กินได้ด้วยหรือ
"ท่านพี่เจออะไรหรือขอรับ"
นางชี้นิ้วไปยังกอไผ่ที่ถูกลมพัดใบลิ่วลม ในป่าแห่งนี้มีไผ่ขึ้นเป็นจำนวนมาก เทียบได้สองในสี่ส่วนของฝืนป่า อันฉีไม่รู้ว่าไผ่เหล่านี้นอกจากเอาไปทำกระท่อมหรืองานก่อสร้างต่าง ๆ ก็ไม่เคยเห็นผู้ใดเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น
“ต้นไผ่นะหรือขอรับ”
“ไม่ใช่ ๆ เจ้าดูนั่นสิ ดูนั่น”
นางวิ่งไปใกล้กอไผ่กอใหญ่ ชี้นิ้วให้อันฉีมองหน่อไม้ที่เพิ่งจะโผล่พ้นดินจำนวนมากมายเกือบสิบหน่อ ทางด้านลู่เสียนก็เดินตามมาดูด้วยอีกคน
"มีอะไรหรือเจียเอ๋อร์"
“หน่อของต้นไผ่เจ้าค่ะท่านแม่ เย็นนี้เราเอาไปทำอาหารกันนะเจ้าคะ”
“ทำอาหาร? ...หน่อของต้นไผ่มันกินได้หรือ?”
“...ดะ ได้สิเจ้าคะ ไม่มีใครเคยกินหน่อไม้หรือเจ้าคะ”
"ไม่เคย แม่เองก็ไม่เคยเห็นผู้ใดนำมาทำอาหารสักคน มันกินได้จริงหรือ"
...นี่นางย้อนกลับมาในยุคสมัยที่ผู้คนยังไม่รู้จักการเอาหน่อไม้มาแปรรูปเป็นอาหารเลยหรือ เจียอียิ้มแห้ง ๆ ให้มารดา จากนั้นพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าลู่เสียนเข้าใจถูกแล้ว หน่อไม้ย่อมนำไปประกอบอาหารได้
“เจ้าไปเคยได้กินมาจากไหน แม่ไม่เคยนำหน่อของต้นไผ่ไปทำอาหารให้เจ้ากินเลยสักครั้ง ตั้งแต่เจ้าฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ดูประหลาดยิ่งนัก”
“เอ่อ...เรื่องนั้น”
แย่ละสิ...หลินเจียอีหลับตาลงจากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาใหม่เหมือนคิดบางสิ่งออก นางพร่ำขอโทษขอโพยลู่เสียนในใจที่ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่นางต้องพูดโกหกอีกหน ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากแต่งเรื่องนางก็ได้เอามือไพล่หลังใช้นิ้วชี้กับนิ้วนางไขว้กันไว้
“ท่านแม่ ข้าพูดไปท่านต้องไม่เชื่อข้าแน่ ๆ เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ เจ้าค่ะ ตั้งแต่ข้าฟื้นจากความตายในครั้งนั้น ในตอนที่วิญญาณข้าออกจากร่างไป ข้าไปเจอยายแก่ผมขาวผู้หนึ่ง และตอนนี้นางก็ยืนอยู่ข้างหลังอาฉี”
“ห๊า ท่านแม่ ท่านแม่ข้ากลัว”
อันฉีรีบวิ่งไปกอดขามารดา ขณะนี้อันฉีขนลุกทั้งตัวด้วยความกลัว ผู้เป็นแม่จึงได้แต่ลูบหลังลูกชายปลอบขวัญแล้วเงยหน้าขึ้นมาทำตาดุใส่ลูกสาวที่พูดจาเลอะเลือนทำให้น้องตกอกตกใจ ถึงอย่างนั้นลู่เสียนก็ยังมองไปรอบ ๆ เผื่อว่าจะเห็นยายแก่ผมขาวปรากฏกายขึ้นมาอย่างเช่นเจียอีบอก ทว่าไม่เจอแม้แต่เงาของผู้อื่นนอกจากตนและลูก ๆ
“เจ้าพูดจาเลอะเลือนมากไปแล้ว ดูสิ ทำน้องตกใจจนจะร้องไห้แล้ว”
“ข้าไม่ได้เลอะเลือนนะเจ้าคะ ตอนนี้ยายแก่ผมขาวอยู่กับเราจริง ๆ แต่ท่านแม่กับอาฉีไม่ต้องตกใจไปเจ้าค่ะ เพราะยายแก่ผมขาวนางเป็นคนดี นางบอกว่าสงสารพวกเราที่บ้านหลินไม่มีความยุติธรรม ดังนั้นนางจึงมาเพื่อช่วยพวกเรา เอ่อ ท่านแม่จะโกรธข้าหรือไม่...อันที่จริงแล้วเรื่องปลูกเห็ดฟาง ยายแก่ผมขาวก็เป็นคนกระซิบบอกข้า ไม่ใช่ข้าได้ยินมาจากคนในตลาด”
“...หลินเจียอี เจ้าหัดโกหกแม่เมื่อไรกัน”
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ หากตอนนั้นข้าบอกเรื่องยายแก่ผมขาวไปข้าก็กลัวว่าทุกคนจะตกใจกลัวเหมือนเช่นตอนนี้ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะพูดจากลับกลอกนะเจ้าคะ แต่ข้ายืนยันว่ายายแก่ผมขาวใจดีไม่ทำร้ายใครแน่นอน ท่านแม่วางใจเจ้าค่ะนางจะไม่ปรากฏกายให้ใครเห็น อย่าตกใจไป”
“เอาล่ะ ๆ เลิกพูดได้แล้ว ดังนั้นเจ้าจะบอกแม่ว่าหลังจากที่เจ้าฟื้นขึ้นมาแล้วเจ้าไม่เหมือนเดิมเพราะว่ายายแก่ผมขาวมาช่วยเจ้า”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ”
ลู่เสียนทำใจเชื่อในสิ่งที่เจียอีกำลังอธิบายไม่ได้ แต่นางก็ไม่รู้จะหาสาเหตุอื่นใดมาโต้แย้งข้อสงสัยที่เจียอีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อก่อนนี้นางรู้จักนิสัยใจคอลูกสาวเป็นอย่างดี เจียอีเจ้าของร่างหัวอ่อนว่าง่าย เหนียมอายเก็บตัวพูดน้อย เป็นกุลสตรีที่ได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นที่พบเห็น ผิดกับเจียอีขณะนี้ที่กล้าคิดกล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าพูดกล้าเปิดเผย
“เช่นนั้น เราช่วยกันเก็บหน่อของต้นไผ่เถอะเจ้าค่ะ เย็นนี้ข้าจะขอเป็นแม่ครัวปรุงอาหารเอง”
“แม่ครัว! เจ้านะหรือ”
ลู่เสียนอ้าปากค้าง ถึงแม้ว่าเจียอีเจ้าของร่างจะถนัดงานบ้านงานเรือนเย็บปักถักร้อย แต่เรื่องปรุงอาหารเจียอีไม่ถนัดเอาเสียเลย เมื่อครั้งที่ยังอาศัยอยู่บ้านหลินแค่ชงชานางยังเกือบวางเพลิงบ้านหลินจนวอดวาย ดีที่ลู่เสียนมาพบก่อนไฟยังไม่ลุกลามจึงรีบช่วยดับไฟเอาไว้ได้ทันเวลา ในครั้งนั้นเจียอียังถูกฮุ่ยเฟินและภรรยาเฆี่ยนตีเป็นการลงโทษ ตั้งแต่นั้นมานางก็เลยไม่กล้าปรุงอาหารอีกเลย
“อืม ได้ เช่นนั้นวันนี้หน้าที่ปรุงอาหารค่ำแม่มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่สดใสสว่างไสว เมื่ออันฉีหายตกใจแล้วเขาก็คลายมือที่กำลังกอดขามารดาออก รีบเข้ามาช่วยพี่สาวขุดหน่อไม้ ได้จำนวนที่พอใจแล้วก็ใส่ตะกร้า ส่วนที่เหลือจากใส่ตะกร้าเจียอีก็เอาใส่ห่อผ้าแบกขึ้นหลัง ใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็กลับถึงบ้าน นางหวังออกมานั่งรออยู่ที่ระเบียง พอเห็นว่าสามแม่ลูกนำหน่อไม้กลับมาเป็นจำนวนมากนางจึงถาม
“หน่อของต้นไผ่ พวกเจ้าขนมาทำอะไรเยอะแยะ”
“ท่านยาย หน่อของต้นไผ่พวกนี้ข้าจะเอามาปรุงเป็นมื้อค่ำ”
“หืม มันใช้กินได้ด้วยหรือ”
“ได้สิเจ้าคะ”
เจียอีว่าแล้วก็หอบหน่อไม้เข้าไปในครัว นางปอกเปลือกออกจนเกลี้ยง เผยให้เห็นส่วนด้านในสีขาวอวบ ล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย จากนั้นฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ นำไปต้มในน้ำเดือดให้หายขม การจะนำหน่อไม้มารับประทานทุกครั้งต้องต้มให้สุกก่อนเพราะหน่อไม้สดนั้นมีพิษ ระหว่างที่รอหน่อไม้ต้มอยู่นั้นได้ยินเสียงคนพูดคุยกันด้านนอก เจียอีจึงเดินออกมาดู พบชายแก่สวมหมวกฟาง สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ บนพื้นดินใกล้กับจุดที่เขายืนมีไก่ป่าสามตัวที่ตายแล้ววางอยู่ อันฉีวิ่งไปหาชายผู้นั้นแล้วเรียกเขาว่าท่านตา
“ท่านตาขอรับ เหนื่อยไหมขอรับ”
“ไม่ ตาไม่เหนื่อย พวกเจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ตงซิ่วลูบศีรษะหลานชายด้วยความเอ็นดู แล้วหันไปถามลู่เสียน
“ท่านพ่อ ข้าขอกลับมาอยู่ด้วยนะเจ้าคะ หลังจากที่สามีข้าตกตายพวกคนบ้านหลินก็ไม่ให้ข้ากับลูกอาศัยอยู่ร่วมแล้ว”
“ใจดำจริง ๆ คนบ้านหลิน เอาเถอะ เจ้าพาลูกกลับมาอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน พ่อกับแม่ก็แก่มากแล้วจะได้เจ้านี่แหละช่วยดูแล แล้วเจียเอ๋อร์ไปไหนซะล่ะ”
“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
เจียอีเดินเข้ามาทำความเคารพ แต่กิริยาของนางกระโดกกระเดกไม่เหมือนก่อน ตงซิ่วมองหลานสาวครู่นึ่งแล้วยกมือลูบศีรษะอย่างเอ็นดู ทำเช่นเดียวกันกับอันฉีไม่แบ่งแยกว่าหลานจะเป็นชายหรือเป็นหญิง สิ่งนี้ยิ่งทำให้เจียอีประทับใจในครอบครัวเล็ก ๆ นี่ยิ่งขึ้นไปอีก
“เอ้อ จริงสิ เข้าป่าล่าสัตว์หลายวันกลับได้มาเท่านี้ แค่ไก่ป่าสามตัว เดี๋ยวพ่อจะจัดการถอนขนให้ก่อนลู่เสียนจะได้เอาไปปรุงเป็นมื้อค่ำ”
ตงซิ่วบอก ลู่เสียนพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นข้าขอแบ่งเนื้อไก่ไปปรุงกับหน่อไม้ได้ไหมเจ้าค่ะท่านแม่”
“ได้สิ”
ลู่เสียนอนุญาตแล้วเจียอีก็เดินไปเอาไก่ที่ตงซิ่วถอนขนเรียบร้อย สับเป็นชิ้นพร้อมนำไปปรุงอาหารมาเพียงจำนวนหนึ่ง กลับมาในครัวพบว่าหม้อต้มหน่อไม้กำลังเดือดพอดี นางจึงยกออกมารินน้ำทิ้งแล้วเติมน้ำเข้าไปใหม่ต้มให้เดือดอีกรอบหนึ่ง ต้องต้มถึงสองน้ำหน่อไม้จึงจะจืดสนิทไม่เฝื่อนหรือขม
อาหารที่นางตั้งใจปรุงขึ้นง่าย ๆ ส่วนประกอบจะมี ซี่โครงไก่ เห็ดหอม กระเทียมบุบหยาม รากผักชี เกลือ เก๋ากี้ และฮ่วยซัว นั่นคือวัตถุดิบที่มีในครัว เครื่องปรุงเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่หาได้จากในป่าทั้งสิ้น วิธีทำก็จะนำน้ำใส่หม้อตั้งบนเตา ใส่ไก่ พอน้ำเดือดก็เบาไฟลง หากในน้ำแกงมีฟองก็ช้อนฟองออก ใส่หน่อไม้ที่ต้มจืดแล้ว ใส่กระเทียมบุบ รากผักชี เก๋ากี้และฮ่วยซัว เติมเกลือปรุงรส ใช้เวลาตุ๋นเกือบหนึ่งชั่วยาม จากนั้นตักใส่ถ้วย
เมื่อทำเสร็จเจียอีก็ยกมาเตรียมไว้รอทานพร้อมหน้าพร้อมตา อาหารค่ำมื้อนี้เจียอีได้รับคำชมไม่ขาดปาก จึงทำให้นางคิดได้บางอย่าง หน่อไม้เป็นพืชที่ผู้คนยังไม่นิยมนำมาปรุงอาหารทานในยุคนี้ นี่คือช่วงเวลาที่ดีสำหรับกอบโกยกำไร คิดก่อนเริ่มก่อนย่อมสำเร็จก่อน หากนางนำมาแปรรูปแล้วออกขายสู่ตลาดคงมีคนสนใจมากมาย
“ท่านแม่ พรุ่งนี้เราเข้าป่ากันอีกเถอะเจ้าค่ะ”
“ได้สิ”
ลู่เสียนบอกพร้อมกับเดินไปยกน้ำต้มเห็ดหลินจือมาให้นางหวังกับตงซิ่ว คนแก่ทั้งสองยกขึ้นดื่มแล้วทำสีหน้าเหยเก พลอยทำให้เจียอีรับรู้ถึงรสชาติของเหลวที่มีสีน้ำตาลเข้มในถ้วยไปด้วย เป็นโชคดีของนางที่ไม่ต้องดื่มน้ำต้มเห็ดหลินจือนี่ คิดแล้วเจียอีก็ลอบยิ้มแล้วก็ต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อลู่เสียนยื่นถ้วยมาทางนาง
“เจียเอ๋อร์นี่ของเจ้า”
อุตส่าห์คิดว่าจะไม่ต้องฝืนดื่มแล้วแท้ ๆ ลู่เสียนก็ยังยื่นมาให้ นางคะยั้นคะยอลูกสาวให้รับไปดื่ม เจียอีจึงทำได้แค่ยืนมือออกมารับไปก่อนจะกลั้นใจดื่มน้ำต้มเห็ดหลินจือเฝื่อน ๆ จนหมดถ้วยในคราวเดียว
“ดีมาก เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี ฉะนั้นแม่จะต้มเห็ดหลินจือให้เจ้าดื่มทุกวัน ดีที่ในครัวมีเห็ดหลินจือแห้งที่ท่านตาเจ้าหามาตากไว้ ส่วนอันที่เราได้มาวันนี้พรุ่งนี้แม่จะเอาออกตาก”
“หา...ข้าว่าไม่ดีเจ้าค่ะ”
“ไม่ดีอย่างไร”
“เอ่อ ท่านตากับท่านยายแก่มากแล้ว เราควรสงวนของดีหายากไว้ให้ท่านตาและท่านยายบำรุงร่างกายมากกว่า แบบนี้ข้าถึงจะได้ชื่อว่าหลานกตัญญู ตัวข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”
“เอาเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ เอาเช่นนี้เลย”