นางซอยเท้าเล็กน้อยก็เข้ามาจับชายผ้าตรงแขนเสื้อของเว่ยหยางแล้วกระตุกยิกยิก เอ่ยปากอีกว่า “ท่านไม่รู้อันใด หากข้าเปลื้องผ้า จะเห็นว่ามันเริ่มนูนออกมาแล้ว”นับเป็นประโยคสนทนาอันเปิดเผยเฉกเช่นสามีภรรยาโดยแท้ ทั้งสองต่างมั่นใจในตัวอีกฝ่ายโดยมิได้นัดหมายและไม่รู้ตัว ทว่าบุรุษย่อมเป็นสุภาพชน สิ่งใดยังไม่ถึงเวลาเขาย่อมรอได้เว่ยหยางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ร่างกายพร้อมรับสิ่งแปลกปลอมแข็งร้อนเข้าสู่กลีบบุปผาอุ่นนุ่มแล้วหรือไร?”จบประโยคเขา เพ่ยหลิงจึงอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบๆนางไม่เข้าใจ...และทั้งๆ ที่เป็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันแดงก่ำไปทั้งแถบแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กสาวถึงกับเม้มปากแน่น ร้อนวาบไปทั้งร่าง ใจเต้นกระตุกผิดไปหนึ่งจังหวะเมื่อเห็นแน่งน้อยมีอาการเช่นนั้น เว่ยหยางพลันรู้สึกตัวเขาเอ่ยสิ่งใดออกไป...มีสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มแอบยอมรับอยู่ในใจลึกๆ ว่าประโยคเมื่อครู่ เขาเพียรเน้นย้ำกับตนเองต่างหากแต่กระนั้น เขาย่อมไม่เอ่ยปากยอมรับออกไปทั้งสองคนยืนจ้องหน้ากันนิ่งงัน ผ่านไปชั่วครู่เว่ยหยางก็เอ่ยเสียงเด็ดขาดว่า “เจ้าไปคนเดียวเถิด อย่ายุ่งกับข้า”เพ่ยหลิงได้ยินเช่นนั้นก็เบิ
เพ่ยหลิงตัดสินใจเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะปกป้องคุ้มครองเว่ยหยาง เพราะเขาคือหยางเสริมหยินของนางไม่รู้ทำไมเด็กสาวถึงได้มั่นใจเหลือเกินแต่มีคำหนึ่งซึ่งนางคิดว่าไม่ผิดและพอจะอธิบายได้ไม่พลาด คือคำว่าบุบเพวาสนาก็เหมือนกันท่านตาและท่านยาย ที่แม้จะอยู่คนละภพ ยังอุตส่าห์มาบรรจบพบพานกันได้ บิดามารดาก็เช่นกัน คลาดกันก็หลายครั้ง ท้ายที่สุดก็บังเอิญมาแต่งงานกันอยู่ดีตัวนางและเว่ยหยางก็เช่นนี้ ความบังเอิญมักอยู่บนเส้นชะตาแห่งฟ้าลิขิตนรกบัญญัติเอาไว้เสมอคนควรเจอย่อมต้องเจอมิอาจหลีกเลี่ยงทว่า...การเจอกันแบบผิดพลาดย่อมต้องรับผิดชอบ เพ่ยหลิงจึงเป็นสาวใช้ตัวน้อยคอยปรนนิบัติเว่ยหยางทุกย่างก้าว เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดก็ซักให้จนขาดวิ่น เตียงไม้ไผ่ยังแย่งนอนจนเต็มอิ่ม อาหารทุกอย่างยังหามาให้จนเต็มบ้าน โดยไม่ถามสักคำว่าอยากกินหรือไม่เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่นางไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดยามหลับใหลถึงได้รู้สึกถึงรสสัมผัสแปลกประหลาด ที่แสนจะคุ้นชินอย่างมาก คล้ายกับเคยทำมาแล้วแต่ชาติปางก่อนและนางก็ชมชอบอย่างยิ่งยามอาทิตย์สาดส่อง แสงแดดเสียดแทงหมู่เมฆา ตกกระทบยอดไม้ทะลุถึงพื้นดิน“คุณชายเว่ย! ท่านร้อนแล้ว ตรงนี้แด
เป็นที่แน่นอนว่านอนหลับทั้งวันย่อมไม่มีอะไรตกถึงท้อง แม่นางน้อยที่ถูกบังคับให้นอนหลับต่อจึงเริ่มมีอาการประท้วง แม้อยู่ในห้วงฝันนางทั้งเลียทั้งขบเม้มไปตามสันกรามลามมาถึงใบหน้า ครู่ใหญ่ก็ยังดูดอยู่ ลากไล้ซ้ายขวาแล้วกัดริมฝีปากเขา“อ่า...” เว่ยหยางถึงกับครางออกมาเบาๆเจ้าตัวเล็กช่างนอนดิ้นได้ร้ายกาจยิ่งนักชายหนุ่มนึกตำหนิในใจ แต่กระนั้นกลับนอนนิ่งๆ ไม่มีขยับเพื่อให้อีกฝ่ายได้หลับอย่างสบายต่อไป ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความคิดที่จะปลุกนางเพ่ยหลิงยามนี้มิรู้ได้ว่ากำลังฝันถึงสิ่งใด นางทั้งเลียทั้งดูดและขบกัดอย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยให้อีกคนนอนครางอยู่หลายทีนอกจากไม่นอนให้ดีๆ ฝ่ามือยังซุกซนขั้นสุด เด็กสาวเลื่อนปลายนิ้วไปทั่วลำตัวของชายหนุ่ม แล้วหยุดอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าเอวเขา ลูบไล้นวดคลึงไปมาเบาๆ อยู่ตรงท้องน้อย จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในกางเกงผ้าเนื้อบางแล้วกอบกุมสิ่งหนึ่งขึ้นมาเว่ยหยางถึงกับกะพริบตาฝ่าความมืดสลัวลำตัวแข็งเกร็ง อึดใจยังต้องขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นนูนหลังจากแม่นางน้อยชะงักไปชั่วอึดใจ ประหนึ่งรู้สึกได้ว่ากอบกุมแท่งปริศนาอยู่ ครู่หนึ่งจึงเริ่มขยับยุกยิกอย่างใคร่รู้มือน้อยๆ ของเพ่ยหลิงกำแ
ยามที่เพ่ยหลิงตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดแล้ว นางรู้สึกตัวตื่นเพราะไอความร้อนจากร่างของเว่ยหยาง ทั้งได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งผสมกับกลิ่นสาบเหล้าเคล้าในบรรยากาศ นัยน์ตาของดรุณีเบิกกว้าง เมื่อเห็นบาดแผลเต็มเนื้อตัวอีกฝ่าย“เกิดสิ่งใดขึ้น?”เพ่ยหลิงอุทานอย่างตกใจ ก่อนเอื้อมมือลูบคลำบาดแผลเหล่านั้น ผิวเนียนที่เริ่มหยาบกร้านและคล้ำแดด มีริ้วรอยคมดาบ คมแฉกอาวุธลับ และมีเลือดซึม“เกิดสิ่งใดขึ้นกับท่าน ทำไมบาดเจ็บเช่นนี้”เส้นเสียงตระหนกเอ่ยถามซ้ำๆ พยายามปล่อยพลังเข้ารักษาอย่างแตกตื่น “นอนเถิด อย่าวุ่นวาย” เสียงทุ้มพึมพำออกมาแม้ว่ายังหลับตาอยู่“ได้อย่างไร ท่านบาดเจ็บนะ”“...”“ท่าน...ทำไม?” “...”เมื่ออีกฝ่ายยังคงรบกวนการหลับ ทั้งโวยวายและไล้นิ้วปัดป่ายไปทั่ว จึงเอื้อมมือขึ้นมารั้งร่างเล็กให้นอนลงดังเดิม กดศีรษะน้อยๆ เข้ากับแผงอก เอ่ยเสียงต่ำว่า“ข้าเหนื่อยมาก ต้องการพักผ่อน”“แต่ว่า...”“ไม่มีแต่”อีกครั้งที่เพ่ยหลิงให้รู้สึกผิดต่อเว่ยหยาง เหตุเพราะนางกินอิ่มแล้วนอนหลับสนิทจนเกินไป จึงละเลยอีกฝ่ายเช่นนี้“ข้าขอโทษ” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบาอยู่ข้างกายร่างใหญ่เว่ยหยางเพียงอืมในลำคอเบาๆ แล้วพลิกตั
หากเทียบคุณหนูตระกูลใหญ่บ้านอื่น อายุสิบสามปี เช่นนี้ล้วนต้องแตกฉานในเรื่องราวหลากหลายประการ โดยเฉพาะจริตมารยาและการวางตัวต่อหน้าบุรุษทว่ามิใช่กับเพ่ยหลิง นางเป็นเทพปีศาจตัวน้อยที่ถูกพี่ๆ ทั้งสิบเอ็ดคนประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในหิน ยิ่งบิดามารดาออกท่องเที่ยวด้วยไว้วางใจบุตรทุกคนให้ดูแลน้องเล็ก เพ่ยหลิงจึงถูกพี่ๆ ทุกคนเอาใจแบบผิดๆ หากน้องน้อยอยากกินย่อมได้กิน คิดจะนอนย่อมได้นอน เรื่องเล่าเรียนเขียนกลอนหรือมารยาหญิงอันแสนน่าเบื่อ ยิ่งไม่ต้องร่ำเรียนให้เหนื่อยหนัก จารีตประเพณีหรือบัญญัติสตรียิ่งไม่ต้องไปเน้นให้มากจนเกินไปนัก น้องเล็กอยากทำอันใด ย่อมทำได้เลย กินและนอนให้สบายเป็นพอเมื่อเป็นเช่นนั้น เด็กสาวผู้หนึ่งจึงไม่รู้จักโตเสียที แต่ทว่าอายุเท่านี้ก็พร้อมแล้วที่จะมีคู่หมั้นคู่หมายผสานหยินหยางเมื่อกินอิ่ม นัยน์ตาก็เริ่มหรี่ปรือ จึงเริ่มปีนป่ายอย่างซุกซนอีกครั้ง ยิ่งได้ตักอุ่นหนุนนั่งเช่นนี้ เพ่ยหลิงก็ง่วงงุนอีกแล้ว สาวน้อยซุกศีรษะกับต้นคอของชายหนุ่ม เห็นลูกกระเดือกตรงลำคอแกร่งยังเผลอเหม่อมอง ยิ่งสันกรามคมสันยิ่งตาลอยลึกล้ำ ฝ่ามือล้วงเข้าไปในสาบเสื้อควานหาเนื้อร้อนผะผ่าว เพื่อไล้สัมผัสจ
รุ่งอรุณมาเยือนม่านหมอกเย็นฉ่ำโอบล้อมชายหญิงอันที่จริง เว่ยหยางมีบ้านมุงหญ้าฟางไผ่สานอยู่กลางป่า ทว่าไม่คิดจะกลับไป เพราะใครบางคนยังคงนอนหลับอย่างสบายอยู่บนตัวเขา เขาจึงปล่อยไปเช่นนั้นด้วยไม่อาจขยับกายชายหนุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ริมลำธารตั้งแต่เมื่อคืนจวบจนรุ่งเช้า เขาปล่อยให้เจ้าตัวเล็กหอมกรุ่นขดตัวซุกซบอยู่เช่นนั้น นางเป็นเด็กที่เอาแต่ใจยิ่งนัก ซุกซนเป็นอย่างมาก นอนดิ้นทั้งคืน ทั้งปัดป่ายมือนุ่มไปทั่วตัวเขา ทั้งล้วงเข้าไปในสาบเสื้อไม่มีเกรงใจยังไม่นับรวมกับละเมอกินขนมแล้วไล้เลียกินทุกส่วนบนใบหน้าของเขาทั้งคืนนอกจากเว่ยหยางไม่มีทางหลับได้ลง เขายังตื่นผงาดจนปวดหนึบ คล้ายร่างกายใกล้ปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆเด็กสาวบนตักคือปีศาจน้อยจอมยั่วยวนโดยแท้ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เพ่ยหลินจึงค่อยๆ ลืมตางัวเงียแล้วตื่นขึ้นมา สองตาเห็นใบหน้าหล่อเหลาใกล้ๆ เห็นเขามองมาด้วยสายตาร้อนแรง ใบหูแดงก่ำ นางมุ่นคิ้วสงสัยเขาหิวแล้วหรือไร?เรื่องกินนับว่าสำคัญยิ่งนักสำหรับมนุษย์ ยิ่งไม่เว้นกับเพ่ยหลิง อาการหายใจร้อนระอุของชายตรงหน้าคล้ายหิวกระหายเช่นนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้“ข้าจะไปหาอาหารมาให้คุณชายนะเจ้าคะ”เด็กสาวกล