“คุณชาย ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายอีกทั้งยังไปมาลำบาก หากคนที่ตามหาท่าน ต้องการตามตัวเห็นทีจะหาไม่พบ เหมาะแก่การเร้นกายรอให้พวกที่ไล่ล่า เลิกสนใจเสียก่อนจึงดีไม่น้อย”
“อาวุโสไม่กลัวว่าข้าเป็นคนไม่ดีหรือไร”
“ดีหรือไม่ข้าเจี้ยนหยาหาสนใจไม่ทุกวันนี้เราสองคนแม่ลูกก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครโลกภายนอกวุ่นวายวกวน ผู้คนล้วนสวมหน้ากากเข้าหากัน หากว่าท่าน ในตอนนี้ แม้แต่ชื่อตัวยังจำไม่ได้ มิสู้เร้นกายให้หายดีแล้วค่อยจากไป”
“ข้า ไม่อยากรบกวนอาวุโสกับซูเหยาการกินอยู่ที่นี่ลำบากท่านทั้งสองยังต้องคอย ทำเผื่อข้า”เจี้ยนหยายิ้ม
“ซูเหยาตั้งแต่เกิดก็อยู่ในเรือนแพตลอดมา แทบจะไม่เคยข้องแวะกลับใครนางจึงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนข้างนอก”
“อาวุโส ข้าตั้งจว่าหากบาดแผลหายดีจะกลับไปบนฝั่งเพื่อไปรื้อฟื้นความจำของตัวเอง”
“ข้ากับซุเหยาคงเหงาไม่น้อย คุณชายอยู่ที่นี่เรือนแพจึงมีชีวิตชีวา”ซีซวนรู้สึกใจหายไม่น้อยแต่หากอยู่ที่นี่นานไปเกรงว่า เขาอาจเผลอทำลายซูเหยาโดยไม่รู้ตัว สาวน้อยสดใสเช่นซูเหยา มีบางอย่างที่ซีซวนแม้จะไร้ความทรงจำแต่เขากลับรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับเด็กสาวผู้บริสุทธิ์คนนี้แม้แต่น้อย แต่จะเป็นด้วยอะไรซีซวนไม่อาจทราบได้รู้แต่เพียงว่าซูเหยานางผุดผ่องเกินไปสำหรับเขา
“พี่ชายข้าวต้มปลา”ซีซวน หยุดความคิดของตัวเองไว้แค่นั้นหันหน้าไปมองซูเหยาที่ แต่งกายในแบบของบุรุษ
“ไปเก็บฟืนกัน ข้าอาสาถ่อเรือให้เอง”
“เจ้าร่างเล็กบอบบาง จะเอาเรี่ยวแรงจากไหน”ใบหน้าหวานยิ้มกว้าง
“ใครบอกท่านกันเห็นไหม ใครกันช่วยท่านลากท่านมาจากในป่าจนมาถึงนี่เพียงลำพังไร้คนช่วยเหลือ”
“ยกให้เจ้าเลยจริงๆ ลุกขึ้นยืนดึงเรือที่ผูกไว้กับแพมาใกล้ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงไปนั่งหัวเรือส่งมือให้ซูเหยา
“ไม่ต้องข้าลงไปเองได้ กระโดดลงไปในเรือแต่กลับร่วงลงไปบนตักของซีซวน ที่คว้าเอวบางไว้แน่นซูเหยานั่งบนตักพอเหมาะพอเจาะ
“ตั้งใจยั่วยวนข้าหรือไร”
“ใครบอกท่านกัน”สะบัดตัวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อยกไม้ไผ่สำหรับค้ำถ่อซีซวนแกะเชือกปล่อยเรือล่องลอยออกจากแพไม้ไผ่ สายน้ำไหลเอื่อยๆ ซูเหยาเพียงแค่ประคองเรือให้ไปตามทางที่ต้องการ ซีซวนมองทิวทัศน์สวยงามแปลกตาของแม่น้ำใหญ่ที่กว้างสุดลูกหูลูกตารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด สถานที่เหล่านี้แปลกตาล้วนไม่เคยพานพบ
“พี่ชายข้าวต้มปลารู้ไหมข้าว่ายน้ำเป็นตั้งแต่จำความได้ตกปลาเป็นตั้งแต่สองขวบ แล้วก็..”
“แล้วก็...พูดมากตั้งแต่กี่ขวบ”ซีซวนรู้สึกว่า ซูเหยาน่าแกล้ง
“ท่านพี่ข้าวต้ม ปลาชอบล้อข้าเล่น”
“ข้ากับท่านแม่ ไม่เคยมีแขกมาก่อน วันๆ พูดคุยกันเองท่านมาข้าจึง มีเรื่องอยากถามมากหน่อย”
“ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะถามอะไรเพียงแต่เล่าเรื่องของเจ้าทั้งวัน”
“ท่านแม่บอกข้าว่าหากเราต้องการรู้จักใครก็ต้องให้เขารู้จักเราก่อนเพื่อแสดงความจริงใจ ข้าอยากให้ท่านเล่าเรื่องข้างนอกให้ฟังบ้าง ก็เลยเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟังอย่างไรเล่า”
“เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่าข้า..ความทรงจำข้าหายไปจะมีเรื่องอะไรที่ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเล่า”
“ข้าได้ยินท่านพูดกับท่านแม่เมื่อเช้าเรื่องที่ท่านจะจากไป ท่านพี่ข้าวต้มปลาหากจะไปจากเรือนแพขอซูเหยาไปกับท่านด้วยจะได้ไหม”ซีซวนส่ายหน้าในทันที
“เจ้าไม่เหมาะกับข้างนอกนั่น”ซูเหยาทำหน้าเง้า
“ท่านแม่เคยสัญญากับข้าว่าหากมีใครสักคนที่ไว้ใจได้ท่านแม่ยินยอมให้ข้า ออกไปข้างนอกกับเขา”
“เจ้าไว้ใจข้าหรือคิดว่าไว้ใจข้าได้หรือ”กลืนน้ำลายลงคอยากเย็น ซูเหยายิ้มกว้างเปิดเผย
“ได้สิพี่ข้าวต้มปลาเป็นคนที่ใจดีที่สุดเท่าทีข้าเคยพบมาทีเดียวคนข้างนอกไม่ว่าจะที่ตลาดพวกพ่อค้าแม่ค้าล้วนใจร้ายจ้องเอาเปรียบกดราคา ปลาแห้งของเราบ่อยๆ ท่านแม่มักจะพูดเสมอว่า ยอมเขาไปก่อน หากว่าไม่ทำให้เราเดือดร้อนมากนัก”
“เจ้ากับอาวุโสเป็นคนดี คนพวกนั้นล้วนไม่ซื่อตรง”
“นั่นอย่างไรเล่า ข้าถึงต้องไปกับพี่ชายข้าวต้มปลา ข้าแค่อยากออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างก็เท่านั้นท่านแม่ แต่เดิมไม่เคยอนุญาตจะไปไกลสุดก็แค่ตลาดไม่เคยได้ไปไกลกว่านั้น”
“ข้าไม่รับปากจนกว่าอาวุโส จะเอ่ยปากอนุญาต”ละมือจากไม้ไผ่ กระโดดเข้ากอดซีซวนไว้แน่น ดีใจเหมือนกับว่าซีซวนตอบตกลงไปแล้ว ซีซวนยิ้มนึกขำท่าที เดียงสาของซูเหยา หัวใจ ดำมืดเริ่มรู้สึกสว่างวาบด้วยความรู้สึกแปลกไปที่มีให้ซูเหยา
กลางป่า
ซีซวนแบกฟืนมัดใหญ่ไว้บนหลัง อาภรณ์สีทึมที่เจี้ยนหยาเลือกซื้อมาให้ ไ่ม่เหมาะกับเขาอย่างยิ่งใบหน้าหล่อเหลาบนอาภรณ์เช่นนั้น
“ท่านพี่ข้าวต้มปลาข้างหน้านั้นไปหน้าผาสูงที่ข้าพบท่านพี่ตรงนั้นนอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น"ซูเหยาชี้ให้ดู ที่ที่พบซีซวน ซีซวนมองรอบๆ พยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ แต่พบเพียงความว่างเปล่า ตงฟางชิงยืนอยู่บนคาคบไม้จ้องมองซีซวนด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ฝ่าบาทในที่สุดก็ยังชีวิตรอด”สะกดรอยตามไปห่างๆ เมื่อพบว่าซีซวนไม่ได้มีท่าทีว่าอยากกลับไปที่วังหลวง เพราะเหตุใดกัน
วังหลวง
“ฝ่าบาทยังไม่สิ้นพระชนม์”อิงฝานลุกพรวดขึ้นจากแท่นนั่ง
“ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน”
“ข้าน้อยสะกดรอยตามฝ่าบาทพบว่ามีบางอย่างแปลกไปฝ่าบาท เหมือนไม่ใช่คนเดิมหรือบางทีอาจเพราะอาการบาดเจ็บหรืออาจเป็นเพราะความทรงจำบางส่วนหายไป”อิงฝานทำสีหน้าเศร้าสร้อย
“ฝ่าบาทจึงยังไม่ยอมกลับมาที่วังหลวง”
“ถึงแม้ตอนนี้อยากกลับก็คงกลับไม่ได้ในเมื่อ หากปล่อยให้ซีซานพบตัวฝ่าบาทย่อมอันตรายอย่างมาก ข้าน้อยจะหาทางพบฝ่าบาทดูสักครั้ง เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ตอนนี้ฮองเฮาลอบส่งข่าวให้ผู้ที่ยังภักดีรู้ว่าฝ่าบาทยังมีชีวิตอยู่เพื่อขวัญกำลังใจที่ดีและป้องกันการแปรพักตร์”
“อย่าร้องไห้ซูเหยาแม่จะช่วยเจ้าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม”“ท่านแม่เขาลืมข้าแล้วใช่ไหม” ถามซ้ำๆ ดวงตาเหม่อลอยเศร้าหมอง“หากเขารักเจ้าจริง จะต้องจำเจ้าได้อย่างแน่นอน” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ไม่รู้สึกมั่นใจในคำพูดของตัวเองหลายวันต่อมา“ใต้เท้า เว่ย” เจี้ยนหยาประสานมือตรงหน้า“อ่า ท่านหมอเจี้ยนหยาท่านนั่นเองไม่ได้พบกันเสียนานลมอะไรถึงหอบเอาท่านหมอเทวดามาถึงนี่”“ใต้เท้า หากไม่มีเรื่องรบกวนท่านคงไม่อาจพบหน้าข้าเดิม ข้าตั้งใจเร้นกายห่างหายจากวังหลวง แต่มาวันนี้มีบางเรื่องรบกวนท่าน”“คราวนั้นหากไม่ได้ ท่านหมอเจี้ยนหยา บุตรชายของข้าเป่ยเปยคง ไม่อาจมีชีวิตรอด คราวนี้ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟขอให้ท่านหมอเอ่ยปากเว่ยกงฉียินดีแบ่งเบา” เจี้ยนหยายิ้มบางๆเจี้ยนหยาจากไป พร้อมกับความสมหวังใต้เท้าเว่ยรับปากมั่นเหมาะ“ท่านพ่อรับน้องบุญธรรมเช่นนั้นหรือ ข้าไม่เห็นว่าจะจำเป็น” เว่ยเป่ยเปยก้าวออกมาจากด้านหลังของห้องแอบฟังสิ่งที่เจี้ยนหยากับบิดาพูดคุยกันได้ยินในตอนท้ายของความประสงค์“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากคนไม่เอาไหนเช่นเจ้าเป่ยเปย”“เช่นนั้นข้าก็ไม่รับนางในเมื่อข้าไม่เห็นด้วย”“ต้องดีต่อนางในเมื่อน
งานเฉลิมฉลองจัดขึ้นหลายวันผ่านไปราษฎรล้วนมีสุขถ้วนหน้าเจี้ยนหยาเก็บ กระจาดปลาที่ขายจนหมด ก่อนจะแวะไปที่ร้านขายไก่“ป้าเจี้ยน วันนี้ที่หน้าประตูวังเวลาเย็นมีการแจกจ่ายอาหารที่อร่อยระดับเดียวกับเครื่องเสวย แล้วยังมีการโปรยเหรียญทองกับเหรียญเงินอย่างละแสนตำลึง ข้าเห็นว่าป้าเจี้ยน เป็นคนกันเองนะถึงบอก ข้านี้จะรีบขายรีบปิดร้านไปกันทั้งบ้าน”“งานอะไรหรือเถ้าแก่ตง”“ฝ่าบาท กลับมานั่งบัลลังก์หลังจากที่ถูกพวกกบฏ ลอบสังหารบัดนี้ ทวงบัลลังก์คืนได้แล้วอีกอย่างว่ากันว่าเป็นข่าวดีที่สุดฮองเฮาทรงพระครรภ์ ฝ่าบาทจึงดีใจจัดงานเฉลิมฉลอง แล้วยังงดภาษีอีกตั้งสามปีงานนี้เพราะพระบารมีจริงๆ เดิมถูกทำการกบฏมีเสียงร่ำลือว่าฝ่าบาทสิ้นพระชนม์มาครั้งนี้นับว่าเป็นข่าวดีถึงสามต่อ555อย่าลืมไปนะป้าเจี้ยน” เจี้ยนหยาพยักหน้าน้อยๆ คิดถึงซูเหยาที่ไม่ได้กินของดีดีนานแล้วหากได้ลิ้มรสอาหารดีดีเทียบเท่าเครื่องเสวยคงดีไม่น้อยอยู่บนเรือนแพกินแต่ปลาเช้าข้าวต้มปลาเย็นก็ปลาแห้ง จ่ายเงินซื้อไก่แล้วรีบไปที่เรือที่จอดไว้ตั้งใจไปรับซูเหยา ให้มางานเฉลิมฉลองเพื่อซูเหยาจะได้มีรอยยิ้มบ้างหลายวันมานี้ซูบผอมจนน่าใจหายแม้จะซื้อยาบำรุงครรภ์ไ
ซูเหยาขยับกายลุกขึ้นจากแท่นนอนยากเย็นเจ็บระบมไปทั่วตัวโดยเฉพาะจุดนั้น รอยหยดเลือดยังเปรอะอยู่ที่แท่นนอนไม้ไผ่ อมยิ้ม เมื่อคิดถึงบทรักหวานละมุนเมื่อคืน เขินอายกับเสียงกรีดร้องของตัวเองยามที่ซีซวนเร่งจังหวะกระแทกกระทั้น สวมใส่อาภรณ์เดินออกจากห้อง ไม่พบแม้เงาของซีซวน“ท่านแม่ ท่านพี่ข้าวต้มปลา”“เขาไปแล้ว”“ไม่จริง ไม่จริงเขาไม่มทางทิ้งข้าไป”ซูเหยาวิ่งเข้าไปในห้อง มองสำรวจจนไปทั่ว สิ่งที่พบคือป้ายหยก ลวดลายสวยงามที่เคยเห็นซีซวนแขวนไว้ข้างเอวเก็บมันขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา น้ำตาไหลรินสะอื้นไห้อย่างหนักเจี้ยนหยา เขามาสวมกอดลูกสาว“ท่านแม่เขาทิ้งข้าไปแล้ว”"ร้องออกมาเสียให้พอซูเหยาต่อไปจะได้ไม่ต้องร้องอีก”“ท่านแม่ซูเหยา...ซูเหยา เป็นของเขาแล้ว”มือใหญ่ลูบหัวให้เบาๆ“สักวันเขาจะกลับมา เจ้ารักเขามิใช่หรือก็ถูกแล้วที่จะเป็นของเขา”ซูเหยาซบหน้าลงบนอกมารดาสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวดในหัวใจวังหลวงอิงฝานในอาภรณ์บางเบา นั่งอยู่บนตักของซีซวน ที่กอดรัดไม่ห่าง“คิดถึงเจ้าที่สุด….”อิงฝานยิ้ม“ฝ่าบาท กลับมาครั้งนี้ได้เวลาคัดตัวนางในพอดีปีนี้อิงฝานตั้งใจคัดนางในที่งดงาม ไว้คอยปรนนิบัติฝ่าบาทเยอะหน่อย”กดร่า
เสียงปลาน้อยกระโดดเล่นน้ำจ๋อมแจ๋ม ซีซวนดึงอ้อมแขนออกช้าๆจุมพิตที่แก้วเนียน แผ่วเบา เหลือบตามองหยดเลือดที่เปรอะเปื้อนบนแท่นนอนไม้ไผ่ เผลอยิ้ม“แล้วข้าจะกลับมาซูเหยา”ลุกขึ้นแต่งกายอย่างเร่งรีบ ไม่อยากจากไปยามที่ซูเหยาตื่นลืมตาเขาคงไม่อาจ จากซูเหยาได้ในเมื่อตอนนี้ใจเขาอยู่ที่นางเสียหมดแล้ว จากลาไม่ต้องเอ่ยคำลา เพราะสัญญาว่าจะกลับมาอีกหน ปลดป้ายหยกที่ห้อยข้างเอวลงวางในมือของซูเหยา ก้มลงจุมพิตหน้าผากอีกครั้ง“พี่ชายข้าวต้มปลา”เสียงซูเหยาละเมอแผ่วเบา หันหลังจากไปไม่หันหลังกลับมามองพาเรือล่องลอยออกจากเรือนแพไป ฟ้าเริ่มสางเมื่อเรือมาถึงฝั่งพอดี ผูกเรือไว้ที่เคยผูกไว้กับซูเหยา“พี่ชายข้าวต้มปลา”เสียงซูเหยาลอยมาตามลมซีซวนยิ้มเศร้าๆ แค่เพียงห่างกันไม่ถึงชั่วยามเขายังคิดถึงซูเหยาเพียงนี้ก้าวเท้าขึ้นไปบนฝั่ง ตงฟางชิง ก้มลงประสานมือตรงหน้า“ฝ่าบาท”ซีซวนเบิกตากว้าง ใบหน้าคุ้นเคยของตงฟางชิง“เจ้าเป็นใคร”“ฝ่าบาท ตงฟางชิง องครักษ์เสื้อแพร”“เจ้าเรียกข้าว่าฝ่าบาท”"ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาทไม่มีทางเป็นอื่น”ซีซวนเงยหน้าขึ้นช้าๆ อาการปวดหัวรุมเร้าทว่าภาพความทรงจำในหัวแล่นเข้ามาเป็นสาย“ซินอ๋อง สมควรตายอย่างยิ่
“ข้าส่งข่าวบอกท่านพ่อตงฟางชิงท่านเองก็ระวังตัวด้วย”“ฮองเฮาโปรดวางพระทัยข้าน้อยเร้นกายในค่ำคืนนี้ตั้งใจพบฝ่าบาทโดยเร็ว”ประสานมือจากไปเรือนแพ ซูเหยานั่งเหม่อมองจันทราที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าซีซวนทรุดกายลงข้างๆ“พี่ชายข้าวต้มปลา ท่านคิดว่าข้าจะคิดถึงท่านไหมหากท่านจากไป”“ข้าไม่อาจรู้ใจเจ้า รอให้อาวุโสกลับมาข้าจึงจะลองขออาวุโสให้เจ้าตามไปด้วย จะดีไหม”คิดถึงท่าทีดีใจของซูเหยาเมื่อรู้ว่าเขารอเพียงคำอนุญาตจากเจี้ยนหยา“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว อยากอยู่กับท่านแม่ท่านแม่ชรามากแล้วหากจากไปเกรงว่าท่านแม่คงลำบากไม่น้อย ข้ามมีท่านแม่เพียงคนเดียวหากข้าไป ท่านแม่ไปขายปลาที่ตลาดกลับมืดค่ำใครกันจะทำกับข้าวไว้รอ”ซีซวนยิ้มบางๆ“เจ้าคงคิดถึงข้าแค่เพียงไม่นานแล้วก็ลืมเลือนไป”“แล้วท่านจะคิดถึงข้าไหม”“ข้าคิดถึงข้าวต้มปลาของเจ้าแต่เดิมข้าไม่เคยลิ้มรส... เนื้อปลา”“ท่านก็แวะเวียนกลับมาเยี่ยมเราข้ากับท่านแม่ยินดีต้อนรับเสมอ”“เจ้าไม่อยากไปจากที่นี่แล้วหรือ”“อยากไปแต่ ข้าคิดว่าคงทำให้ท่านพี่ข้าวต้มปลาอึดอัดใจในเมื่อท่านไม่อยากให้ข้าไปด้วย”จะบอกได้อย่างไรว่าเขา ไม่เคยรังเกียจซูเหยาแต่เพราะเขาคิดว่า เขาไม่อาจทำร้ายซูเหยา
“คุณชาย ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายอีกทั้งยังไปมาลำบาก หากคนที่ตามหาท่าน ต้องการตามตัวเห็นทีจะหาไม่พบ เหมาะแก่การเร้นกายรอให้พวกที่ไล่ล่า เลิกสนใจเสียก่อนจึงดีไม่น้อย”“อาวุโสไม่กลัวว่าข้าเป็นคนไม่ดีหรือไร”“ดีหรือไม่ข้าเจี้ยนหยาหาสนใจไม่ทุกวันนี้เราสองคนแม่ลูกก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครโลกภายนอกวุ่นวายวกวน ผู้คนล้วนสวมหน้ากากเข้าหากัน หากว่าท่าน ในตอนนี้ แม้แต่ชื่อตัวยังจำไม่ได้ มิสู้เร้นกายให้หายดีแล้วค่อยจากไป”“ข้า ไม่อยากรบกวนอาวุโสกับซูเหยาการกินอยู่ที่นี่ลำบากท่านทั้งสองยังต้องคอย ทำเผื่อข้า”เจี้ยนหยายิ้ม“ซูเหยาตั้งแต่เกิดก็อยู่ในเรือนแพตลอดมา แทบจะไม่เคยข้องแวะกลับใครนางจึงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนข้างนอก”“อาวุโส ข้าตั้งจว่าหากบาดแผลหายดีจะกลับไปบนฝั่งเพื่อไปรื้อฟื้นความจำของตัวเอง”“ข้ากับซุเหยาคงเหงาไม่น้อย คุณชายอยู่ที่นี่เรือนแพจึงมีชีวิตชีวา”ซีซวนรู้สึกใจหายไม่น้อยแต่หากอยู่ที่นี่นานไปเกรงว่า เขาอาจเผลอทำลายซูเหยาโดยไม่รู้ตัว สาวน้อยสดใสเช่นซูเหยา มีบางอย่างที่ซีซวนแม้จะไร้ความทรงจำแต่เขากลับรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับเด็กสาวผู้บริสุทธิ์คนนี้แม้แต่น้อย แต่จะเป็นด้วยอะไรซีซวนไม่อาจทราบได้
ร่างสูงสะดุ้งตื่นในตอนบ่ายคล้อยหันมองรอบกายข้าวต้มเย็นชืดบนโต๊ะไม้ไผ่ ร่างเล็กของซูเหยาฟุบหน้าลงข้างๆ“อ๋อ พี่ชายท่านฟื้นแล้ว”“เจ้า”“ซูเหยาไปอุ่นข้าวต้มให้ใหม่กินเสียหน่อยคงหิวแย่แล้ว” สายตาหวาดระแวงยังไม่หายไปเพียงครู่เดียวข้าวต้มควันฉุยก็ถูกยกเข้ามา“ข้าวต้มปลา ข้าตกปลาข้างๆ แพเมื่อตอนเช้า แล่แล้วต้มข้าวต้มที่นี่ปลาอุดมสมบูรณ์ขาดแต่ฟืนที่ต้องพายเรือขึ้นบกไปเก็บมาเหมือนที่เมื่อวานข้าเจอพี่ชายตอนกำลังเก็บฟืน”ซีซวนจ้องมองริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มขยับขึ้นลง ใบหน้าของใครบางคนซ้อนทับ ริมฝีปากสีแดงสด ร่างอ้อนแอ้นท่าทีอ่อนหวานริมฝีปากสีแดงถูกเขาบดเบียด“อิงฝาน”เปล่งเสียงเบาๆ ซูเหยายิ้ม“ข้าซูเหยา อ๋อท่านแม่บอกว่าความทรงจำของท่านจะหายไปชั่วขณะแต่อีกไม่นานจะดีขึ้นแค่หมั่นกินยาที่ท่านแม่เจียดให้ไม่นานท่านแม่ของข้าเก่งที่สุดแต่เดิมเคยเป็นหมอหญิงในวังหลวงเชียวนะ แต่ตอนนี้ท่านแม่ปลดระวางพาข้าเร้นกายในเรือนแพ แสนสงบ”ซูเหยาเจื้อยแจ้วไม่สนใจว่าซีซวนจะฟังหรือไม่ตักข้าวตัมปลาขึ้นเป่าไปด้วยพูดไปด้วยคนไปด้วยจนข้าวต้มอุ่นๆ ก็ตักจ่อที่ริมฝีปากให้ซีซวน“รสชาติดีที่สุด”ซีซวนได้กลิ่นปลาที่เขาไ่เคยกินมาก่อนด้
ร่างสูงของใครบางคนทรุดกายลงเบื้องหน้าหวังซูเหยา อาภรณ์สีดำเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดไหลนอง ซูเหยาถลาเข้าจับชีพจร วางฟืนในมือลงข้างลำตัวทั้งลากทั้งดึงร่างใหญ่ให้ไปที่ร่มไม้ เสียงฝีเท้าม้าควบวิ่งวนวุ่นวายไปหมด“ค้นให้ทั่ว”เสียงคำรามจากร่างใหญ่ของบางคนตะโกนก้อง ทหารหายนายต่างแยกย้ายกันค้นหาซูเหยาลากร่างสูงเข้าไปหลบในร่มไม้ยกศีรษะให้นอนหนุนตัก รอจนกระทั่งหทารเสื้อเกราะพวกนั้นกลับไป จึงเดินออกไปตัดไม้มาทำแพไม้เพื่อจะลาก คนเจ็บ เพราะร่างเล็กของซุเหยาคงไม่อาจแบกเขาขึ้นบ่าได้ ลากร่างใหญ่อย่างทุลักทุเล ไปยังแม่น้ำกว้างใหญ่ ดึงอาภรณ์บริเวณ ไหล่หนาทั้งสองข้างให้ขึ้นไปบนเรือหยิบฟื้นวางในลำเรือก่อนจะใช้ไม้ค้ำถ่อดันเรือด้วยความชำนาญกลับไปยังเรือนแพกลางน้ำร่างสูงนอนเหยียดยาวซูเหยาพิศมองบหน้าหล่อเหลา คนผู้นี้เป็นใครกันเหตุใด ทหารต้องตามล่าเขาด้วย ใบหน้าหล่อกระสับกระส่ายไปมาด้วยพิษบาดแผล ซูเหยาเร่งมือให้ถึงเรือนแพโดยเร็ว“ท่านแม่”หวังเจี้ยนหยา โผล่หน้าออกมาจากเรือนแพกลางน้ำ ชะโงกมองเมื่อเห็นว่าซูเหยานำคนผู้หนึ่งมาด้วยในสภาพไร้สติก็รีบรุดไปช่วยดึงเรือมาผูกไว้กับเรือนแพ“คนผู้นี้เป็นใครกัน”ซูเหยาส่ายหน้าไป