“คิดถึงนะ…”
คำพึมพำคล้ายละเมอจากปากเจคอปทำเอานาเดียเบิกตาโพลง ผงกศีรษะขึ้นมองศีรษะใหญ่ที่กำลังงุ่นง่านอยู่บนภูเขาลูกใหญ่ของเธอ ร่างบางเริ่มสั่นระริกอย่างเหลือทน ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดในสิ่งที่อึดอัดในใจ “อย่ามาล้อเล่นกับหนูนะ คิดถึงอะไรกัน อยู่ดีๆก็หายไป อยู่ดีๆก็ทิ้งกันไป ปล่อยหนูเดี๋ยวนี้นะ คนบ้า! คนใจร้าย!” นาเดียดิ้นพร่าน โวยวายออกมาจนหมดเปลือก เจคอปตะลึงค้าง เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนเอาใจยากเท่านาเดียมาก่อน ปกติแค่ยื่นเงินให้พวกหล่อนก็พอใจแล้ว แต่นี่เขาอุตส่าพูดดีด้วย อุตส่าพูดคำหวานที่สุดในชีวิตแล้ว แต่หล่อนก็ยังโวยวายใส่เขาอีก
“........” เขาลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่ตรงปลายเท้านาเดีย ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ คนตัวเล็กรีบถอยกรูไปนั่งชิดติดหัวเตียง ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่พลางจ้องหน้าเจคอปเขม็ง
“นึกจะหายไป ก็หายไปซะเฉยๆ นึกอยากจะมาก็มา ไม่เคยสนใจเลยว่าคนอื่นเขาจะรู้สึกยังไง!” นาเดียแผดเสียงกร้าว เมื่อได้พูดแล้ว เธอก็พูดทุกอย่างออกมาจนหมด
“..........”
“เมื่อไหร่จะเลิกเห็นหนูเป็นที่ระบายอารมณ์สักที หนูก็มีหัวใจนะ หนูก็มีความรู้สึก!”
ร่างใหญ่ตรงปรี่เข้าประชิดร่างเล็ก เท้าฝ่ามือลงบนผนังกักขังเธอไว้ในอ้อมแขน นาเดียตกใจจนถอยหลังติดฝา มองแววตาที่ไม่รู้ว่าจะสื่อความหมายอะไร ความกล้าพลันเหือดหายไปจนหมด
“เกลียดฉันรึเปล่า” เขาทำหน้าตาย เหมือนไม่สะทกสะท้านกับคำถาม มีเพียงคนถูกถามที่รู้สึกหงุดหงิดใจ เธอพล่ามบอกความรู้สึกออกไปขนาดนี้ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าเธอคิดยังไงกับเขา
“เปล่า” คำตอบของเธอไม่ได้ทำให้สีหน้าของคนตรงหน้าเปลี่ยนแปลง
“เธอชอบฉันเหรอ?” คำถามต่อมาทำให้นาเดียเหงื่อแตกพลั่ก เธอรู้สึกหน้าชาตัวชา ไม่หลงเหลือความกล้า นาเดียรู้สึกว่าตัวเองมือไม้เยอะแยะไปหมด ไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหนดี เจคอปเชยคางมนที่เอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองให้เงยหน้าขึ้นสบตา
“ตอบ!” เขาคาดคั้น ท่าทางยังคงเอาแต่ใจตัวเหมือนเดิม
“คือหนู... ชะ ชะ ชอบ...ค่ะ” ใบหน้านาเดียเห่อร้อนไปหมด เธอรีบก้มหน้างุดด้วยความอาย ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าตายด้านหรือยังไงถึงยังทำหน้าตาเฉยชาอยู่ได้ทั้งที่เธอกำลังสารภาพรักอยู่
เจคอปเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ จรดปลายจมูกที่ข้างแก้มร้อนผ่าว กระซิบถ้อยคำหนักแน่นที่ข้างใบหู “พูดช้าๆ ชัดๆ ดังๆด้วย!” สุ่มเสียงเผด็จการสุดฤทธิ์ บังคับให้คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากันขณะพูด นาเดียรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นไข้ ทั้งร่างกายและลมหายใจมีแต่ไอร้อน เมื่อถูกคาดคั้นอีกครั้ง เธอจึงต้องยอมปริปากคำสารภาพน่าอายออกไปอีกรอบ
“ชอบ หนูชอบผ.อ.ค่ะ อื้มม อ๊ะ ผ.อ.” สิ้นเสียงเธอก็ได้รับจูบแสนหวานแทนรางวัลของความใจกล้า เจคอปเลื่อนริมฝีปากมาคลอเคลียอยู่ข้างพวงแก้มแดง
“ชอบความซาดิสต์รึไง” คล้ายจะล้อเลียนคนตรงหน้า
“ปะ เปล่าค่ะ” นาเดียหายใจติดขัด สติเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย เพ่งความสนใจไปยังทุกสัดส่วนที่ฝ่ามือเขาลากผ่าน
“แล้วเธอชอบฉันตรงไหน” มือหนาลูบไล้อ้อยอิ่งอยู่บนสะโพกกลม บีบขย้ำเนื้อแน่นเบามือ กระตุ้นอารมณ์คนตัวเล็กจนสติกระเจิง
“อื้อ ชอบที่ผ.อ.อ่อนโยนกับหนู ซี๊ดด อย่าแกล้งงง” นาเดียผวากอดรัดรอบคอแกร่งไว้แน่น เขาสอดนิ้วเข้าไปในชั้นในตัวน้อยและทิ่มแทงปลายนิ้วจ่ออยู่ตรงปากรูชุ่มฉ่ำ แต่ไม่ยอมดันมันเข้าไป
“แล้วถ้าฉันใจร้ายล่ะ?” คราวนี้เขาเลื่อนริมฝีปากมาขบเม้มที่ลำคอ เขารู้ไปหมดทุกจุดว่าต้องกระตุ้นตรงไหนนาเดียถึงจะมีอารมณ์
“อ๊าาาส์ ก็ยังชอบ อ๊ะ!!” เขาให้รางวัลคนกล้าหาญด้วยการดันนิ้วเข้าไปจนสุด ก่อนจะหมุนวนคว้านสะเปะสะปะไปทั้งช่องแคบ นาเดียซบใบหน้าลงบนบ่าอย่างหมดแรง อกใหญ่กระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงตามการหายใจหอบถี่ของร่างกาย
คำตอบของนาเดียทำให้เจคอปอบอุ่นในใจอย่างน่าประหลาด หัวใจที่เคยมีเพียงโลหิตเย็นเยือกไหลผ่าน บัดนี้ได้รับความรู้สึกใหม่ที่ช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้โลหิตในร่างกายอุ่นขึ้น ละลายน้ำแข็งที่เคยเกาะกุมหัวใจไปจนหมดสิ้น
“ไม่เจอกันสองวัน คิดถึงฉันบ้างไหม” มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอยากได้รับจากใครมาก่อน
“อ๊ะ คิดถึงที่สุด ผ.อ.ซี๊ดดด” ร่างบางดิ้นพร่าน เธอต้องการมากกว่านิ้ว ต้องการอะไรที่อ่อนนุ่มแต่ทว่าแข็งแรง ดุดันแต่ทว่านุ่มนวล มือเล็กเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดเขาออก แต่มือเล็กกลับถูกมือหนาหยุดการกระทำจาบจ้วง จนเธอต้องเงยหน้าขึ้นมองสบตา
“นาเดีย ถ้าฉันไม่มีข้ออ้างจะรั้งเธอไว้อีกแล้ว เธอจะยังอยู่กับฉันไหม?”
“.......”
หัวใจดวงน้อยบีบตัว สร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่มันเป็นความเจ็บปวดที่เธอพอใจ หญิงสาวน้ำตาคลอเบ้า โผเข้ากอดร่างใหญ่เอาไว้แน่น เจคอปรู้สึกถึงแรงสั่นไหวจากการพยักหน้าหยุกหยิกอยู่ตรงหน้าอก ปรากฏรอยยิ้มอย่างที่นาเดียเคยอยากจะได้เห็นขึ้นบนใบหน้าเฉยชาของเขา ไม่รอช้า คุณหมอรุ่นใหญ่ผลักร่างบอบบางเอนนอนลงกับเตียง ก่อนจะทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก จ้องมองเรือนร่างอรชรที่แสนคิดถึง
“อาจจะรุนแรงหน่อยนะ”
“อ๊ะ!!!! อ๊าาา ผ.อ.... อ๊าาาาาา!”
เสียงบรรเลงบทเพลง Classic จากวง orchestra ชื่อดังระดับโลกกำลังประสานเสียงจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดขับกล่อมออกมาในบทเพลง 'Four Season'บทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะที่ฟังกี่ครั้งก็ยังคงตราตรึงหัวใจคนฟัง เหล่าบรรดาคนดังของประเทศอเมริกา ทั้งนายแบบนางแบบชื่อดัง ทั้งเหล่าคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดาไฮโซทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันมารวมตัว ณ Hall ขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่น และหนึ่งในบรรดาคนดังเหล่านั้น ก็รวมถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจคอป บดินพิทักษ์ นายแพทย์ชื่อดังที่พึ่งได้รับการยกย่องจากองกรค์แพทยสภาของอเมริกาให้เป็นนายแพทย์ผู้มากความสามารถซึ่งเป็นแกนนำหลักสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่ที่เขากลับมาดูแลกิจการต่อจากผู้เป็นบิดา เขาก็ค่อยๆขยายสาขาไปจนครอบคลุมทั่วทุกรัฐในอเมริกา ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฉายา'อาชาแห่งวงการแพทย์'ทั้งๆที่ได้รับเกียรติจากท่านคณะรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรงสำหรับตั๋วที่นั่งชั้นลอยระดับวีไอพี แต่แขกคนสำคัญคนดังกล่าวกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ที่ถูกจัดไว้ให้หลังม่านพลิ้วไหวบนชั้นลอยระดับวีไอพี ปรากฏร่างของชายหญิง
ตอนพิเศษเล็กๆเจคอปผละออกจากร่างบาง “แต่งตัวสิ”เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ดูเป็นทางการออกมาจากตู้เสื้อผ้า“จะไปไหนเหรอคะ” นาเดียเอ่ยถามด้วยความสงสัย มองแผ่นหลังที่กำลังยัดแขนลงไปในเสื้อเชิ้ต“กลับบ้านเดียไง” เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนตัวเล็ก จึงไม่เห็นว่าร่างบางมีสีหน้าอึ้งกับคำพูดของเขาแค่ไหน แต่เขาก็พอจะเดาได้ จึงหันกลับมาทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “ไปขอลูกสาวจากท่านทั้งสองไง” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าคนสูงวัยเขาไม่มีเวลามากพอจะจัดพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับอเมริกาแล้ว เขาอดใจรอที่จะบอกข่าวดีให้กับพ่อแม่ที่รออยู่ทางโน้นแทบไม่ไหว อายุจนปูนนี้แล้ว พึ่งจะรู้สึกอยากเลี้ยงลูก“ตอนนี้พี่อายุ 37 คงต้องรีบมีน้องอีกคนไวไวแล้วล่ะ เดี๋ยวแก่เกินจะเดินตามลูกไม่ทัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าร่างสูง แต่คนตัวเล็กกลับมีสีหน้าแดงก่ำกับคำพูดชวนทะลึ่ง“บะ บ้าเหรอคะ” นาเดียยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนร่างกายจะถูกโอบอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เจคอปถูไถใบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบา “ขอให้เป็นลูกสาวทีเถอะ”เจคอปค่อยๆวางคนตัวเล็กลงบนพื้นอย่างท
ย้อนกลับไปเมื่อราวสองเดือนก่อนหน้านี้…เจคอปรับสายจากทางไกล เป็นหมายเลขที่โทรมาจากอเมริกา“ครับป๊า”“ป๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจค ตอนนี้โรงพยาบาลที่อเมริกากำลังเกิดปัญหาอย่างหนัก ป๊าอยากให้ตาเจมส์หรือเจค เราคนใดคนหนึ่งกลับมาดูแลกิจการที่นี่ แต่ใจป๊าอยากให้ตาเจมส์เป็นคนกลับมา เพราะที่นี่ไม่ได้มีสาขามากมายเหมือนที่ประเทศไทย เจ้าคนเสเพลอย่างตาเจมส์คงจะจัดการได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” เรื่องสำคัญจากปากคนเป็นพ่อทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ อดนึกถึงน้องชายไม่ได้ จริงอย่างที่พ่อเขาว่า ที่ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใต้อาณัติของครอบครัวเขาอยู่ทั่วเกือบทุกจังหวัด ทำให้ปัญหาและภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายกว่าที่โน้นมากโข แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...“แล้วเรื่องงานหมั้นระหว่างหนูมินกับตาเจมส์ไปถึงไหนแล้ว ป๊าอยากให้หมั้นเช้าแล้วก็แต่งเย็นไปเลยทีเดียว ตอนตาเจมส์กลับมาจะได้พาหนูมินกลับมาด้วย ซินดี้เขาคิดถึงหนูมินน่าดู” ในที่สุดคำถามที่ผมกลัวคนเป็นพ่อจะถามก็หลุดออกมาจนได้ ทั้งๆที่งานหมั้นระหว่างตาเจมส์กับยัยมินควรจะเสร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคา
“อ๊ะ พะ... พี่เจค” ไม่ทันที่ร่างบางจะทันได้เอ่ยความใน ปากหนาก็ชิงประกบจาบจ้วงเอาทุกคำที่คิดว่าร่างบางจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมา นาเดียเบิกตามองเขาด้วยความตื่นตะลึง เขาหมายความว่าอะไร เขารู้แล้วเหรอว่าเธอท้อง แต่เขาจะรู้ได้ยังไง“อื้มมม อ่ะ...พะ... อื้มมม” ครั้นจะส่งเสียงอะไรก็ตามที่คิดอยากจะพูด เจคอปจะคอยส่งลิ้นเข้าหาเพื่อห้ามปรามเธอเสียทุกครั้งไป จนร่างบางหมดความพยายามที่จะเอ่ยถามข้อสงสัย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ มือเล็กที่เคยดันอยู่ตรงแผงอกเปลี่ยนไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องลูกของเขาทำให้นาเดียเกิดความหวังเล็กๆขึ้นในใจเจคอปหลับตาแน่นก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อได้ปลดปล่อยน้ำเชื้อพันธุ์ดีเข้าสู่ร่างกายคนตัวเล็กสมดังตั้งใจ เขาแช่ร่างกายค้างไว้ในตัวเธอ หวังให้ลูกๆนับพันล้านตัววิ่งเข้าไปหาไข่ใบเล็กๆเพียงใบเดียวที่อยู่ในร่างกาย เขาตั้งใจจะผูกมัดเธอด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ตั้งใจแล้ว“ถ้ามีเจคอปน้อยอยู่ในท้องเธอ เธอก็จะหนีพี่ไปไหนไม่ได้อีก” เขากระซิบความในใจแสนชั่วร้ายข้างใบหูคนตัวเล็ก และนั่นทำให้เธ
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่สะท้อนแต่เพียงความเจ็บปวด เขายังไม่ได้หลับ เขาแค่รอดูว่ายัยตัวเล็กกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของนาเดียหายไป เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะก็พบว่าข้าวของต่างๆของเธอหายไปด้วย เธอกำลังคิดจะไปจากเขาบางทีการที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอารมณ์ร้อนอย่างเขามันคงทำให้เธอมีแต่ความทุกข์ บางทีสิ่งที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดมันคงยังไม่ดีพอสำหรับเธอ บางทีความรักของเขามันคงไม่มีค่าพอจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้บางที... เขาคงต้องปล่อยเธอไปเสียทีหัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาพร่าเบลอเพราะเจ้าของดวงตามองมันผ่านม่านน้ำตาท้วมท้น นาเดียกวาดตามองไปรอบๆ คอนโดขนาดใหญ่ที่สร้างความทรงจำให้กับเธอมากมายทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา...หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง คล้ายจะเป็นการตัดใจจากผู้ชายอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะคาทิ้งไว้อย่างนั้นประตูบานเดียวกันนี้ที่เธอเคยเปิดมันออกเพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องที่ไม่เคยอยากจะทนอยู่แม้
กิจวัตรยามเช้าระหว่างนาเดียกับเจคอปยังคงดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแค่ไม่มีการสนทนาระหว่างทั้งคู่ไม่มีการเดินจับมือลงมาจากคอนโดไม่มีการจูบลาก่อนจะแยกกันไปทำงานไม่มีการส่งข้อความหาตลอดทั้งวันและไม่มีเธอหลงเหลืออยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของเจคอปดังขึ้น “เข้ามา”คำอนุญาตจากเจ้าของห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้าไปด้านใน เจมส์มาร์มองพี่ชายของตัวเองกำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เจคอปยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เขาแวะมาเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าผ่าตัดไม่มีผิด และสภาพของผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ ใบหน้าหมองเศร้าไม่ต่างกันเลย นี่คงจะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกสินะ“มีธุระอะไร” น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายมักจะใช้เวลามีเรื่องทุกข์ใจหรืออยากซ่อนความรู้สึก มีหรือที่คนเป็นน้องอย่างเขาจะดูไม่ออก“เมื่อวานพี่คุยกับนาเดียรึยังครับ” เจมส์มาร์เอ่ยถามโดยไม่เกรงใจ เขานั่งลงโดยไม่รอให้คนตรงหน้าอนุญาต อยู่กับเจคอปมาร่วม 30 ปี พึ่งจะเคยเห็นพี่ชายมีความรัก แล้วน้องชายอย่างเขาจะยอมให้มันพังทลายลงเพียงเพราะความเย็นชาของคนตรงหน้าได้อย่างไร“ไม่มีอะไรต