
ย้อนกลับไปเมื่อราวสองเดือนก่อนหน้านี้…เจคอปรับสายจากทางไกล เป็นหมายเลขที่โทรมาจากอเมริกา“ครับป๊า”“ป๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจค ตอนนี้โรงพยาบาลที่อเมริกากำลังเกิดปัญหาอย่างหนัก ป๊าอยากให้ตาเจมส์หรือเจค เราคนใดคนหนึ่งกลับมาดูแลกิจการที่นี่ แต่ใจป๊าอยากให้ตาเจมส์เป็นคนกลับมา เพราะที่นี่ไม่ได้มีสาขามากมายเหมือนที่ประเทศไทย เจ้าคนเสเพลอย่างตาเจมส์คงจะจัดการได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” เรื่องสำคัญจากปากคนเป็นพ่อทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ อดนึกถึงน้องชายไม่ได้ จริงอย่างที่พ่อเขาว่า ที่ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใต้อาณัติของครอบครัวเขาอยู่ทั่วเกือบทุกจังหวัด ทำให้ปัญหาและภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายกว่าที่โน้นมากโข แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...“แล้วเรื่องงานหมั้นระหว่างหนูมินกับตาเจมส์ไปถึงไหนแล้ว ป๊าอยากให้หมั้นเช้าแล้วก็แต่งเย็นไปเลยทีเดียว ตอนตาเจมส์กลับมาจะได้พาหนูมินกลับมาด้วย ซินดี้เขาคิดถึงหนูมินน่าดู” ในที่สุดคำถามที่ผมกลัวคนเป็นพ่อจะถามก็หลุดออกมาจนได้ ทั้งๆที่งานหมั้นระหว่างตาเจมส์กับยัยมินควรจะเสร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคา
“อ๊ะ พะ... พี่เจค” ไม่ทันที่ร่างบางจะทันได้เอ่ยความใน ปากหนาก็ชิงประกบจาบจ้วงเอาทุกคำที่คิดว่าร่างบางจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมา นาเดียเบิกตามองเขาด้วยความตื่นตะลึง เขาหมายความว่าอะไร เขารู้แล้วเหรอว่าเธอท้อง แต่เขาจะรู้ได้ยังไง“อื้มมม อ่ะ...พะ... อื้มมม” ครั้นจะส่งเสียงอะไรก็ตามที่คิดอยากจะพูด เจคอปจะคอยส่งลิ้นเข้าหาเพื่อห้ามปรามเธอเสียทุกครั้งไป จนร่างบางหมดความพยายามที่จะเอ่ยถามข้อสงสัย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ มือเล็กที่เคยดันอยู่ตรงแผงอกเปลี่ยนไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องลูกของเขาทำให้นาเดียเกิดความหวังเล็กๆขึ้นในใจเจคอปหลับตาแน่นก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อได้ปลดปล่อยน้ำเชื้อพันธุ์ดีเข้าสู่ร่างกายคนตัวเล็กสมดังตั้งใจ เขาแช่ร่างกายค้างไว้ในตัวเธอ หวังให้ลูกๆนับพันล้านตัววิ่งเข้าไปหาไข่ใบเล็กๆเพียงใบเดียวที่อยู่ในร่างกาย เขาตั้งใจจะผูกมัดเธอด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ตั้งใจแล้ว“ถ้ามีเจคอปน้อยอยู่ในท้องเธอ เธอก็จะหนีพี่ไปไหนไม่ได้อีก” เขากระซิบความในใจแสนชั่วร้ายข้างใบหูคนตัวเล็ก และนั่นทำให้เธ
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่สะท้อนแต่เพียงความเจ็บปวด เขายังไม่ได้หลับ เขาแค่รอดูว่ายัยตัวเล็กกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของนาเดียหายไป เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะก็พบว่าข้าวของต่างๆของเธอหายไปด้วย เธอกำลังคิดจะไปจากเขาบางทีการที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอารมณ์ร้อนอย่างเขามันคงทำให้เธอมีแต่ความทุกข์ บางทีสิ่งที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดมันคงยังไม่ดีพอสำหรับเธอ บางทีความรักของเขามันคงไม่มีค่าพอจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้บางที... เขาคงต้องปล่อยเธอไปเสียทีหัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาพร่าเบลอเพราะเจ้าของดวงตามองมันผ่านม่านน้ำตาท้วมท้น นาเดียกวาดตามองไปรอบๆ คอนโดขนาดใหญ่ที่สร้างความทรงจำให้กับเธอมากมายทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา...หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง คล้ายจะเป็นการตัดใจจากผู้ชายอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะคาทิ้งไว้อย่างนั้นประตูบานเดียวกันนี้ที่เธอเคยเปิดมันออกเพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องที่ไม่เคยอยากจะทนอยู่แม้
กิจวัตรยามเช้าระหว่างนาเดียกับเจคอปยังคงดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแค่ไม่มีการสนทนาระหว่างทั้งคู่ไม่มีการเดินจับมือลงมาจากคอนโดไม่มีการจูบลาก่อนจะแยกกันไปทำงานไม่มีการส่งข้อความหาตลอดทั้งวันและไม่มีเธอหลงเหลืออยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของเจคอปดังขึ้น “เข้ามา”คำอนุญาตจากเจ้าของห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้าไปด้านใน เจมส์มาร์มองพี่ชายของตัวเองกำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เจคอปยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เขาแวะมาเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าผ่าตัดไม่มีผิด และสภาพของผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ ใบหน้าหมองเศร้าไม่ต่างกันเลย นี่คงจะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกสินะ“มีธุระอะไร” น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายมักจะใช้เวลามีเรื่องทุกข์ใจหรืออยากซ่อนความรู้สึก มีหรือที่คนเป็นน้องอย่างเขาจะดูไม่ออก“เมื่อวานพี่คุยกับนาเดียรึยังครับ” เจมส์มาร์เอ่ยถามโดยไม่เกรงใจ เขานั่งลงโดยไม่รอให้คนตรงหน้าอนุญาต อยู่กับเจคอปมาร่วม 30 ปี พึ่งจะเคยเห็นพี่ชายมีความรัก แล้วน้องชายอย่างเขาจะยอมให้มันพังทลายลงเพียงเพราะความเย็นชาของคนตรงหน้าได้อย่างไร“ไม่มีอะไรต